เทพมารตกสวรรค์ - ตอนที่22 เจ้ามันปีศาจ
อู้เฉียงตกตะลึงกับหอกที่มีขนาดใหญ่ก่อเกิดจากการรวมคลื่นพลังจนก่อเป็นรูปร่างหอกขนาดใหญ่สีทองอยู่เหนือหัวของไท่ซู่ อู้เฉียงสามารถรับรู้แรงกดดันของมันได้ อู้เฉียงไม่รอช้า เร่งพลังมาปกป้องตัวเองทันที
” หอกที่ข้าสร้างมันขึ้นมาคือ หอกมรณะ!! ถ้าเจ้าไม่สามารถทนการโจมตีของมันได้ ก็ถือว่าเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่เคียงข้างนายน้อย เอาล่ะจงแสดงออกมาให้ข้าดูว่าสิ่งใดกันที่ทำให้นายน้อยสนใจตัวเจ้ากัน เจ้าหนู ” ไท่ซู่กล่าวออกมาด้วยน้ำที่เคร่งขรึม เมื่ออู้เฉียงได้ยินเช่นนั้นก็มีภาพอย่างขึ้นมาในหัวของตน เป็นภาพของเพื่อนสมัยเด็กที่เล่นกันกับตนบ่อยๆแต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น นางโดนสังหารแต่ก่อนที่นางจะโดนสังหารนางได้บอกให้อู้เฉียงหนีไป ซึ่งอู้เฉียงรู้สึกเจ็บใจเป็นอย่างมากที่ตนเองอ่อนแอ ไม่สามารถช่วยเพื่อนของตนไว้ได้ ” ทันใดนั้นก็มีเสียงภายในหัวของอู้เฉียงดังขึ้น เจ้าจะหนีอีกแล้วมักจะเป็นแบบนี้เสมอเลยน่ะ ”
” ไม่ข้าจะไม่หนีเด็ดขาดข้ายอมตาย!! ดีกว่าที่จะหนี ข้าจะต้องผ่านบททดสอบนี้ให้ได้ ” อู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เร่งเร้า พลังทั่วร่างทันที
“ท่านไท่ซู่ ข้าพร้อมแล้ว เชิญทดสอบข้าได้เลย ” อู้เฉียงบอกกล่าวแก่ไท่ซู่ที่ยืนอยู่
” ได้จงรับไป หอกมรณะ ” ไท่ซู่กล่าวจบหอกก็พุ่งไปหาอู้เฉียงทันที ความจริงอีกอย่างที่ไท่ซู่ ไม่ได้บอกเกี่ยวกับหอกนี้คือ มันมีชื่อเรียกอีกชื่อนึงคือ หอกแห่งสังจะ!! เป็นหอกที่ใช้ในการตัดสินความผิดส่วนใหญ่เพราะหอกเล่มนี้จะสังหารคนที่กล่าวคำพูดเท็จต่อหน้าหอกเล่มนี้ ใครก็ตามที่อยู่ต่อหน้าหอกเล่มนี้เมื่อกล่าวสิ่งใดออกมาแล้ว ถ้าไม่เป็นความจริงหอกเล่มนี้จะพุ่งทะลวงล่าง ของคนผู้นั้นในทันที ส่วนใครก็ตามที่พูดความจริงออกมา คำพูดทุกคำพูดที่กล่าวมานั้นเป็นความจริงหอกเล่มนี้จะสลายหายไปในทันทีเมื่อโดนตัวคนผู้นั้นจะไม่ได้รับอันตรายใดๆทั้งสิน นี้จึงเป็นที่มาของ หอกแห่งสัจจะ แต่มันจะเป็นหอกมรณะก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นพูดโกหก
อู้เฉียงเห็นหอกสีทองขนาดใหญ่พุ่งมาใช้พลังทั้งหมดต้านทานรับไว้ทันที ถึงแม้รู้ว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ต่อหอกเล่มนี้ แต่อู้เฉียงเป็นคนที่ยึดมั่นในคำพูด ทันใดนั้นเองหอก ก็ทะลวงการป้องกันของอู้เฉียงมาอย่างง่ายดาย
” จบแล้วสินะ..ข้ามันไม่มีคุณสมบัติจริงๆด้วย ” อู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยความเศร้าใจ
” ผิดแล้ว ” ทันใดนั้นเองเสียงดังขึ้นเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งแฝงไว้ หอกที่กำลังโดนตัวอู้เฉียงสลายหายไปในทันทีราวกับไม่เคยมีหอกเล่มนี้มาก่อน ก่อนที่อู้เฉียงจะเรียกสติและกล่าวถามแก่ไท่ซู่
” หมายความว่าอย่างไรก็ในเมื่อข้ารับหอกของท่านไม่ได้….แล้วข้าผ่านได้อย่างไร? ” อู้เฉียงกล่าวถามด้วยงุนงง
