เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 154
ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน แต่ว่าในหลายๆ เรื่องก็ยังเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ มากกว่าเสี้ยวหยา บางทีไม่อาจจะพูดได้ว่าเข้าใจกฎเกณฑ์มากกว่า แต่สามารถพูดได้ว่า ในยุคปัจจุบันนี้ นับวันก็ยิ่งกลายเป็นวัตถุนิยมมากขึ้น คำที่ว่ามีเงินก็สามารถใช้ผีโม่แป้งได้นั้นไม่เป็นที่นิยมแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ถ้าคุณมีเงินคุณก็สามารถใช้ที่โม่แป้งซัดผีได้ นี่ถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง หากว่ามีเงินเชื่อว่าเตียงผู้ป่วยหนึ่งเตียงก็สามารถหามาได้
“งั้น งั้นก็ได้ค่ะ ฉันจะช่วยคุณดูสักหน่อย ฉันจะช่วยคุณดู…” คุณพยาบาลพูดด้วยรอยยิ้ม
“อืม ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่ขาดเงินหรอก!” เย่เทียนเฉินโบกบัตรสีทองในมือของตนเองไปมา
เสี้ยวหยามองจนตกใจ ไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วส่งสายตาไปให้เธอ เสี้ยวหยาไร้เดียงสาจนเกินไป จิตใจดีงามจนเกินไป และผ่านประสบการณ์เช่นนี้น้อยมาก ในยามปกติก็ตั้งใจเรียน ใช้เวลาไปกับการเข้าเรียนและเลิกเรียน พอกลับถึงบ้านก็ยังต้องทำกับข้าวและดูแลคุณแม่ วิถีชีวิตของครอบครัวล้วนแต่พึ่งพ่อของเสี้ยวหยาคนเดียวคอยค้ำจุนเอาไว้ ดังนั้นเสี้ยวหยาจึงรู้ความมาก ดูเหมือนว่าพอเลิกเรียนก็จะกลับบ้านโดยที่ไม่ออกไปเล่นที่ไหน ต่อให้เพื่อนนักเรียนนัดเธอออกไปเดินช็อปปิ้งเธอก็ไม่ไป เพราะว่าถ้าทำแบบนี้ก็ต้องใช้เงิน
“มีอยู่ห้องหนึ่งค่ะ แต่ว่าไม่สามารถให้พวกคุณเข้าไปได้ ห้องนี้เป็นห้องผู้ป่วย VIP ของโรงพยาบาล ถูกท่านรองผู้อำนวยการจองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ขอโทษมากจริงๆ ค่ะ!” คุณพยาบาลหาห้องว่างทางโทรศัพท์นานมาก แต่ก็ไม่อาจหาห้องผู้ป่วยที่ว่างได้จึงกล่าวขึ้น
“รองผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการของพวกคุณป่วยเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“เอ่อ ไม่ได้ป่วยค่ะ แต่ว่าเดือนหน้าแม่ของท่านจะมาตรวจอาการป่วยที่โรงพยาบาลของพวกเรา ดังนั้นจึงต้องทำให้ห้องผู้ป่วย VIP ว่างเอาไว้ค่ะ!” คุณพยาบาลเอ่ยปากพูด
“เดือนหน้า? หากว่าผมจำไม่ผิด เดือนนี้ก็เพิ่งจะวันที่หนึ่ง แม่ของเขามาเดือนหน้า หากว่าจะครอบครองห้องผู้ป่วย VIP ไว้จะไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา
พยาบาลคนนั้นได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เดิมทีเธอก็แค่พูดไปตามปากเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะทำเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ว่าใครก็ทราบได้ถึงเหตุผล รองผู้อำนวยการของโรงพยาบาลครอบครองห้องผู้ป่วยเอาไว้หนึ่งห้อง ยังจะมีใครกล้าพูดอะไรอีกแม้แต่ครึ่งคำ? คุณหมอและพยาบาลของโรงพยาบาลไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพูด ผู้ป่วยตลอดจนครอบครัวของผู้ป่วยก็ไม่มีใครสักคนที่กล้าพูด ในสังคมปัจจุบันนี้ ขนาดหมอธรรมดาๆ ก็ไม่สามารถล่วงเกินได้ ยิ่งถ้าเป็นรองผู้อำนวยการล่ะ?
