เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 156
ไม่ว่าจะเป็นคำขอร้องอะไรของเสี้ยวหยาและพ่อของเธอก็ล้วนแต่เป็นเพราะไม่มีเงิน ยังไม่สู้เย่เทียนเฉินที่มือไวเท้าไวอัดหวางจื้อลี่ที่เป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งมีนิสัยเห็นแก่ตัวจนต้องรีบไสก้นไปนำห้องผู้ป่วย VIP ออกมาให้ และยังต้องรีบโทรศัพท์ไปรวบรวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางด้านอายุรศาสตร์และศัลยกรรมศาสตร์ของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงมาวินิจฉัยโรคให้กับคุณแม่ของเสี้ยวหยา คนบางคนก็ชอบเล่นตัว หากไม่ใช้ไม้แข็งกับเขาสักหน่อย เขาก็จะไม่รู้จักดีชั่ว ต้องลงแรงอัดแรงๆ สักครั้งถึงจะซื่อสัตย์ขึ้นมาได้
หวางจื้อลี่และหมอทั้งสองคนที่ถูกเย่เทียนเฉินอัด เบื้องหน้าไม่กล้าต่อต้านอะไรอีก โทรศัพท์ไปให้เหล่าหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางรีบมาในตอนกลางคืน แต่ความจริงแล้วหวางจื้อลี่ใช้ความสัมพันธ์ของตนเองกับสถานีตำรวจ ต่อสายไปหาผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะด้วยตัวเอง ให้เขาพาคนมาเก็บกวาดเย่เทียนเฉิน
“น้องเย่ครับ ผู้ป่วยไม่ได้มีอะไรสาหัสแล้วครับ ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร แต่พวกเราก็ได้ให้น้ำเกลือกับผู้ป่วยแล้วครับ ผ่อนคลายความเจ็บปวดแล้ว เหลือแค่รอให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญมาวินิจฉัยและรักษาไปตามโรคครับ!” หวางจื้อลี่ฉีกยิ้มจนเต็มใบหน้าพูดกับเย่เทียนเฉิน
“ผู้เชี่ยวชาญพวกนั้นจะมาได้เมื่อไหร่? คงไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้หรอกนะ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ ไม่ต้องๆ ผมได้โทรหาพวกเขาเรียบร้อยแล้วครับ จะถึงในเร็วๆนี้ จะมาถึงในเร็วๆนี้ครับ…”
เมื่อได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มในตอนนี้ของเย่เทียนเฉิน หวางจื้อลี่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวจนแผ่นหลังมีเหงื่อเย็นไหลซึมออกมา เพราะไม่ว่าตอนไหนเย่เทียนเฉินก็มักจะมีใบหน้ายิ้มแย้มแบบนี้ ดูไร้พิษภัย ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านทั้งๆ ที่อากาศไม่หนาว
“อีกไม่นานก็ถึงแล้ว งั้นพวกคุณออกไปก่อนเถอะ อย่ารบกวนการพักผ่อนของคนไข้เลย” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูด
“ได้ ได้ครับ!”
เมื่อเห็นหวางจื้อลี่พาหมอทั้งสองคนออกไปจากห้องผู้ป่วย VIP แล้ว หลิงอวี่สวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะมองเย่เทียนเฉินยิ้มๆ แล้วพูดขึ้นว่า “นายนี้มีกึ๋นดีจริงๆ เลยนะ รองผู้อำนวยการที่น่าเกรงขามก็ยังถูกนายปราบจนอยู่หมัด เจ๋งจริงๆ!”
“คนแบบนี้มันกวนประสาท ไม่อัดไม่ได้!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เสี้ยวหยาอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนคุณแม่มาโดยตลอด เมื่อเห็นว่าความเจ็บปวดของคุณแม่ผ่อนคลายลงบ้างแล้วและค่อยๆหลับไป เสี้ยวหยาถึงจะวางใจลงไปมาก ส่วนพ่อของเธอนั้นได้กลับไปแล้วเพื่อไปจัดการเรื่องภายในบ้านแล้วค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ของเธอที่โรงพยาบาล พรุ่งนี้เสี้ยวหยาก็เริ่มไปเรียนแล้ว ไม่สามารถเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลได้ตลอด
“หยาเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปรบกวนการพักผ่อนของคุณป้าเลย!” เย่เทียนเฉินพูดกับเสี้ยวหยาด้วยเสียงอันเบา
“อืม!” เสี้ยวหยาพยักหน้า ห่มผ้าให้แม่ที่นอนหลับไปแล้ว จึงค่อยออกมาจากห้องผู้ป่วยกับเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น
เมื่อดูเวลา ก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว เย่เทียนเฉิน เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋น นั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถงชั้นหนึ่งของโรงพยาบาล เสี้ยวหยายังคงกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของแม่ของตน มองไปยังเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นแล้วกล่าวขึ้นว่า “ขอบคุณพวกเธอมาก!”