” ฮ่าๆๆ ข้าละยอมใจเจ้าจริงๆเลย ไม่คิดว่าเจ้าจะจริงจังในคำพูดที่ตัวเองพูดออกมาถึงเพียงนี้ ข้าเริ่มรู้แล้วล่ะว่านายน้อยเห็นสิ่งใดในตัวเจ้า ” ไท่ซู่กล่าวพลางหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ อู้เฉียงได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นทันที
“แน่นอน ข้าอู้เฉียง พูดจริงทำจริงไม่เคยผิดคำพูด ” อู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไท่ซู่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกถูกใจอู้เฉียงเข้าไปใหญ่
” ดีๆ ดีมาก เจ้าอยากรู้ไหมทำไมหอกถึงสลายไป ” ไท่ซู่ กล่าวออกมาอย่างมีเลศนัย อู้เฉียงได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้างุนงง ในทันที
” ท่านไม่ได้เป็นคนทำให้หอกหายไป แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ” อู้เฉียงถามขึ้นด้วยความงุนงง ไท่ซู่เห็นเช่นนั้นก็เริ่มอธิบายทันที
” ความจริงแล้วหอกเล่มนั้นมันมีอีกชื่อคือ หอกแห่งสัจจะ!! ” ไท่ซู่กล่าวขึ้นเพื่ออธิบายแก่อู้เฉียง
” หอกแห่งสัจจะ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกันล่ะข้าไม่เข้าใจ” อู้เฉียงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย
” ฟังให้ดี ชื่อแรก หอกมรณะ ที่ข้าบอกเจ้าไปนั้น มันสามารถสังหารเจ้าได้จริงๆนั้นแหละถ้าเจ้าผิดในคำพูดที่ตนพูดมา แต่ข้าจะยั้งมือไว้เพราะเจ้าเป็นสหายของนายน้อย อีกชื่อนึงมันคือ หอกแห่งสัจจะ การที่เจ้าพูดออกมาต่อหน้า หอกเล่มนี้ หอกเล่มนี้สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าพูดจริงหรือโกหก มันจะกลายเป็นหอกมรณะและสังหารคนที่พูดเท็จต่อหน้าหอกเล่มนี้ กลับกันถ้าหากเจ้าพูดจริงและเชื่อมั่นในคำพูดของตนหอกเล่มนั้นก็จะสลายหายไปทันทีเมื่อโดนตัวเจ้า ” ไท่ซู่พลางกล่าวอย่างยืดอกและพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจในหอกของตัวเอง
” งั้นถ้าข้าผิดในคำพูดที่พูดออกไปเมื่อกี้ก็… ”
” ใช่เจ้าจะตายแน่นอนแต่ข้าจะยั้งมือไว้ และเจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะฝึกกับข้า ” ไท่ซู่กลาวออกมาด้วยน้ำเสียงเถรตรง
อู้เฉียงได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ ถ้าพูดผิดคำพูดที่ตนพูดมาก็คือ ตาย และไม่ผ่านการทดสอบ อู้เฉียงพลางคิด เมื่อตอนที่กำลังจะถอยหนี มีเสียงนึงดังขึ้นแต่อู้เฉียงจำไม่ได้เลยไม่ได้ใส่ใจต่อ
” เอ่อ..นี้เจ้าหนูเจ้ามีอาจารย์ที่สอนเจ้าหรือไม่? ” ไท่ซู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงคาดหวัง
” ยังเลยข้าไม่มีอาจารย์หรอก ไม่มีอาจารย์คนไหนรับข้าที่เป็นเพียงขยะหรอก ” อู้เฉียงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสลดเล็กน้อยใบหน้าเศร้าหมอง
” ผิดแล้ว เจ้าไม่ใช่ขยะ เจ้ามาเป็นลูกศิษยของข้า แล้วข้าจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องคนที่เจ้ารักรวมถึงปกป้องนายน้อยด้วย ” ไท่ซู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแฝงไปด้วยความอบอุ่นในคำพูด
” ลูกศิษย์ ? ” อู้เฉียงตกตะลึงกับการที่ไท่ซู่นั้นจะรับตนมาเป็นศิษย์ ทำให้ตัวมันเองนิ่งข้างเพราะตลอดมาไม่เคยมีใครเคยคิดที่จะสอนตัวมันเองด้วยซ้ำยกเว้นไป๋หลง แต่มาถึงตรงนี้ มีอสูรที่ ยอมรับคนอย่างมันเป็นศิษย์ แม้แต่มนุษย์ด้วยกันยังไม่มีเลย
