เทพสงครามอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 44
บทที่ 44 เสี่ยววี่หมาว
“อ๊ากกกกก! มีคนฆ่ากัน มีใครอยู่ไหม มีคนฆ่ากัน!”
หลัวเสียนถูกฉากที่อยู่ตรงหน้าทำให้ตกใจจนร้องเสียงแหลมออกมาในทันที
ส่วนหลัวหย่งคังนั้นกำลังร้องอย่างน่าเวทนา เอามือกุมใบหูกลิ้งอยู่บนพื้น
ที่ที่เขาเคลื่อนตัวผ้าทิ้งรอยเลือดเอาไว้เป็นทาง เรียกได้ว่าอนาถจนแทบทนดูไม่ได้
“พวกแก พวกแกทำผิดกฎหมาย! กล้าทำหูของเสี่ยวคังบาดเจ็บ ฉันจะฟ้องร้องพวกแก!”
หลินขุยร้อง ‘เฮอะ’อย่างหยิ่งยโสเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลัวเสียนที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขายกกริชในมือขึ้นมา
“ถ้าคุณยังกล้าพูดมากกว่านี้แม้แต่คำเดียวละก็ ผมไม่ถือนะ ถ้าจะต้องตัดลิ้นของคุณออกมา”
หลัวเสียนเปลี่ยนสีหน้า ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว ทำได้เพียงมองหลินขุยอย่างเหี้ยมโหด กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด
“คุณท่าน…”
ตอนที่หลินขุยหันตัวกลับไป คิดจะขอคำสั่งจากเย่เทียนว่าควรจะจัดการอย่างไร
แต่เย่เทียนกลับไม่พูดอะไร แต่กลับเดินไปหาเด็กผู้หญิงที่โดนหลัวหย่งคังตบไปหนึ่งทีก่อนหน้านี้ทีละก้าว ๆ
ในตอนนี้เด็กคนอื่น ๆ ก็ยืนอยู่รวมกัน มองรอบ ๆ ด้วยความงุนงง
มีแค่เด็กผู้หญิงคนนั้นที่ยืนอยู่อีกข้างอย่างโดดเดี่ยว
ราวกับเกาะโดด ๆ เกาะหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทร ข้าง ๆ เป็นผืนน้ำสุดลูกหูลูกตาไม่มีที่สิ้นสุด
“บอกอาได้ไหมคะว่าหนูชื่ออะไร?”
เย่เทียนนั่งยองอยู่ตรงหน้าเด็กหญิง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก
แต่เด็กหญิงกลับถอยหลังไปสองก้าวอย่างระมัดระวังตัว เอาถุงพลาสติกในมือซ่อนไว้ด้านหลัง
“เสี่ยววี่หมาวค่ะ!” เสียงของเด็กหญิงดูขี้ขลาด แต่กลับมีชีวิตชีวา ไพเราะมาก
“เสี่ยววี่หมาว! อืม… เป็นชื่อที่เพราะมาก! ใครตั้งให้หนูคะ?” เย่เทียนปวดใจ พยายามทำให้น้ำเสียงอ่อนโยนจนถึงที่สุด!
“หนูตั้งเองค่ะ!”
“ทำไมถึงตั้งชื่อนี้ล่ะคะ?” เย่เทียนประหลาดใจเล็กน้อย!
“เพราะว่าขนนกบินได้ค่ะ!” เด็กหญิงตอบอย่างขลาดกลัว!
เย่เทียนยิ้มอย่างเข้าใจเด็กหญิงอย่างทะลุปรุโปร่ง “หนูอยากบินมากไหมคะ? อาทำให้หนูสมปรารถนาได้นะ!”
“จริงเหรอคะ?” เด็กหญิงดีใจมาก ดวงตาที่สดใสมีชีวิตชีวาเปล่าประกายโชติช่วง “ถ้าอย่างนั้นคุณอาพาหนูไปหาพ่อแม่ได้ไหมคะ?”
เย่เทียนใบหน้าแข็งค้าง มองสายตาที่รอคอยของเด็กหญิง ไม่รู้ว่าจะควรจะตอบอย่างไร
เด็กจะเริ่มจำความได้ตั้งแต่สามขวบ แต่เธออายุสี่ขวบแล้ว!
“หนูเคยได้ยินพี่สาวคนหนึ่งพูดมาค่ะ ว่าถ้าหากบินได้ หนูก็จะสามารถไปหาพ่อแม่ได้แล้ว!”
“คุณอาคะ คุณอาพาหนูไปได้ไหมคะ?”