“หยาเอ๋อร์ เธออย่าพูดขอบคุณอะไรกับพวกเราอีกเลย พวกเราเป็นเพื่อนกัน ช่วยกันบ้างก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม
“วันหน้าก็อย่าเห็นพวกเราเป็นคนนอกขนาดนี้เลย ฉันเข้าใจความคิดของเธอดี เงินก็ถือว่าพวกเราให้เธอยืมก็แล้วกัน วันหน้ามีก็ค่อยคืนให้พวกเรา เธอเป็นนักศึกษาที่มีความสามารถสูงของมหาวิทยาลัยหลงเถิง ฉันไม่กังวลหรอกว่าเธอจะคืนไม่ไหว!” เย่เทียนเฉินยิ้มให้เสี้ยวหยาแล้วพูดปลอบใจ
“อืม ขอบคุณมาก!” เสี้ยวหยาพยักหน้า เธอซาบซึ้งใจมากจริงๆ รู้สึกว่าตนเองโชคดีมากที่สามารถพบกับคนดีๆ สองคนอย่างเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น และยังได้ช่วยแม่ของตน นี่เป็นความเอาใจใส่ที่สวรรค์มีต่อเธอ
“ฮ่าๆ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องพูดขอบคุณอะไรอีก ไปเถอะ ไปหาอะไรกินสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ
“ฉันไม่ไปหรอก พวกเธอไปกันเถอะ!” เสี้ยวหยาเอ่ยปาก
หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง เขาส่งสายตาบอกใบ้มาให้เธอ พวกเขาทั้งสองย่อมสามารถเข้าใจอารมณ์ในตอนนี้ของเสี้ยวหยาได้ เธอเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของคุณแม่ ไหนเลยจะยังมีอารมณ์กินข้าวได้ลงอีก แต่ว่าคนคนนี้จะไม่กินข้าวได้อย่างไร ดูท่าทางแล้วคุณแม่ของเสี้ยวหยามีความเป็นไปได้มากว่าจะต้องแอดมิดทำการผ่าตัด นั่นเป็นสงครามที่ยืดเยื้อเป็นอย่างมาก ตอนที่เสี้ยวหยาไปเรียน ก็ยังมีคุณพ่อที่ดูแลคุณแม่ ในช่วงวันหยุดเธอก็จะมาดูแลแม่ที่โรงพยาบาล อาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน สุขภาพร่างกายย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“หยาเอ๋อร์ ไปเถอะ พวกเราไปกินอะไรกันสักหน่อย เธอวางใจได้ มีไอ้บ้าอย่างเย่เทียนเฉินอยู่ทุกอย่างจะต้องไม่มีปัญหาแน่!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มหวาน จูงมือเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น
“นี่ เรียกชื่อของฉันสิ เรียกชื่อของฉัน ไม่ต้องเติมคำว่าไอ้บ้าทุกครั้งก็ได้ ทำลายภาพลักษณ์พี่ชายสุดหล่อของฉันเกินไปแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วจงใจแสร้งทำท่าทางไม่พอใจ
“ชิ นายยังจะมีภาพลักษณ์อะไรอีก ก็เป็นแค่ไอ้บ้าคนหนึ่งเท่านั้น หยาเอ๋อร์ พวกเราอย่าไปสนใจไอ้บ้านี่เลย ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดแล้วหันไปทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉิน
เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นผลัดกันพูดจาหยอกล้อคนละประโยค เสี้ยวหยาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง อิจฉาทั้งสองคนที่ไม่มีความกังวลอะไร
เสี้ยวหยามองหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉิน รู้ว่าหากตนเองไม่ไปกินข้าว พวกเขาเองก็จะไม่ไป เพื่อนที่ดีทั้งสองคนอย่างพวกเขายุ่งวุ่นวายมาตลอดจนถึงตอนนี้ก็เพื่อช่วยเรื่องคุณแม่ของตน กระทั่งข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน ในใจจึงรู้สึกไม่ดี ถึงแม้ว่าจะเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของคุณแม่ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เพื่อนที่ช่วยเธออย่างจริงใจทั้งสองคนนี้หิวได้
