เทพสงครามพิทักษ์โลก - บทที่ 61
แต่เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายที่เข้ามาอย่างดุดัน ก็แน่ชัดว่าอีกฝ่ายเข้ามาหาเรื่องแน่
เย่หมิงจ้องไปที่หม่าตงแล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นายคือหม่าตงใช่ไหม ฉันคือเย่หมิงจากตระกูลเย่แห่งเมืองเอก ฉันมาที่นี่เพื่อที่จะบอกนายว่า งานประกวดราคาวันพรุ่งนี้โครงการเขตอุตสาหกรรมจะต้องเป็นของเย่ซื่อกรุ๊ป!”
พรุ่งนี้จะถึงวันงานประกวดราคาแล้ว
เพื่อให้โครงการเขตอุตสาหกรรมมาอยู่ในมืออย่างง่ายดาย
เย่หมิงจึงเลือกวิธีการที่ตรงไปตรงมาและป่าเถื่อนที่สุด นั่นก็คือมาหาหม่าตงถึงที่นี่
โดยเขาเชื่อว่าด้วยชื่อเสียงของตระกูลเย่แห่งเมืองเอกแล้ว หม่าตงคงไม่กล้าปฏิเสธ
ตระกูลเย่แห่งเมืองเอก?
หม่าตงบ่นพึมพำกับตัวเอง
นับว่าเป็นตระกูลในระดับรองของเมืองเอก
หากเป็นเมื่อก่อน หม่าตงอาจจะไว้หน้าตระกูลเย่แห่งเมืองเอกอยู่บ้าง
เพราะแม้ว่าตัวเองจะเป็นตระกูลร่ำรวยของตงไห่ แต่เมื่อเทียบกับตระกูลเย่แห่งเมืองเอกแล้วนับว่ายังมีช่องว่างอยู่มาก
แต่ตอนนี้ หม่าตงได้รับปากหยางเฟิงไปแล้วว่าจะยกโครงการเขตอุตสาหกรรมให้แก่เฟิงเมิ่งกรุ๊ป
เขาจะกล้ายกโครงการเขตอุตสาหกรรมให้เย่ซื่อกรุ๊ปอีกได้อย่างไร
หากเขาทำผิดต่อหยางเฟิง ต่อให้เป็นเทวดาก็คงช่วยอะไรเขาไม่ได้
อีกอย่างเย่หมิงพาพวกบุกเข้ามาในบ้านแบบนี้ ถือว่าไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
หม่าตงหน้าดำคร่ำเครียด “ไม่ว่าพวกคุณจะเป็นใครก็ตาม แต่การบุกเข้ามาที่บ้านของฉันแบบนี้ แถมยังบังคับให้ฉันยกโครงการเขตอุตสาหกรรมให้อีก พวกคุณคิดว่าคนอย่างหม่าตงรังแกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ฮ่าๆๆ!”
ได้ยินดังนั้นเย่หมิงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “หม่าตง อย่าคิดว่าตัวเองเป็นเศรษฐีแนวหน้าของตงไห่แล้วจะแน่มาจากไหนนะ ในสายตาของฉัน แกก็เป็นแค่มดเล็กๆ ตัวหนึ่ง ถ้าแกยอมยกโครงการเขตอุตสาหกรรมให้ฉัน ทุกอย่างจะคุยกันง่ายขึ้น แต่ถ้าแกไม่ยอม……”
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ สีหน้าของเย่หมิงก็เคียดแค้นขึ้นมา
เย่กวงก้าวออกมาเช่นกัน “หม่าตง คนที่รู้จักเวลาคือคนที่ฉลาดที่สุด ฉันขอแนะนำแกให้ยอมทำตามแต่โดยดี อย่าหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว!”
ก่อนหน้านี้ตระกูลเย่แห่งตงไห่เป็นเพียงตระกูลระดับรองตระกูลหนึ่ง ในสายตาของหม่าตงก็เป็นได้แค่หมาตัวหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่าตอนนี้เย่กวงกำลังช่วยตระกูลเย่แห่งเมืองเอกอยู่ เขาจึงไม่เห็นหม่าตงอยู่ในสายตา
ตอนนี้การได้ตะโกนใส่หม่าตง ทำให้เย่กวงรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
หม่าตงมองไปที่เย่กวงแล้วกล่าวเสียดสีว่า “แกคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าพูดจาแบบนี้ต่อหน้าฉัน แกลืมไปแล้วเหรอว่าตอนนั้นพวกแกมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้านฉันยังไง”
“แก……”
เย่กวงโกรธจนหน้าแดงก่ำ
เหตุเกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันเกิดของหม่าตง
หยางเฟิงติดต่อหม่าตง ให้ช่วยกันกดดันตระกูลเย่
เย่กวงและคนอื่นๆ ต่างต้องนั่งคุกเข่าลงกับพื้นและขายหน้าเป็นอย่างมาก
ตอนนี้หม่าตงยังอุตส่าห์ยกเอาเรื่องเก่าขึ้นมาพูดอีก นี่ยิ่งทำให้เย่กวงยิ่งขายหน้าเข้าไปอีก
“เอาล่ะ เรื่องราวขายหน้าเมื่อก่อนของพวกแกไม่ต้องยกขึ้นมาพูดอีกแล้ว ตอนนี้มาคุยกันเรื่องโครงการเขตอุตสาหกรรมจะดีกว่า”
เมื่อเห็นเย่กวงออกมาขัดจังหวะเช่นนี้ เย่หมิงจึงหันไปถลึงตาใส่เขา
ตอนนั้นเย่กวงไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่จ้องไปที่หม่าตงอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
เย่หมิงจ้องเขม็งไปที่หม่าตง แล้วกล่าวถามอย่างอวดเบ่งว่า “ฉันขอถามแกอีกครั้ง สรุปว่าจะยกโครงการเขตอุตสาหกรรมให้พวกเราตระกูลเย่ไหม”
“จะให้ฉันยกโครงการเขตอุตสาหกรรมให้งั้นรึ ฝันไปเถอะ!”
“พวกแกบุกเข้ามาในบ้านฉัน คิดว่าจะรังแกคนอย่างหม่าตงง่ายๆ อย่างนั้นหรือ”
“ใครก็ได้มาลากตัวคนพวกนี้ออกไปที!”
หม่าตงแผดเสียงกร้าว ทันใดนั้นบอดี้การ์ดสิบกว่าคนก็วิ่งเข้ามาแล้วล้อมเย่หมิงกับพวกเอาไว้
เย่หมิงมองไปที่บอดี้การ์ดพวกนั้นแล้วกล่าวอย่างดูแคลนว่า “ก็แค่พวกขยะเท่านั้น กล้ามาโอหังใส่ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายเอง!”
“ไอ้หน้าบาก คนพวกนี้ยกให้นายจัดการก็แล้วกัน”
เย่หมิงหันไปสั่งการกับชายที่หน้ามีรอยบากด้านข้างตน
ชายที่หน้ามีรอยบากคนนี้ เป็นยอดฝีมือที่เย่หมิงพาตัวมาด้วยจากตระกูลเย่
ชายหน้าบากมองไปที่บอดี้การ์ดของหม่าตงแล้วกล่าวเย้ยหยันว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะจัดการไอ้พวกขยะพวกนี้เอง”
สิ้นเสียง ร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเศษเงาแล้ววิ่งออกไป