เทพสงครามอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 13-14
บทที่13 ความจริง
พูดจบ สตาร์ตรถ แล้วค่อยๆจากไป
“ขู่ฉัน? หึ ฉันไม่กลัวมุกนี้หรอกนะ”
หยางเจียวเจียวหันไปบ่นทางด้านที่เย่เทียนจากไป
“ยังจะให้ฉันไปขอโทษที่คฤหาสน์เทียนเชว่? ไม่กลัวจะพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย พวกแกรอไว้เลย กล้ามีเรื่องกับฉัน ฉันให้พวกแกเจอดีแน่”
พูดจบ ก็หาเบอร์หนึ่งโทรออกไปอย่างโมโห!
“หูเฉวียน นายไปตายที่ไหนแล้วห้ะ….”
…………..
“คุณชายครับ ก็แค่ตระกูลหยางเท่านั้นเอง ให้ผมไปจัดการมั้ยครับ?” หลินขุยถามอย่างระมัดระวัง
เย่เทียนส่ายหน้า สายตาไม่เคยหลีกเลี่ยงจากด้านหน้า
“ไม่ต้อง เรื่องหลักสำคัญกว่า กลับคฤหาสน์ก่อน”
คฤหาสน์เทียนเชว่ พูดให้ถูกก็คือ แหล่งคฤหาสน์
ตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองหรงเฉิงบนภูเขาเทียนเชว่ และยังเป็นสถานที่ที่สูงที่สุดในเมืองหรงเฉิง
คฤหาสน์หรูที่สุดของภูเขาเทียนเชว่ ว่ากันว่ามองเห็นวิวทั้งหมดของเมืองหรงเฉิงได้
แต่หลังจากที่แหล่งคฤหาสน์สร้างเสร็จ คฤหาสน์หลังนั้นก็ไม่เคยมีคนเข้าอยู่
มีผู้คนมีอำนาจยอมเสียเงินจำนวนไม่น้อย แม้แต่ขอพักแค่คืนเดียวก็มี แต่ก็ถูกฝ่ายปกครองปฏิเสธทั้งหมด
ไม่มีเหตุผลอื่น ก็แค่มีสิทธิ์ไม่มากพอ!
แต่ตอนนี้ คฤหาสน์หรูที่สุดของภูเขาเทียนเชว่ แสงไฟคริสทัลด้านในกลับถูกเปิดขึ้น
“คุณชายครับ นี่คือเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวกับตระกูลสวีในปัจจุบันครับ เชิญคุณดูก่อนครับ”
เย่เทียนรับเอกสารปึกหนึ่งมาจากหลินขุย แล้วดูอย่างละเอียด
ส่วนของด้านหน้า แนะนำประวัติพัฒนาการของตระกูลสวีและธุรกิจที่ครอบคลุม
พวกนี้ก็แค่เพียงสิ่งของภายนอก ไม่มีความหมายที่จะดู
สิ่งที่เย่เทียนต้องการ คือสิ่งที่เพื่อนสนิท สวีเทียนเฉิง เจอก่อนตาย
ในที่สุดก็เปิดไปเจอหน้านั้น ทันใดนั้นสายตาของเย่เทียนก็แหลมคมขึ้นมาในทันที
“สวีเทียนเฉิง เสียอายุ 26 ปี คุณชายสองตระกูลสวีแห่งเมืองหรงเฉิง ให้กำเนิดโดยภรรยาคนที่สองของผู้นำตระกูล”
“เนื่องจากได้รับบาดเจ็บและพิการจากสงคราม กลับมาเมืองหรงเฉิงวันที่สอง ว่าที่เจ้าสาวถูกแย่ง งานแต่งงานถูกยกเลิก”
“กลับมาเมืองหรงเฉิงวันที่สาม สินทรัพย์ภายใต้ชื่อถูกโอนย้ายทั้งหมด”
“กลับมาเมืองหรงเฉิงวันที่ห้า ตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ สองตาถูกควัก ศพถูกเผาอย่างรวดเร็ว!”
…………..
พวกนี้เย่เทียนรู้มาหมดแล้ว ตอนนี้มาปะติดปะต่อ ก็ยิ่งมีจุดที่น่าสงสัย
ทั้งๆที่ถ่ายพรีเวดดิ้งและแจกบัตรเชิญแล้ว แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงยกเลิกงานแต่ง?