“ได้ ให้ฉันเลี้ยงพวกเธอทั้งสองเอง แต่ว่าแค่ก๋วยเตี๋ยวเท่านั้นนะ!” ในที่สุดเสี้ยวหยาก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มอันบริสุทธิ์
“ดี ก๋วยเตี๋ยวเป็นของดี ฉันชอบกินบะหมี่ผัดซอสที่แม่ของฉันทำที่สุด!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“อืม ฉันค่อนข้างที่จะชอบกินก๋วยเตี๋ยวนะ ไปเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เสี้ยวหยาจดจำบุญคุณที่เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นมีต่อเธอเอาไว้ในใจอย่างเงียบๆ ได้พบกับเพื่อนที่ดีทั้งสองคนแบบนี้ ในใจของเธอรู้สึกยินดีมากจริงๆ
สาวสวยทั้งสองคนอย่างหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยากำลังจูงมือกันเดินไปที่ประตูของโรงพยาบาล เตรียมจะไปหาอะไรกิน เย่เทียนเฉินตามอยู่ข้างหลัง ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะเดินไปถึงประตูใหญ่ของโรงพยาบาล ก็พบกับหวางจื้อลี่และหมออีกสองคนเดินเข้ามา ครั้งนี้สายตาที่หวางจื้อลี่มองพวกเย่เทียนเฉินทั้งสามคน มีความหยิ่งยโสอย่างเห็นได้ชัด ยโสเป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าผู้สนับสนุนได้มาถึงแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“รองผู้อำนวยการหวาง เหล่าผู้เชี่ยวชาญมาถึงแล้วเหรอคะ?” เสี้ยวหยาถามเสียงเบา
“หึ ผู้เชี่ยวชาญ มีผู้ชี่ยวชาญอะไรกัน ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ทำงานตรวจโรคให้กับคนธรรมดาหรอก พวกแกรีบพาผู้ป่วยออกไปจากโรงพยาบาลซะ ไม่งั้นก็อย่ามาโทษที่ฉันไม่เกรงใจ!” หวางจื้อลี่แค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง พูดขึ้นด้วยหน้าตาท่าทางที่เริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นยโสโอหัง
“รองผู้อำนวยการหวางคะ ไม่ใช่คุณบอกว่าได้โทรศัพท์ไปหาผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นแล้วเหรอคะ?” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เอ่ยถามออกไปด้วยรู้สึกอัดอั้นตันใจ
“โทร? คนที่ฉันโทรเรียกมาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแต่เป็นตำรวจ กล้ามาก่อเรื่องในถิ่นของฉัน รนหาที่ตาย!”
หวางจื้อลี่ไม่ส่งอะไรออกไปแล้ว เพราะว่าเส้นสายของเขาได้มาถึงแล้ว คนของสำนักความปลอดภัยสาธารณะมาถึงแล้ว แล้วคนที่มาก็ยังเป็นผู้อำนวยการหลู เกรงว่าต่อให้เป็นคนที่โอหังยิ่งกว่านี้ ต่อหน้าตำรวจก็คงจะโอหังไม่ออก เขารู้สึกได้ว่าเอวของตนเองแข็งขึ้นไม่น้อย
“คุณ…คุณจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว…” หลิงอวี่สวิ๋นทนไม่ไหว รู้สึกอยากจะอัดหวางจื้อลี่แรงๆ เช่นเดียวกัน นี่เป็นคนถ่อยที่หน้าด้านไร้ยางอายคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง เป็นแบบฉบับของพวกที่ชอบรังแกคนอ่อนแอหวาดกลัวคนแข็งแกร่ง
“ตอนนี้พวกแกรีบไสหัวออกไปจากโรงพยาบาลให้ฉันซะ ไม่งั้นก็ไปนั่งในสถานีตำรวจสักหน่อยเถอะ!” หวางจื้อลี่พูดพลางมองเย่เทียนเฉินด้วยสายตาดุดัน
เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปตรงหน้า มองหวางจื้อลี่แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน “รีบไปหาผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นมาซะ ฉันไม่มีอารมณ์มาเล่นไร้สาระกับแก!”
“หึ ไอ้ลูกเต่า แกคิดว่าแกเป็นใคร ต่อหน้าผู้อำนวยการหลูก็ยังกล้าโอหัง รนหาที่ตาย!”
ในขณะที่พูดหวางจื้อลี่ก็หลบทางไปข้างๆ หลูเซิ่งต๋าก็พาเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสองนายมาปรากฏตัวต่อหน้าเย่เทียนเฉิน หลูเซิ่งต๋าเป็นคนของสถานีตำรวจที่มีความสัมพันธ์กับหวางจื้อลี่ แถมยังเป็นความสัมพันธ์ที่ดีมากอีกด้วย เดิมทีเมื่อได้รับโทรศัพท์ของหวางจื้อลี่ ก็มาช่วยหวางจื้อลี่ด้วยความโกรธ แต่เมื่อเห็นเย่เทียนเฉิน ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ในใจรู้สึกอนาถเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอับจนคำพูด ลอบคิดว่าหวางจื้อลี่คนนี้ซวยจริงๆ มีคนมากมายไม่ไปหาเรื่อง แต่กลับมาหาเรื่องเย่เทียนเฉิน ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ?
“สะ สหายเย่ ที่แท้ก็เป็นคุณนี่เอง…” หลูเซิ่งต๋าพูดด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน
“ผู้อำนวยการหลูสวัสดีตอนเย็นครับ มีเรื่องอะไรเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ ไม่มี ไม่มีเรื่องอะไรครับ!” หลูเซิ่งต๋าพูดอย่างตะกุกตะกัก
ฉากนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หวางจื้อลี่รู้สึกประหลาดจนยากแก่ความเข้าใจ กระทั่งเสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ก็ยังตกใจ หลูเซิ่งต๋าเป็นใคร? ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวง เมื่อเปรียบเทียบกับผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะของเมืองอื่นๆ เกรงว่าตำแหน่งจะสูงกว่ามาก เดิมทียังรู้สึกกังวลว่าเย่เทียนเฉินจะถูกจับไปที่สํานักงานความปลอดภัยสาธารณะ ไหนเลยจะรู้ว่าหลูเซิ่งต๋าเห็นเย่เทียนเฉิน จะถึงกับเคารพนอบน้อม ทำให้ผู้คนอยากจะเชื่อจริงๆ ทำเอาหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาทั้งสองคนมองเย่เทียนเฉินเหมือนกับมองมนุษย์ต่างดาว
“ผู้อำนวยการหลู เป็น เป็นไอ้ลูกเต่านี่มาก่อเรื่องครับ แล้วยังกล้าลงมือทำร้ายผู้อาวุโส จับเขาไปที่สถานีตำรวจสั่งสอนเขาแรงๆ สักหน่อยเถอะครับ!” หวางจื้อลี่เห็นหลูเซิ่งต๋าไม่ลงมือ จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไป มองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น
หลูเซิ่งต๋าขมวดคิ้ว ยิ้มให้เย่เทียนเฉินด้วยความกระอักกระอ่วน แล้วสงสัยตาบอกใบ้ไปให้หวางจื้อลี่ ให้เขาไม่ต้องพูดอะไรอีก ให้เขารู้ตัวสักหน่อย ไหนเลยจะรู้ว่าหวางจื้อลี่จะไม่รู้ความขึ้นมา สิ่งสำคัญเป็นเพราะคนๆ นี้ยโสโอหังจนเคยตัว รวมกับที่หลูเซิ่งต๋าซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวงมาแล้ว ในใจของเขาจึงยิ่งมั่นใจมากขึ้น ดังนั้นจึงมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างดุดันต่อไปว่า “ผู้อำนวยการหลูครับ ไอ้ลูกเต่านี่กล้าลงมือทำร้ายคน ทำไมไม่จับเขาไปล่ะครับ?”
ผัวะ!
ตบหน้าไปครั้งหนึ่ง เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไรมากก็ตบหวางจื้อลี่ไปครั้งหนึ่งแล้ว ตบจนหวางจื้อลี่มึงงง หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาก็ตกใจจนอ้าปากเล็กๆ อันเซ็กซี่กว้าง มองฉากที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ ทำร้ายคนต่อหน้าผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะ เย่เทียนเฉินจะกล้าหาญเกินไปหรือเปล่า?
“ผู้อำนวยการหลู ผมทำร้ายคนแล้ว จับผมไปสิครับ?” เย่เทียนเฉินมองไปทางหลูเซิ่งต๋าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม