เทพมารตกสวรรค์ - ตอนที่36 วิกฤติ 1
หลังจากงานไป๋หลงและอู้เฉียงออกมาจากประตูสีทองอร่ามทั้งสองก็มีสีหน้าสงสัย ยากที่จะอธิบาย
” คืนนี้ข้าว่าเราควรจะพักผ่อนได้แล้วพรุ้งนี้เราจะมุ่งหน้ากลับสำนักหมื่นกระบี่ทันที ” ไป๋หลงกล่าวบอกแก่อู้เฉียงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
” ตามที่เจ้าว่าข้าขอตัวกลับที่พักก่อน ” อู้เฉียงกล่าวจบก็เดินหายไปในทันที เมื่อไป๋หลงเห็นอู้เฉียงเดินหายไป ไป๋หลงก็เปลี่ยนน้ำเสียง เป็นเย็นชาทันที
” ออกมาได้แล้วข้ารู้เจ้าแอบมองข้าอยู่ เจ้าเป็นใคร? หรือจะให้ข้าลากหัวเจ้าออกมา ”
ผ่านไปไม่ถึงสามอึดใจก็มีเสียงตอบกลับออกมา ซึ่งเป็นเสียงที่ไป๋หลงเคยได้ยินขณะอยู่ที่โรงประมูล
” เด็กน้อยนี้เจ้าลืมพี่สาวคนนี้ไปแล้วหรือ แล้วคำพูดพวกนั้นมันอะไรกันเจ้า พูดออกมาได้เช่นไร โหดร้ายที่สุด ” เสียงนี้ไม่ใช่เสียงใครที่ไหนแต่เป็นพิธีกรสาวที่เกือบทำให้ตัวเขาเสียท่าให้กับเอลฟ์นางนั้น
” ท่านยังมีหน้ามาพูด ข้าเกือบจะไม่รอด มันเกิดอะไรขึ้นแล้ว แล้วท่านมาแอบฟังข้าทำไม? ” ไป๋หลงกล่าวถามแก่พิธีกรสาว เมื่อพิธีกรสาวได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับออกมาด้วยท่าทางที่ไม่ได้สนใจกับคำถามของไป๋หลง
” เฮ้อ..เด็กน้อยข้าจะแอบฟังเจ้าทำไมส่วนเรื่อง สหายของข้านั้น เจ้าก็หน้าจะรู้อยู่แล้ว ว่านางนั้นร้ายกาจเพียงใด ข้าจะบอกให้ก็แล้วกัน ปิงปิง นั้น เมื่อตกค่ำอารมณ์ของนางจะแปรเปลี่ยนไปในทันที เป็นเพราะวิชาต้องห้ามที่นางเคยฝึก จึงทำให้นางมีสภาพเช่นนั้น ข้าไม่อาจบอกได้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร เด็กน้อยเจ้าจงถาม ปิงปิง ด้วยตัวเองเถิดเพราะตอนนี้นางเป็นข้องเจ้าแล้ว..ข้าขอตัว”
พิธีกรสาวกล่าวจบร่างกลายเป็นเงาหายไปในความมืดยามราตรีทันที โดยไป๋หลงไม่ทัน ได้กล่าวอันใด ไป๋หลงเมื่อเห็นดังนั้น ก็คิ้วขมวดเข้าหากันทันทีก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความไม่ตั้งใจ
ยอดฝีมือ?
สามคำนี้ไป๋หลงกล่าวออกมาด้วยความฉงนใจ ทีแรกไป๋หลงลองแอบสำรวจระดับพลังของพิธีกรสาว แต่นางเพียงแค่อยู่แค่ ระดับนักรบหลอมรวม ขั้นที่3 เท่านั้นมีสิทธิเป็นไปได้ว่า นางลดระดับพลังของตัวเองลงเพื่อ กลบเกลื่อนพลังที่แท้จริงไว้ แต่เพื่ออะไรกัน ไป๋หลง ไม่อาจทราบได้ว่า จุดประสงค์ของ พิธีกรสาวนั้นคืออะไรกันแน่ ได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะมุ่งหน้ากลับที่พักทันที
กลับมาทางด้านองค์จักรพรรดิ
” ท่านองค์จักรพรรดิ ข้าอยากเห็นตัวคนที่มีความสามารถขนาดที่สามารถทำสัณญากับสัตว์เทพอสูรศักดิ๋สิทธิ์ได้ ถ้าให้ข้าเดาคงจะเป็นผู้ที่มีความสามารถและวรยุทธ์ที่เหนือชั้นเป็นแน่ ” เสียงของขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นใบหน้าปั้นยิ้มแต่ภายในนั้นกลับมีบางอย่างแอบแฝงอยู่
เมื่อองค์จักรพรรดิ์ได้ยินเช่นนั้นก็นึกถึงคำพูดที่ได้ให้ไว้แก่ไป๋หลง ว่าไม่ต้องการเปิดเผยตัว จนทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต ใครจะคาดคิดเล่าว่าผู้เยาว์ที่อายุน้อยเช่นนี้กลับครอบครองสัตว์เทพอสูรศักดิ๋สิทธิ์ ถ้าเรื่องนี้ ถูกเปิดเผยคงไม่พ้น การทำสงครามแย่งตัวไป๋หลงและอู้เฉียงเป็นแน่ องค์จักรพรรดิ์จึงกล่าวบอกแก่ขุนนางคนนั้นทันที
” ท่านเสนามู่ ข้าคงทำให้ท่านผิดหวังเสียแล้วเพราะคนผู้นั้นเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตน ข้าจึงไม่สามารถ เชิญตัวเขามาได้ หวังว่าท่านคงเข้าใจ ” องค์จักรพรรดิ์ กล่าวจบก็เดินไปคุยกับแขกในงานคนอื่นๆทันที ทิ้งไว้ให้เสนามู่ทำสีหน้าปั้นยากอยู่ตรงนั้นด้วยความไม่พอใจ