อีกอย่าง หลินเสว่ไม่เพียงไม่สนใจการตายของสวีเทียนเฉิง แล้วยังหันไปแต่งงานกับสวีเทียนหมิงพี่ชายต่างแม่ของสวีเทียนเฉิง
ไร้สาระมาก แต่ก็เป็นเรื่องจริง
เว้นแต่ว่า เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ เป็นแผนการมาแต่แรก?
นอกจากนี้ สวีเทียนเฉิงยังไม่ตาย สินทรัพย์ภายใต้ชื่อก็ถูกโอนย้ายไปหมด
มันดูไร้เหตุผลไม่ใช่หรอ?
และที่สำคัญคือ ก่อนสวีเทียนเฉิงจะตายก็ถูกควักลูกตาออกแล้วด้วย
แล้วตระกูลก็ยังรีบเผาศพ จะต้องอยากปิดบังอะไรแน่ๆ
เย่เทียนขมวดคิ้วแล้วเปิดดูหน้าต่อไป
ทันใดนั้น ประโยคหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของเขา
“ก่อนสวีเทียนเฉิงกลับเมืองหรงเฉิงหนึ่งวัน สวีเทียนหมิงออกไปซิ่งรถกับเพื่อน รถเสียการควบคุม บาดเจ็บสาหัส รีบส่งตัวเข้าโรงพยาบาล”
เย่เทียนยีตา : “อาขุย สิ่งที่เขียนไว้ เป็นเรื่องจริงมั้ย?”
หลินขุยพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “คุณชายครับ เป็นเรื่องจริงครับ หลังจากที่สวีเทียนเฉิงตาย สวีเทียนหมิงนอนโรงพยาบาลสามเดือนเต็มถึงจะออกจากโรงพยาบาลครับ”
เย่เทียนวางเอกสารลง ถอนหายใจยาวๆ
จากนั้นสายตาของเขาก็เย็นชา บรรยากาศในคฤหาสน์ก็เย็นเยือกตามไปด้วย
“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ตระกูลสวี สมควรตาย!”
น้ำเสียงของเย่เทียนทุ้มต่ำ ฟาดมือลงเบาๆ โต๊ะไม้จันทน์แสนหรูก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
“ความหมายของคุณชายคือ สวีเทียนหมิงบาดเจ็บที่ดวงตาหรอครับ?”
หลินขุยถามอย่างระมัดระวัง เหมือนกับว่าคิดอะไรได้ สายตาก็เย็นยะเยือก
“เทียนเฉิงนะเทียนเฉิง นายยังอุตส่าห์มีความคาดหวังจากคุณยายและพี่ชายของนาย แต่ในสายตาพวกเขา นายสู้ไม่ได้แม้กระทั่งคนนอกด้วยซ้ำ”
เย่เทียนกำหมัดแน่น สายตาเต็มไปด้วยความโมโหและเอือมระอา
จนถึงตอนนี้ เขาถึงจะเข้าใจทุกอย่าง
สวีเทียนเฉิง ถึงแม้ปกติจะขี้กลัว แต่ในสงครามนั้นเป็นฮีโร่ที่แท้จริง
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเสียสละบังกระสุนไว้ เย่เทียนในตอนนี้ อาจจะไม่มีอำนาจและฐานะอย่างตอนนี้
และที่เขาทำพวกนี้ ก็เพราะอยากได้การยอมรับจากคุณยาย อยากที่จะเข้าร่วมกับตระกูลอย่างแท้จริงก็เท่านั้น
ความหวังที่น่าเวทนา
แต่ว่า เป็นเพราะถิ่นกำเนิด
ท่านหญิงสวีไม่เคยมองสวีเทียนเฉิงตรงๆสักครั้ง ในสายตาของเธอ มีเพียงสวีเทียนหมิงที่เป็นหลานคนเดียวเท่านั้น
ส่วนสวีเทียนเฉิง ไม่ว่าเขาจะพยายามยังไง ได้รับเกียรติมากแค่ไหน สุดท้ายก็ยังเป็นได้แค่คนนอก
ส่วนคนนอก ถ้าไม่ใช้ประโยชน์ ก็คือทอดทิ้ง
ธรรมชาติของมนุษย์มักเป็นความจริงเช่นนั้น
ประจวบเหมาะที่สวีเทียนหมิงบาดเจ็บ ตาบอด
ภายใต้ความหมดหนทาง มีเพียงหลอกสวีเทียนเฉิงที่แทบจะกลายเป็นคนพิการให้กลับมา และใช้เรื่องการแต่งงานเป็นข้ออ้าง
จากนั้น ก็แอบแย่งชิงดวงตาแล้วถ่ายโอนไปยังสวีเทียนหมิง
สวีเทียนหมิงมองเห็นอีกครั้ง ส่วนสวีเทียนเฉิง หลังจากที่ถูกใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็ถูกทอดทิ้งอีกครั้ง
ตายด้วยความที่ถูกเหยียบย่ำและไม่พอใจ ถึงแม้จะตายไปแล้ว ยังต้องถูกพี่สะใภ้ที่โลภเหยียบย่ำดูถูก
ตระกูลสวี แผนการที่โหดร้ายจริงๆ
จิตใจโหดเหี้ยมจริงๆ!