“นี่…ฮ่ะๆ เรื่องนี้พวกเราไม่มีความสามารถ…” คุณพยาบาลทำได้เพียงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
“ช่างเถอะ ช่างมันเถอะค่ะ ให้แม่ของฉันพักอยู่ที่ตรงทางเดินหนึ่งคืนเถอะ ไม่เป็นไรหรอก!” เสี้ยวหยารีบเปิดปากพูด เธอรู้ว่าเย่เทียนเฉินอาจจะสามารถปปะทุความโกรธออกมาก็เป็นได้ ขอเพียงแค่เขาโกรธก็จะสามารถลงมือกับทุกคนได้โดยไม่สนว่าจะเป็นใคร เกรงว่าหากเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ กระทั่งรองผู้อำนวยการก็คงจะลงมืออัดแรงๆ สักยกก็เป็นได้
“หยาเอ๋อร์ ตรงทางเดินลมพัดแรง ตอนนี้แม่ของเธอก็เพียงแค่เจ็บปวดน้อยลงนิดหน่อยก็เท่านั้น สรุปว่าอาการของโรคเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ ถ้าหากว่าวันนี้อาการกำเริบสาหัสที่ทางเดินก็คงจะวุ่นวายมาก แล้วก็จะต้องรีบให้ผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยถึงจะถูก!” เย่เทียนเฉินมองเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น
“ตะ แต่ว่าผู้เชี่ยวชาญก็เลิกงานกันหมดแล้ว แล้วก็ไม่มีเตียงแล้วด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังต้องการเงินมาก…” เสี้ยวหยากัดริมฝีปากล่างของตนเองแน่น เธอเองก็รู้สิ่งเหล่านี้ที่เย่เทียนเฉินพูดดี เพียงแต่น่าเสียดายที่เธอไม่มีทางทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย นี่เป็นครอบครัวธรรมดาที่ไม่มีอำนาจไม่มีอิทธิพลครอบครัวหนึ่ง และยังไม่มีเงินจนต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไปทั่ว รสชาติการขอร้องคนแบบนั้นช่างไม่ดีเลยจริงๆ
“ไม่เป็นไร มีฉันอยู่ไง ให้ฉันจัดการเถอะ เธอไม่ต้องพูดอะไรหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉิน ทันใดนั้นก็พบว่า แม้บางครั้งเขาจะมีท่าทางเหลาะแหละไปบ้าง แต่เวลาที่เอาจริงเอาจังขึ้นมาก็สามารถทำให้เธอมีความรู้สึกปลอดภัยอย่างแรงกล้าได้ ผู้ชายที่ชอบพูดเรื่องตลกและมักจะมีใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มคนนี้ ตั้งแต่ที่เธอได้เจอกับเขา ล้วนช่วยเหลือเธอ ช่วยเหลือเธอโดยที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย ทำให้ในใจของเสี้ยวหยารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
“อืม ฉันจะฟังนาย!” เสี้ยวหยาพูดแล้วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย หันไปใช้ฝ่ามือตบลงบนเคาน์เตอร์ พูดอย่างเย็นชาว่า “พวกผมต้องการห้องผู้ป่วย VIP ห้องนั้น เงินไม่ใช่ปัญหา ส่วนรองผู้อำนวยการอะไรนั่น หากว่าเขาต้องการเล่นงานใคร ก็ให้มาหาผม”
“นะ นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะคะ ฉันทำแบบนี้ไม่ได้ค่ะ!”พยาบาลคนนั้นพูดด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน เธอไม่กล้าจะทำแบบนั้นจริงๆ หากว่าให้พวกเย่เทียนเฉินเข้าพักในห้อง VIP ที่รองผู้อำนวยการจองเอาไว้จริงๆ เกรงว่าไม่เพียงแต่จะถูกกฎเกณฑ์ลับๆ นั้นเล่นงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เป็นไปได้มากกว่ากระทั่งหน้าที่การงานก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้ รวมกับที่นิสัยของรองผู้อำนวยการหุนหันพลันแล่นเป็นอย่างมาก แล้วยังมีความสัมพันธ์กับข้าราชการในเมืองหลวงอีกหลายคน ต่อให้เป็นผู้อำนวยการก็ไม่กล้าล่วงเกินเขาง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพยาบาลตัวเล็กๆ อย่างเธอเลย
“มีเรื่องอะไรก็ให้รองผู้อำนวยการคนนั้นมาหาผมก็พอแล้ว ห้องผู้ป่วยที่ว่างอยู่ไม่ให้ผู้ป่วยคนอื่นเข้าไปพัก เขาทำแบบนี้เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวมาก คนแบบเขาไม่สมควรที่จะได้เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงหรอก!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา
“หึ ผมไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง หรือคุณจะตัดสินได้หรือไง? พ่อหนุ่ม ผมขอเตือนให้คุณรีบขอโทษและสำนึกผิดกับผมซะดีกว่า ไม่อย่างนั้นผมคงทำได้เพียงให้พวกคุณทุกคนไสหัวออกไปจากโรงพยาบาล!”
ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนอ้วนเตี้ยลงพุงคนหนึ่งเดินเข้ามา ข้างหลังของเขายังมีคุณหมออีกสองคนตามมาด้วย คำพูดเมื่อครู่นี้ได้แสดงถึงฐานะของชายวัยกลางคนคนนี้แล้ว เขาก็คือรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่แห่งเมืองหลวง สูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร แต่กลับวางท่าเป็นอย่างมาก จะเดินไปที่ไหนก็มีท่าทางของหัวหน้าอยู่ตลอดเวลา ข้างหลังยังมีหมอขี้ประจบติดตามอยู่อีกอยู่สองคน สายตาของเขาที่เย่เทียนเฉินและคนอื่นๆ เห็นให้ความรู้สึกราวกับว่าคำพูดของเขาสามารถตัดสินความเป็นความตายของผู้คนได้อย่างไรอย่างนั้น
ในยุคนี้ หมอล้วนมีฐานะสูงส่ง ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะล่วงเกินได้ แล้วก็ไม่กล้าล่วงเกินด้วย เพราะว่าไม่ว่าใครก็สามารถที่จะป่วยได้ หมอก็เปรียบเหมือนพระผู้ช่วยโลกของมนุษย์ ทุกคนต่างก็หวงแหนชีวิต ย่อมต้องให้ความเคารพกับคนที่สามารถรักษาชีวิตของพวกเขาได้ เพียงแต่ความเคารพนี้ออกจะมากจนเกินไป จึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นความนอบน้อมไม่ใช่ความเคารพ
คนในระดับเช่นผู้อำนวยการนี้ จิตใจได้ดำมืดไปนานแล้ว และยังโลภมากอีกด้วย ไหนเลยจะยังเห็นชีวิตคนเป็นชีวิตคนอยู่อีก ดูแคลนเสียยิ่งกว่ามดตัวหนึ่งด้วยซ้ำ ตอนนี้รองผู้อำนวยการที่อ้วนเหมือนหมูพบว่า ถึงกับมีคนกล้ามาตำหนิตนเอง ครอบครัวของผู้ป่วยกล้าตำหนิตนเอง ช่างทำตัวกบฏจริงๆ
“คุณก็คือรองผู้อำนวยการที่เห็นแก่ตัวคนนั้นหรอครับ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินมีรอยยิ้มปรากฏออกมา ในใจของรองผู้อำนวยการคนนี้ก็ยิ่งได้ใจ คิดว่าอีกฝ่ายก็รู้จักกลัวแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่ใจกว้างคนหนึ่ง มิฉะนั้นคงไม่ทำเรื่องเห็นแก่ตัวแบบนี้ออกมา จุดด่างพร้อยจำเป็นต้องรายงาน เขามองสำรวจเย่เทียนเฉินด้วยความไม่พอใจ แล้วยังดูถูกเหยียดหยามมากยิ่งขึ้น เพราะท่อนบนของเย่เทียนเฉินสวมเสื้อยืด ส่วนชั้นล่างก็เป็นกางเกงชายหาด แล้วยังสวมรองเท้าแตะอีกด้วย เพียงแค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่ออกมาจากตระกูลสูงหรือตระกูลร่ำรวยอะไร จึงไม่ต้องเกรงใจ สั่งสอนแรงๆ สักครั้งจะดีที่สุด
“ถูกต้อง ผมหวางจื้อลี่ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง เมื่อครู่นี้ผมพึ่งจะได้ยินคุณด่าผม ผมอยากจะฟังสักหน่อย คุณลองด่าอีกครั้งสิ?” หวางจื้อลี่ยื่นศีรษะอ้วนและใบหูใหญ่เข้ามาใกล้เย่เทียนเฉิน ยิ้มเย็นชาพลางพูดออกมาด้วยท่าทางหาเรื่องอยู่มาก
“ตอนนี้ผมไม่อยากด่าแล้วล่ะ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ
“รู้ตอบว่าไม่กล้าก็ดีแล้ว ไอ้ลูกเต่า รีบมาขอขมาฉันซะ ฉันอาจจะให้อภัย…”
ผัวะ!