” ว่าไงจะมาเป็นศิษย์ข้ารึเปล่าเจ้าหนู? ” ไท่ซู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อู้เฉียงได้ยินเช่นนั้นก็ตอบรับคำในทันที
” ข้าอู้เฉียงขอคาราวะท่านอาจารย์ ” อู้เฉียงกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น พลางคุกเข่าลงเอาหัวลงพื้นทันที
“ลุกขึ้นเถิดศิษย์ข้า ” ไท่ซู่เห็นเช่นนั้นก็เข้าไปพยุงร่างของอู้เฉียงให้ลุกขึ้นทันที
” เอาล่ะศิษย์ข้าเรามาเริ่มการฝึกสอนกันเถอะ ข้าจะฝึกสอนเจ้าให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเอง” ไท่ซู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกล่าวขึ้นด้วยคสามภาคภูมิ
” ขอรับ..ท่านอาจารย์ ” อู้เฉียงกล่าวขานรับออกมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
ตัดมาทางด้ายไป๋หลงที่นั่งอยู่บนต้นไม้ไม่ห่างไกลมากนัก เห็นการณ์เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็รู้สึกยินดีกับอู้เฉียงที่มีไท่ซู่เป็นอาจารย์
” เฮ้อ..ดีจังน้าดูๆไปแล้วท่านไท่ซู่กับเป็นอาจารย์ที่ดีให้กับอู้เฉียงได้แน่นอน ข้าก็อยากจะมีอาจารย์ที่ดีแบบนี้บ้างจัง ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียดเหนื่อยหน่ายใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง
“บัดซบ!! ข้านี้ไงอาจารย์ของเจ้าเป็นเลิศในยุทธภพด้านกระบี่ ใครได้ข้าเป็นอาจารย์ ดีใจกันแทบตาย ส่วนเจ้า… ” เสียงของของจือ ที่ดังภายในหัวของไป๋หลงด้วยความไม่พอใจ
” ท่านทำอะไรบ้างล่ะ ข้าเห็นท่านเอาแต่เงียบข้าถามอะไรก็ไม่ยอมตอบทีข้าว่า พูดประชดนี้ท่านเถียงข้าทันทีเลยนะ ข้าล่ะเสียใจจริงๆ ที่มีอาจารย์ ไม่ได้เรื่อง เช่นนี้ อวดอ้างว่าตนเป็นหนึ่งด้านกระบี่แต่ไหนเลยจะสั่งสอนหรือสอนวิชาข้านอกจาก หมื่นกระบี่สยบเทวา เฮ้อข้าละเหนื่อยหน่ายใจจริงๆ ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ ขงจือไดหังดังนั้นก็เดือดดาลขึ้นมาทันที
” พอ พอเลยก็ได้ข้าจะสอนเจ้า ข้าไม่ได้มีดีแค่กระบี่หรอกนะรู้ไว้ ” ขงจือกล่างออกมาด้วยความภาคภูมิ
” ชื่อของวิชานี้ก็คือ หมื่นขุนเขาสะเทือนปฐพี ” ขงจือกล่าวออกมาด้วยความภูมิใจในวิชาของตน แต่ไป๋หลงกับ งุน งง ว่ามันคือวิชาอะไร
” อาจารย์ มันคือวิชา อะไร?ข้าไม่ได้ยินมาก่อน ” ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยความงุนงง ก่อนจะโดนด่ากลับมา
” เจ้าศิษย์โง่ เฮ้อ…มันคือยอดวิชา ที่ข้าใช้เวลาหลายปีในการคิดค้นขึ้น ความสามารถวิชานี้ จะเพิ่มพลังของเจ้าเป็นเท่าตัว ยังไม่หมดแค่นั้นมันยังช่วยส่งเสริมวิชาอื่นๆของเจ้าอีกด้วย เป็นไงล่ะ ฮ่าๆๆ ” ขงจือกล่าวออกมาด้วยภาคภูมิและชอบใจ
” ฟังดูแล้วดีไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วข้าจะฝึกมันยังไงล่ะ ” ไป๋หลงกล่าวถามแก่ขงจือ
” เจ้าก็แค่ตั้งสมาธิแล้วเนื้อหาในตำราเล่มนี้จะเข้าสู่สมองเจ้าโดยตรง ข้าไปล่ะ ถ้าไม่จำเป็นอย่าเเรียกข้าออกมาข้าขี้เกียจ มาฟังเจ้าบ่น ข้าไปล่ะ ” ขงจือ กล่าวจบ เสียงก็เงียบหายไปในทันที