“ตระกูลสวี!”
เย่เทียนพูดออกมาด้วยความเย็นเยือก กำหมัดแน่น
ความอำมหิตที่น่ากลัวพุ่งขึ้นมากมาย แม้ว่าจะเป็นหลินขุยเองก็ยังหวาดกลัว
“คุณชายครับ ให้ผมไปจับสวีเทียนหมิงมาตอนนี้ให้คุณจัดการดีมั้ยครับ?”
หลินขุยเองก็เป็นคนฉลาด จัดการความคิดความรู้สึกอย่างไว
ในใจรู้สึกไม่พอใจแทนสวีเทียนเฉิง
เย่เทียนส่ายหน้า : “แบบนี้ ก็ง่ายมันเกินไป อีกอย่าง ถ้าไม่มีคนอื่นอนุญาต สวีเทียนหมิงจะใจกล้าทำอย่างนี้หรอ?”
“คุณหมายความว่า?” หลินขุยสงสัย
เย่เทียนแสยะยิ้มทีหนึ่ง : “ท่านหญิงสวี คนที่หลังจากเทียนเฉิงเกิดแล้วเคารพมากที่สุด ก็คือตัวการหลักที่ฆ่าสวีเทียนเฉิงตาย ตระกูลสวี สมควรตายจริงๆ!”
หลินขุยตกใจ ก็จริง ถ้าหากไม่มีการอนุญาตจากท่านหญิงสวี ถึงแม้จะให้ความใจกล้ากับสวีเทียนหมิงเป็นสิบ ก็ไม่กล้าทำเรื่องอย่างนี้
“ยัยแม่มดร้ายนี่ ช่างน่าเกลียดจริงๆ! วันนี้ดูถูกมันไปแล้วจริงๆ” หลินขุยสีหน้าโมโห
เขาเคารพต่อสวีเทียนเฉิงจากใจจริง
ผลงานที่สร้างจากสนามรบ จะเรียกว่าฮีโร่ก็ไม่มากเกินไป
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายจะตายในกำมือของคนที่สนิทใกล้ชิดที่สุด
จุดจบอย่างนี้ ช่างน่าเห็นใจจริงๆ
สีหน้าเย่เทียนเย็นชา หันไปมองหลินขุย สายตาหนักแน่น : “ฉันต้องการหลักฐานทั้งหมด ก่อนวันรำลึกวันตายของสวีเทียนเฉิง”
หลินขุยตกใจไปสักพัก จากนั้นก็พยักหน้า
“คุณชายวางใจได้ หลินขุยจะพยายามอย่างถึงที่สุดแน่นอนครับ”
เย่เทียนพยักหน้า มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดมน
“รอวันรำลึกวันตายของเทียนเฉิง ฉันจะให้พวกมันทุกคนคุกเข่ากราบไหว้ต่อหน้าหลุมศพของเทียนเฉิง! สิ่งที่พวกมันทำไว้กับเทียนเฉิง ก็จะให้พวกมันชดใช้เป็นร้อยเท่า ไม่อย่างนั้น จะปลอบใจเทียนเฉิงที่อยู่บนฟ้าได้ยังไงกัน?”
เย่เทียนนั้นไม่ได้เสียงดัง แต่กลับทำเอาหลินขุยตัวตรง ท่าทางเคร่งขรึม
ครั้งก่อนที่คุณชายใช้น้ำเสียงอย่างนี้พูด ทหารของศัตรูตายนับไม่ถ้วน บาดเจ็บมากมาย
ครั้งนี้ ตระกูลสวี จะต้องชดใช้การกระทำของตัวเอง
บทที่14 ทำไมถึงไม่ทำตาม
ในขณะเดียวกัน ตระกูลสวี!
“สวีฝู นายพูดมาจริงงั้นหรอ?”