เมื่อมองดูเด็กหญิงที่มีความคาดหวังอยู่เต็มใบหน้า และต้องเผชิญหน้ากับดวงตาที่บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนแม้แต่น้อยนั่น
เย่เทียนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา!
สายตาของเธอเหมือนกับเทียนเฉิงทุกประการ
เทียนเฉิงหวังมาตลอดว่าจะได้รับการยอมรับจากคุณย่า!
ส่วนเสี่ยววี่หมาว ปรารถนาจะหาพ่อแม่จนพบมาโดยตลอด!
ล้วนแต่ร้อนแรงแกร่งกล้า แต่ความจริงมักจะโหดร้ายเสมอ!
“นะ… แน่นอนสิ แต่ว่าหนูต้องเอาของที่อยู่ในมือมาให้อาดูหน่อย!” เย่เทียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับหนักหน่วงมาก
“ให้ค่ะ!”
เด็กหญิงเอาถุงพลาสติกวางไว้ที่ตรงหน้าของเย่เทียนอย่างไม่คิดคำนึงสักนิด
เย่เทียนรับไปดู ด้านในมีแอปเปิลอยู่ครึ่งลูก
แต่มันเหี่ยวแล้ว แสดงให้เห็นว่าถูกทิ้งไว้นานมากแล้ว
ตรงที่ถูกหั่นเริ่มดำแล้ว ชัดเจนว่ามันกินไม่ได้แล้ว
“แอปเปิลนี้มันเสียแล้วนะ ยังกินได้อยู่เหรอคะ?” เสียงของเย่เทียนสั่นบาง ๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว
เด็กหญิงพยักหน้าแรง ๆ “คุณอาคะ นี่เป็นของทุกอย่างที่หนูมี หนูเอามันให้คุณอา คุณอาพาหนูไปหาพ่อแม่ได้ไหมคะ?”
เย่เทียนนิ่งไปอีกครั้ง
เด็กตัวน้อยที่อายุสี่ขวบคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะประสบความทุกข์มากมายขนาดนี้ สิ่งที่คิดอยู่ในใจมาโดยตลอดก็คือพ่อแม่
ความทุกข์ของเธอ! ลึกล้ำมากถึงเพียงนี้!
ยากที่จะจินตนาการว่านาทีที่เธอได้รู้ว่าพ่อแม่ของเธอไม่อยู่แล้ว จะสูญเสียความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไหม
นี่เป็นความจริง ความจริงมันโหดร้ายอย่างนี้แหละ!
จมูกของเขาเริ่มแสบ เขายื่นมือออกไป คิดเพียงอยากจะกอดเด็กหญิงที่น่าสงสารคนนี้
แต่ทว่าเด็กหญิงกลับถอยหลังไปสองก้าว ก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“ทำไมเหรอคะ? หนูกลัวคุณอามากเลยเหรอคะ?” เย่เทียนไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง
เด็กหญิงส่ายศีรษะ “ตัวหนูเหม็นและสกปรกมาก จะเปื้อนเสื้อผ้าของคุณอาได้ค่ะ!”
เย่เทียนมึนงง ก้าวสั่น ๆ ไปข้างหน้าสองก้าว กอดเธอเอาไว้ในอ้อมอกแน่น ๆ
“อาไม่กลัวค่ะ! เสี่ยววี่หมาว กลับบ้านกับอานะคะ จากวันนี้ไปจะไม่มีใครกล้าตีหนู จะไม่มีใครมารังแกหนูได้ จะไม่มีใครมารังเกียจหนูอีก!”
เสี่ยววี่หมาวดีอกดีใจ “ไปหาพ่อแม่ใช่ไหมคะ?”
เย่เทียนส่ายหน้า “พ่อแม่ของหนูอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล รอผ่านไปสักระยะหนึ่งก่อน อาจะพาหนูไปพบพวกเขานะคะ กลับบ้านกับอาก่อนดีไหมคะ?”
“อื้ม!” เสี่ยววี่หมาวพยักหน้าอย่างเบิกบานใจ แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ทันที “คุณอาคะ ที่บ้านคุณอามีแอปเปิลไหมคะ? เสี่ยววี่หมาวชอบกินแอปเปิลที่สุดเลยค่ะ!”
เย่เทียนลูบศีรษะของเธออย่างอ่อนโยน “มีแน่นอน บ้านของอาก็คือบ้านของหนู! หนูอยากได้อะไรก็มีทั้งนั้นแหละค่ะ!”
“เย่ เสี่ยววี่หมาวมีบ้านแล้ว!”