” เฮ้อ..เอาเถอะอย่น้อยก็มีวิชาเพิ่มมาดีกว่าไม่มีเลยข้าต้องรีบฝึกแล้ว ถ้าข้าช้ามีหวังอู้เฉียงแซงข้าแน่ๆ ” ไป๋หลงกล่าวจบก็หายไปจากต้นไม้แล้วไปหาที่สงบๆฝึกวิชาทันที
ตัดมาทางอู้เฉียง
หลังจากที่ไท่ซู่ สอนกระบวนท่าต่างๆให้อู้เฉียงรวมถึงวิชาหอกด้วย ไท่ซู่ให้อู้เฉียงนั่งพักผ่อนก่อนแล้วค่อยฝึกต่อ ผ่านไปไม่นาน อู้เฉียงก็กล่าวขึ้น
” ท่านอาจารย์ ข้าพักเสร็จแล้วมาต่อกันเถอะข้าอยากแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ” อู้เฉียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมี่แฝงไปด้วยความหนักแน่น ไท่ซู่เห็นเช่นนั้นก็ยกยิ้มขึ้น
” ได้วิชานี้คือ วิชาที่มีพลังโจมตีรุนแรงถ้าไม่จำเป็นข้าแนะนำว่าอย่าใช้เพราะมันจะทำให้พลังของเจ้าหายไปเกือบหมดเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าอย่างมาก ถ้าเจ้าจะใช้ข้าแนะนำว่าควรใช้ ในยามคับขัน แค่นี้แหละ ” ไท่ซู่ กล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วงและอธิบายแบบรวบรัด
” ข้าทราบแล้วท่านอาจารย์ ” อู้เฉียงตอบรับด้วยความเข้าใจ
” ฟังไว้ให้ดี วิชานี้มีชื่อ หัตอสนีทะลายฟ้า!! ”
ตัดมาทางอู้หยาที่ตอนนี้นั่งทำงานเอกสารที่กองเป็นภูเขาใกล้ๆกับไป๋หยาง
” ท่านไป๋หยาง ทำไมงานเอกสารถึงเยอะถึงเพียงนี้ ” อู้หยากล่าวออกมาด้วยความสงสัย
” ข้าต้องปกครองเหล่าอสูรจำนวนมากในป่าแห่งนี้ก็ต้องมีเอกสารเยอะเป็นธรรมดา เจ้าจะสงสัยทำไม? ” ไป๋หยางกล่างออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
” เปล่า ข้าก็แค่คิดว่า มันเยอะกว่าปกติ ไม่ใช่ว่าท่าน เกียจคร้านแล้วไม่ได้ทำ ทำให้งานมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นเช่นนี้ ” อู้หยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ให้ความเคารพและแฝงไปด้วยความสงสัย ไม่รู้เป็นเพราะอะไรอู้หยานั้นรู้สึกว่าตนไม่ได้เกรงกลัวเทพอสูรตรงหน้าแม้แต่น้อย คงเป็นเพราะนิสัยของไป๋หยางที่ไม่ได้ถือตน ทำให้พูดคุยได้ง่าย
” เหลวไหล!! เทพอสูรอย่างข้าเนี้ยหนะที่จะขี้เกียจ… ” ไป๋หยางกล่าวไม่ทันจบก็มีผู้อาวุโสที่เป็นที่ปรึกษาของไป๋หยางเข้ามา
“ท่านไป๋หยาง รีบจัดการเอกสารเหล่านี้ด้วยเมื่อครั้งก่อนท่านหนีงานไปนอนอยู่หลังคฤหาสน์ทำให้มีเอกสารที่ยังไม่ได้เซ็นหลงเหลืออยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวโปรดเร่งมือด้วยด้วย ” ผู้อาวุโสกล่าวออกมาด้วยความนอบน้อมก่อนจะรีบกลับไปทำหน้าที่ของตน
” ใครบอกว่าไม่เคยหนีงาน เป็นถึงเทพอสูรแท้ๆ แต่กลับโป้ปดชั่งน่าผิดหวัง ” อู้หยา กล่าวออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
” เจ้า เจ้า กล้าว่าข้ารึ ” ไป๋หยางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคืองเล็กน้อย
” แล้วมันจริงไหมล่ะที่ท่านหนีงาน รีบทำให้เสร็จๆเถอะข้าจะได้ทำงานต่อหรือท่านจะให้ข้าบอกไป๋หลงว่าพ่อของตนหนีงานหนีไปนอนหลังคฤหาสน์ ข้าอยากจะรู้จริงๆว่าไป๋หลงจะมองท่านเช่นใด” อู้หยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เมื่อไป๋หยางได้ยินเช่นนั้นถึงกับพูดไม่ออก จะให้ไป๋หลงรู้ไม่ได้ภาพลักษณ์ที่สะสมมา ก่อนที่ไป๋หยางจะอุทานว่า อู้หยาด้วยน้ำเสียง ไม่พอใจ
เจ้ามันปีศาจโดยแท้!!
จบ..