ท่านหญิงสวีนั่งอยู่ที่นั่งชั้นบนในห้องโถง ท่าทางเคร่งขรึม
ด้านล่างคือสวีฝูที่ถูกหลินขุยทำร้ายหน้าด้านขวาบวมเป่งเหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ น่าตลกมาก
“นายหญิงครับ ผมเห็นเองกับตา เย่เทียนไม่เพียงแต่ให้ลูกน้องทำร้ายหยางเจียวเจียว แล้วยังสั่งให้หยางไห่ซานพาหยางเจียวเจียว ไปยอมรับผิดขอขมาที่คฤหาสน์เทียนเชว่ภายในวันพรุ่งนี้ด้วยครับ”
สวีฝูกุมหน้าด้านขวาไว้ พูดออกมา
“คฤหาสน์เทียนเชว่ หึ เจ้าเย่เทียน!”
ท่านหญิงสวีสายตาขรึม รอยตีนกาบ่นใบหน้าย่นเข้าด้วยกัน
“มีปัญหากับตระกูลสวีของฉันก่อน ตอนนี้ยังไม่วางตระกูลหยางไว้ในสายตา คิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าจริงๆงั้นหรอ?”
พูดแล้วก็หันไปมองสวีเทียนหมิงที่อยู่ข้างๆ
“เทียนหมิง ตัวตนของเย่เทียนสืบเจอรึยัง?”
ท่าทางของสวีเทียนหมิงนิ่ง : “คุณยายครับ เทียนหมิงไร้ประโยชน์เอง นอกจากข้อมูลที่ผู้คนรู้ นอกนั้นสืบไม่เจอเลยครับ”
“ฮืม?” สีหน้าท่านหญิงสวีประหลาดใจ “คนธรรมดาคนหนึ่ง กล้ามาต่อกรกับตระกูลสวีของฉัน?”
สวีเทียนหมิงและสวีฝูก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไร!
“สืบไม่เจอก็ช่าง! เทียนหมิง ไป เชิญผู้นำตระกูลหยางมา”
สายตาของท่านหญิงสวีโหดเหี้ยม : “บอกว่าฉันมีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับเขา”
“ได้ครับ คุณยาย!”
สวีเทียนหมิงตอบรับ แล้วรีบตรงไปยังตระกูลหยาง
ในตอนที่ก้มหน้า ปรากฏรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา!
“คุณชายครับ รถเปลี่ยนมาแล้วครับ วันนี้จะไปไหนครับ?”
พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น เย่เทียนออกกำลังกายในคฤหาสน์เหมือนอย่างทุกวัน
ส่วนหลินขุย นั้นเปลี่ยนรถจี๊ปที่เสียไปครึ่งหนึ่งเป็นรถแลนด์โรเวอร์กลับมา
“ไม่รีบ รอเช้ากว่านี้ ไปบ้านตระกูลหยาง!”
“บ้านตระกูลหยาง?” หลินขุยนิ่ง เพราะเรื่องเมื่อวาน?
เย่เทียนหมุนคอรอบหนึ่ง เสียงของกระดูกดัง
“ได้ยินมาว่า หลินเสว่มีความสัมพันธ์กับตระกูลหยางนิดหน่อย!”
…………..
ผ่านเวลาเที่ยงไป รถแลนด์โรเวอร์ถึงจะเคลื่อนออกจากคฤหาสน์
นอกคฤหาสน์ ชายชราหลายคนที่ซ่อนอยู่ อยากจะมองดูว่าใครคือคนที่มีสิทธิ์พักอยู่ที่นี่
แต่น่าเสียดาย กระจกรถแลนด์โรเวอร์ถูกจัดการมาอย่างพิเศษ มองจากข้างนอกไม่เห็น
ทำได้แค่เพียงถอนหายใจ
“เฮ้ย นายรีบหน่อยไม่ได้หรอ? ผู้ชายทั้งคน ชักช้าเหมือนกับผู้หญิง ไม่อายคนรึไง?”
ในตอนนี้ ขั้นบันไดของภูเขาเทียนเชว่
หนุ่มสาวคู่หนึ่ง กำลังมุ่งหน้าสู่ยอดเขา
“พี่เจียวเจียว พวกเราขึ้นไปอย่างนี้ น่าจะไม่ดีมั้ง?” ผู้ชายเงยหน้ายิ้มอย่างลำบากใจ
อายุของเขาดูแล้วโตกว่าหยางเจียวเจียวสองปี แต่อยู่ต่อหน้าหยางเจียวเจียว เป็นได้แค่น้องชายเท่านั้น
“มีฉันอยู่ นายยังกลัวอะไร? ก่อนหน้านั้นนายเอาแต่โม้กับฉันว่านายหูเฉวียนเก่งแค่ไหนไม่ใช่หรอ? ทำไมตอนนี้ถึงกลัวแล้วละ?”
หยางเจียวเจียวมือเท้าสะเอว มองเขาอย่างดูถูก
หูเฉวียน นายน้อยตระกูลหู ก็นับว่าเป็นหนึ่งในคุณขายของเมืองหรงเฉิง
“พี่เจียวเจียว ผมไม่ได้กลัว ผมเคยได้ยินพ่อผมบอกว่า คนที่พักอยู่บนภูเขาเทียนเชว่ต่างก็เป็นคนใหญ่คนโต ถ้าหาก…..”
“ก็บอกกับนายไปแล้วไม่ใช่หรอ ไอ้นั้นมันก็แค่คนจน จะเป็นคนใหญ่คนโตได้ยังไง?”
หยางเจียวเจียวกลอกตาใส่เขา
“แล้วอีกอย่าง ไม่ได้ให้นายลงมือสักหน่อย นายแค่เพียงไปหลอกไอ้นั่นลงมาก็พอแล้ว”
หยางเจียวเจียวแสยะยิ้ม นึกถึงเรื่องเมื่อวาน ก็ยิ่งโกรธแค้นขึ้นมา
“กล้าให้หยางเจียวเจียวคนนี้ขอโทษ คงจะอยู่ไม่เป็นสุขแล้วจริงๆ ขอแค่เพียงพามันไปที่ถิ่นของฉัน ฉันจะทำให้มันอ้อนวอนร้องขอความตาย!”
พูดแล้วก็ถีบไปที่ก้นของหูเฉวียนทีหนึ่ง
“ให้ไว จัดการเสร็จฉันยังต้องไปแข่งรถอีก ไม่มีเวลามาเสียเวลาเล่นกับนาย”
หูเฉวียนถึงกับอยากร้องไห้ แต่ทำได้เพียงแค่เดินหน้าต่อไป
เขารู้อยู่แล้วว่าทุกครั้งที่ออกมากับหยางเจียวเจียวไม่เคยมีเรื่องดีเลย
หยางเจียวเจียวกำลังคิดว่าเดี๋ยวจะจัดการกับเย่เทียนยังไง หันหน้าไปก็เจอเข้ากับรถแลนด์โรเวอร์ลงมาจากยอดเขาพอดี
“หูเฉวียน เร็ว ไปขวางรถคันนั้นไว้”
สายตาไปเจอเข้ากับหลินขุยที่ที่นั่งคนขับพอดี
หยางเจียวเจียวตื่นเต้นรีบโบกมือเรียกหูเฉวียน
หูเฉวียนหันหน้าไปอย่างช่วยไม่ได้ ยืนอยู่ตรงกลางถนน หันหน้าเข้าหารถแลนด์โรเวอร์ที่ขับมา
หลินขุยขมวดคิ้ว เห็นว่าเย่เทียนไม่แสดงท่าทางอะไร จึงไม่มีความคิดที่จะหยุดรถ
หูเฉวียนทำท่าหยุดรถให้กับหลินขุย แต่ว่ารถแลนด์โรเวอร์ดูท่าไม่มีการชะลอรถเลย
“เหี้ย แกจะชนฉันตายรึยังไง?”
หูเฉวียนขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลบ
เขาไม่เชื่อว่ารถแลนด์โรเวอร์นี้จะผ่านตัวเขาไปงั้นหรอ
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็รู้แล้วว่าไม่ปกติแล้ว ระยะห่างรถกับเขายิ่งอยู่ยิ่งใกล้ แต่กลับไม่ชะลอลงเลยสักนิด รวมทั้งยิ่งอยู่ยิ่งเร็ว
สิบเมตร เก้าเมตร แปดเมตร…..
กู้ฉวียนถึงกับเหงื่อแตกทันที
“จอดรถ รีบจอดรถ! อ๊า!”
ในสาวตาของหูเฉวียนรถยิ่งอยู่ยิ่งใหญ่ขึ้น ดูแล้วกำลังจะชน
เอี๊ยด ——
เสียงเบรกที่แสบหู รถจอดลงตรงหน้าของหูเฉวียน
ระยะห่างจากจมูกของหูเฉวียนห่างเพียงแค่นิ้วเดียวเท่านั้น
“นายๆ ฉันๆ….”
แผ่นหลังหูเฉวียนถึงกับเปียก พูดจาไม่ต่อเนื่อง ขาอ่อน ล้มลงกับพื้น
เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น เขาก็จะได้ไปเจอยมบาลแล้ว
อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่หยางเจียวเจียวเองก็ตกใจ
นี่ถือว่าอะไร ข่มขู่งั้นหรอ?
“เฮ้ย นายขับรถยังไงเนี่ย?”
หูเฉวียนลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก แล้วก็ต่อว่าใส่หลินขุย
ที่ผ่านมามีแต่เขาที่มีสิทธิ์ชนคนอื่น อย่างสถานการณ์แบบนี้ก็เป็นครั้งแรก
“แม่งเอ้ย ใจกล้านี่ ยังอยากจะชนฉัน? ไสหัวลงมาเดี๋ยวนี้”
หูเฉวียนจะแสดงท่าทีเชื่อฟังแค่ต่อหน้าหยางเจียวเจียวเท่านั้นแหละ
“หูเฉวียน อย่าไปยุ่งยากกับมัน”
หยางเจียวเจียวรีบเข้ามา เมื่อเจอเข้ากับศัตรูก็ยิ่งโมโหมากขึ้น
เห็นหลินขุยและเย่เทียน หยางเจียวเจียวนั้นเรียกได้ว่าโกรธเกลียดอย่างมาก
“ใจกล้าก็ไปสถานที่หนึ่งกับพวกฉัน ว่ายังไง? กล้ามั้ย?”
เผชิญหน้ากับการหาเรื่องของหยางเจียวเจียว เย่เทียนก็ยังมองไปด้านหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลินขุยลงรถ ใบหน้าไร้อารมณ์
“คุณชายให้เธอพาพ่อของเธอมาขอขมา ทำไมเธอไม่ทำตาม?”
หลินขุยนั้นตัวใหญ่กำยำอยู่แล้ว ตอนนี้ยังใช้สีหน้าเคร่ง ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับจางเฟย
“นาย นายจะดุทำไม ฉันก็มาแล้วนี่ไง? อยากให้ฉันขอโทษก็ได้ แต่นายกล้าไปสถานที่หนึ่งกับฉันมั้ยละ?”
ความดุร้ายของหลินขุย หยางเจียวเจียวยังจำได้ดี
ตอนนี้ก็ยังรู้สึกกลัวอยู่
ดังนั้น จึงมีเพียงแค่พาพวกเขาไปยังถิ่นของตัวเอง ที่นั่นจัดเตรียมไว้หมดแล้ว
ขอแค่เพียงพวกเขาไป ก็จะได้ไปไม่กลับแน่นอน
“แม่งเอ้ย ให้พี่เจียวเจียวขอโทษนาย? สมองนายมีปัญหาหรอ?”
คิดถึงความน่าสมเพชเมื่อกี้ หูเฉวียนก็โมโหขึ้นมาทันที
“แล้วนายเป็นใคร? ที่นี่ไม่มีส่วนให้นายพูด!”
หลินขุยถลึงตาใส่เขา มีความรำคาญ
“ฉัน? แม้แต่ฉันนายก็ไม่รู้จัก?”
หูเฉวียนประหลาดใจก่อน จากนั้นก็แสยะยิ้มอย่างดูถูก
“ก็ว่าทำไมถึงกล้าอวดเก่งขนาดนี้! ที่แท้ก็บ้านนอกสองคนจริงๆ ฟังให้ดี ฉันคือหูเฉวียนแห่งตระกูลหู! ถ้ารู้ ก็ไปกับพวกเรา ไม่อย่างนั้น ผลลัพธ์พวกแกรับไม่ไหวแน่”
หูเฉวียนนั้นเป็นคนไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว บวกกับยังมีหยางเจียงเจียวคนนี้เป็นเบื้องหลังให้อีก
ยิ่งทำให้หูเฉวียนไม่กลัวเข้าไปอีก
“ตระกูลหู? ก็แค่มดเท่านั้นแหละ!”
หลินขุยไม่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงอะไรก็จะเข้าไปสั่งสอนเขาสักหน่อย
กึก ——
ประตูรถค่อยๆเปิดออก เย่เทียนลงจากรถด้วยสีหน้านิ่ง
“นาย เป็นคนของตระกูลหู?”