เห็นท่าท่าดีอกดีใจที่น่ารักน่าชังของเธอแล้ว เย่เทียนเองก็ยิ้มตาม!
เทียนเฉิง ลูกสาวของนายน่ารักมาก ๆ เลยนะ! เพียงแต่น่าเสียดายที่นายกลับไม่ได้เห็น!
เย่เทียนอุ้มเสี่ยววี่หมาวเดินไปที่รถ
หลัวเสียนที่คิดจะเอ่ยปากขัดขวางก็โดนหลินขุยจ้องเขม็ง จึงได้แต่ก้มหน้าอย่างว่าง่าย
“เสี่ยววี่หมาว หนูพักผ่อนอยู่บนนี้ก่อนสักครู่นะคะ อายังมีธุระที่ต้องทำอีกนิดหน่อย อีกสักพักค่อยพาหนูกลับบ้านนะ!” เย่เทียนเปิดประตูรถ วางเสี่ยววี่หมาวลงในรถอย่างระมัดระวัง
“อื้ม เสี่ยววี่หมาวจะระวังมาก ๆ ค่ะ ไม่ทำรถสกปรกแน่นอนค่ะ!”
เสี่ยววี่หมาวหดตัวอยู่ในมุมอย่างว่าง่าย เห็นท่าทางเธอระมัดระวัง ในใจของเย่เทียนก็เป็นทุกข์ขึ้นมาอย่างฉับพลัน
กลัวว่าตอนที่เทียนเฉิงยังเป็นเด็กก็เป็นแบบนี้เหมือนกันสินะ?
เห้อ…
จนกระทั่งเย่เทียนย่างเข้ามาในสถานสงเคราะห์อีกครั้ง อารมณ์บนใบหน้าของเขาเยือกเย็นจนหิมะยังเทียบไม่ติด
แตกต่างกับท่าทางละเอียดอ่อนละมุนละไมต่อหน้าเสี่ยววี่หมาวราวกับเป็นคนละคน
“หลอกลวงว่าเป็นคนดี! ยังกล้าบังคับเด็กพวกนี้ไปคุ้ยขยะ! สถานสงเคราะห์แบบนี้เปิดโลกให้ฉันจริง ๆ!”
น้ำเสียงของเย่เทียนเย็นยะเยือก ทุก ๆ คำราวดังอยู่ในใจของหลัวเสียนและหลัวหย่งคังกับเสียงฟ้าร้อง
สีหน้าของทั้งสองคนไม่น่ามองเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรถ้าหากเรื่องนี้ถูกตีแผ่ออกไปละก็ อย่าว่าแต่พวกเขาเลย พนักงานทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งสถานสงเคราะห์นี่จะต้องจบเห่แน่!
“แก อย่าได้ลำพองใจไป ต่อให้ถูกพวกแกเห็นแล้วจะเป็นยังไง? คนตายพูดไม่ได้นี่!”
หลัวหย่งคังกุมใบหู ร้องตะโกนออกมาด้วยใบหน้าเคียดแค้น
“ฉันส่งข้อความไปให้พี่น้องในแก๊งแล้ว รอพวกเขามาถึงแกต้องตายแน่!”
เย่เทียนไม่มีความเคลื่อนไหวใดใด เดินไปอยู่ด้านหน้าของหลัวหย่งคังทีละก้าว ๆ
“เมื่อกี้แกเพิ่งจะตบหลานสาวฉันไปหนึ่งทีสินะ? ยื่นมือออกมา!”
ฟังน้ำเสียงตอนออกคำสั่งของเย่เทียนแล้ว หลัวหย่งคังก็ยื่นมือออกมาในทันที จากนั้นก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว!
กร๊อบ!
เย่เทียนออกแรงเหยียบลงไปบนมือของเขาอย่างโหดร้าย!
“อ๊ากกกก! แก แก…”
หลัวหย่งคังร้องอย่างน่าเวทนาด้วยความเจ็บปวดทรมานจนถึงที่สุด
เย่เทียนกลับไม่มีทีท่าว่าจะยกเท้าขึ้นเลย เขาถึงขั้นเหยียบขยี้อย่างโหดร้าย เหยียบมือของเขาจนจมลงไปในดิน
จนกระทั่งหลัวหย่งคังเจ็บปวดจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว เขาถึงได้ยกเท้าออก บนใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึกมาโดยตลอด
“โตขนาดนี้แล้วยังกล้ารังแกเด็กเล็ก ๆ มือข้างนี้ไม่ต้องเก็บเอาไว้แล้วล่ะ!”