” หึ..เอาเถอะข้าส่งคนไปสืบเอาเองก็ได้ ” เสน่ามู่กล่าวจบก็เดินหายไปในกลุ่มคนในงานเลี้ยงทันที
” ท่านพ่อข้าขอ ออกไปเดินเล่นข้างนอกได้หรือไม่ ข้างในมันอึดอัด ” เสียงของสตรีนางหนึ่งผมยาวสีดำสลวย กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
” ก็ได้อยู่หรอก..แต่เจ้าเอาผู้คุ้มกันไปด้วยพ่อเป็นห่วงเจ้า ” เสียงของชายวัยกลางคนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ออนโยน หญิงสาวนางนั้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เบ้บากทันทีกล่าวออกมาด้วยความไม่พึงพอใจ
” ท่านพ่อนี้มันในราสสำนักไม่ใครหน้าไหนโง่พอก่อเรื่องขึ้นหรอก ข้าไม่ต้องการคนคุ้มกัน ข้าอยากไปเดินคนเดียวข้างนอก ข้าไปละ ” หญิงสาวกล่าวจบก็เดินหายไปทิ้งไว้ให้ผู้เป็นบิดาเป็นห่วงแต่มีหรือที่ผู้เป็นพ่อ จะยอมปล่อยบุตรสาวไปเพียงลำพัง
” ตามไปคุ้มครองนางด้วย ข้าขอฝากด้วยละ อย่าให้ ซานอี้รู้ตัว ”
” ขอรับนายท่าน ”
” ขอรับนายท่าน ”
” ขอรับนายท่าน ”
เสียงของผู้คุ้มกันตระกูลซานกล่าวตอบรับคำสั่งของซานหลัว ก่อนจะพุ่งตามไปทางที่คุณหนูเดินไป
” นี้เจ้า..ลูกเราก็โตแล้วใยเจ้ายังทำตัวเป็นเสือหวงลูกไปได้ ” ซานหลัวได้ยินเช่นนั้นก็หันกลับมาทางต้นเสียงทันที
” ซานซี ไม่ว่ายังไง ลูกของเรายังเป็นเด็กอยู่ในสายตาของข้า ข้าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมา ทำร้ายลูกของเราเป็นอันขาด ” ซานหลัวกล่าวออกมาด้วยความมุ่งมั่น ซานซีที่เป็นภรรยาของซานหลัว ถึงกับเหนื่อยหน่ายใจกับนิสัยขี้ห่วงลูก
ตอนนี้ซานอี้กำลังเดินตรงออกไปข้างนอกพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอกลางวัน ก่อนจะพึมพำ ออกมา ไป๋หลงเจ้าเป็นใครกันแน่ ขณะที่ซานอี้คิดเรื่อนรอยก็ไปชนเข้ากับคนคนนึงเข้าจนซานอี้ล้มลงกับพื้น
ตึง!
” เจ้าเดินยังไงของเจ้าถึงไม่มองทางข้างหน้าว่ามีคนเดินอยู่ ” เสียงของซานอี้กล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ
ข้าผิด?
เสียงนี้ดังขึ้นทำให้ซานอี้ที่ต่อว่าคนเบื้องหน้าเงียบลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามอง
” ไป๋หลง? เป็นเจ้า ” เสียงของซานอี้ดังขึ้นด้วยความแปลกใจและตกตะลึงไม่แพ้กัน
” เป็นข้าแล้วมันทำไมแล้วเหตุใด เจ้าถึงอยู่ที่นี่ ” ไป๋หลงกล่าวถามแก่ซานอี้ เมื่อซานอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ถลึงตามองไป๋หลงทันที ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ
” เป็นข้ามากกว่าที่ต้องถามเจ้า!! เจ้าเป็นใครกันแน่ ”
ณ.ป่าอสูร
ตอนนี้ไป๋หยางนั่งอยู่นั่งคิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้าเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก เพราะหยกสื่อสารที่ให้ไป๋หลงไปไม่สามารถติดต่อกับไป๋หลงได้
” เต้าจี้ นำกำลังคนของเราไปตามหาข่าวเกี่ยวกับไป๋หลงถ้ารู้แล้ว แจ้งข้าทันที ข้าจะพาไป๋หลงกลับมาด้วยตัวเอง ส่วนพวกท่านผู้อาวุโส ข้าขอให้พวกท่านสร้างค่ายกล สยบนภา ไว้ให้พร้อมก่อนไป๋หลงกลับมา
เมื่อพวกผู้อาวุโสได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าไม่สู้ดีก่อนจะตอบกลับไป๋หยางในทันที
” ขอรับนายท่าน ตามที่ท่านพึงปราถนา” ผู้อาวุโสกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะกลายเป็นเงาสีดำหายไปเมื่อผู้อาวุโสไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ไป๋หยางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงไป๋หลงอย่างที่สุด
” ไป๋หลงเจ้าอยู่ที่ไหนกันนะ…ถ้าเจ้ายังไม่มาได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็จะใช้ทุกย่างเพื่อปกป้องเจ้าถึงแม้ว่าตัวข้าจะต้องตายก็ตาม ”
จบ..