หวางจื้อลี่ซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงถูกเย่เทียนเฉินถีบจนกระเด็นออกไป ทั้งยังเป็นการยกขาสูงถีบลงไปบนหน้า ถีบจนกลิ้งลงไปบนพื้นหลายรอบ เหมือนกับลูกบอลเนื้ออย่างไรอย่างนั้น มือซ้ายกุมใบหน้าของตนเองแล้วกรีดร้องออกมา เปิดปากด่าเย่เทียนเฉินอย่างหยาบคาย
“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่อยากจะด่าแกแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่อัดแก!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัย
“แก…ดี รีบไล่พวกเขาออกไปจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงของพวกเราจะไม่ต้อนรับผู้ป่วยคนนั้นตลอดไป ให้มันไปตายซะเถอะ!” หวางจื้อลี่เอ่ยปากพูดออกมาอย่างโหดเหี้ยม
หมอสองคนที่จะอยู่ด้านหลังของหวางจื้อลี่ก็ตกตะลึงไปแล้ว มองเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ การกระทำเมื่อสักครู่นี้ก็ได้ดึงดูดพยาบาลสาวสวยที่เฝ้าเวรตอนกลางคืนจำนวนมากให้เดินเข้ามา ตอนที่พวกเธอเห็นหวางจื้อลี่ถูกอัด ทั้งหมดต่างก็เบิกตาอันงดงามจนกว้าง อ้าปากเล็กๆ จนกว้าง มีท่าทางไม่อยากจะเชื่อ
หวางจื้อลี่เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ข้าราชการใหญ่อะไร แต่คนที่มีตำแหน่งเหมือนเขา ก็จะมีข้าราชการใหญ่จำนวนหนึ่งคอยช่วยเหลือ อย่างไรเสียทุกคนก็สามารถเจ็บป่วยได้ เงื่อนไขแรกที่จะมีอำนาจมีเงินได้ก็จะต้องมีชีวิตก่อน ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ก็ยังมีเพียงไม่กี่คนที่กล้ามาล่วงเกินหวางจื้อลี่ ที่สำคัญก็คือตำแหน่งที่เขาครอบครองอยู่นั้นไม่ได้ทำให้เขามีอำนาจมีอิทธิพลที่แท้จริงขึ้นมา
“เชิญพวกคุณรีบออกไปจากโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงด้วยครับ พวกเราที่นี่ไม่รับผู้ป่วยคนนั้น!”
หมออีกสองคนที่เหลือเดินเข้ามาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ทำท่าทางราวกับว่าหากเย่เทียนเฉินไม่ยอมจากไปก็จะไล่พวกเขาออกไปอย่างรุนแรง
ผัวะ!
ผัวะ!
ไม่จำเป็นต้องมีความกังวลอะไร กับหมอสวะแบบนี้ คนที่ทำให้จรรยาบรรณแพทย์ต้องเสื่อมเสีย มีอะไรต้องพูดมากอีกหรือ? เย่เทียนเฉินยังคงยึดรูปแบบหนึ่งคนหนึ่งเท้า ถีบหมอที่เหลืออีกสองคนจนกระเด็นออกไป ทำให้ผู้หญิงสวยๆ กลุ่มนั้นที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจ จนถึงขั้นรู้สึกเกรงกลัวและรู้สึกตื่นเต้น เนื่องจากเย่เทียนเฉินดุดันเป็นอย่างมาก ผู้ชายที่ทั้งดุดันและฝีมือไม่ธรรมดาผู้หญิงคนไหนจะไม่ชอบบ้างล่ะ?
เย่เทียนเฉินไม่สนใจคนรอบๆ เดินไปทางหวางจื้อลี่ทีละก้าวๆ มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก เขาอยากจะฆ่าคนคนนี้จริงๆ แต่ว่าเย่เทียนเฉินไม่อยากจะฆ่าคนต่อหน้าของเสี้ยวหยา ไม่อยากให้เสี้ยวหยาเห็นฉากนองเลือดแบบนี้เพราะจะเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาค่อนข้างสาหัส โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงนับว่าเป็นโรงพยาบาลอันดับต้นๆ ในประเทศ รักษาตัวที่นี่จะดีที่สุด ดังนั้นจึงไว้ชีวิตหวางจื้อลี่ชั่วคราว รอดูท่าทีของเขา
“แก แกต้องการจะทำอะไร! อย่า อย่าเข้ามา…” หวางจื้อลี่รู้สึกหวาดกลัว เขาพบว่าชายอายุน้อยตรงหน้าเหมือนกับปีศาจตัวหนึ่ง วันนี้ตนเองเจอตอแข็งเข้าแล้ว
“ฉันไม่อยากทำอะไร? อยากจะถามดูว่ายังมีห้องผู้ป่วยว่างอยู่หรือเปล่า? ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นสามารถมาวินิจฉัยโรคที่โรงพยาบาลตอนกลางคืนได้ไหม?” เย่เทียนเฉินมองหวางจื้อลี่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษสง แต่กลับทำให้หวางจื้อลี่ตกใจจนตัวสั่น บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา