เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 166
“พี่หู่ครับ ความหมายของพี่คือ?” ชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกน้องซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าอาหู่เอ่ยถาม
อาหู่สูบซิการ์เฮือกหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ครั้งนี้เรื่องของการฆ่าเย่เทียนเฉิน เขารู้ว่ามีเพียงต้องสำเร็จเท่านั้น ไม่สามารถล้มเหลวได้ ถ้าหากว่าล้มเหลว เกรงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะเอาชีวิตเขา เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีใครที่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลังจากที่ถูกเซวียนเยวี๋ยนเถิงเห็นเป็นศัตรู
แต่ว่า จากการหาข้อมูลของอาหู่ ในใจของเขาก็ต้องสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉิน บุคคลที่ในอดีตไม่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง หรือบางทีอาจจะบอกได้ว่ามีชื่อเสียง แต่ก็เป็นชื่อเสียงอันเหม็นเน่า เป็นชื่อที่ถูกผู้คนเยาะเย้ย ถึงกับเปลี่ยนเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดนี้ได้ โดยเฉพาะการทำลายตระกูลเฉินและตระกูลลั่ว ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก มากพอที่จะสั่นสะท้านทุกคน
แต่สิ่งที่ทำให้อาหู่หวาดกลัวมากที่สุดก็คือฝีมือของเย่เทียนเฉิน ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ฝีมือของเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งจนถึงระดับที่ทำให้ผู้คนหวาดผวา อาศัยแค่คนไม่กี่คนหรือไม่กี่สิบคน ไม่สามารถฆ่าเขาได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นครั้งนี้อาหู่จึงเตรียมจะใช้คนถึงสามร้อยคน
สามร้อยคน แค่เพียงทุกคนถมน้ำลายคนละครั้งก็สามารถทำให้เย่เทียนเฉินจมน้ำลายตายได้แล้ว ให้ทุกคนต่อยออกไปคนละหมัดก็สามารถต่อยเย่เทียนเฉินจนตายได้แล้ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดของอาหู่ก็เท่านั้น อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะฆ่าเย่เทียนเฉินให้ได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด เขาจึงได้แต่ทำเช่นนี้
หลังจากที่เกิดเรื่องของตระกูลฉินและตระกูลลั่ว เมืองหลวงก็ยังคงสงบไร้คลื่นลม คิดว่าคงจะมีข้าราชการระดับสูงบางคนและยังมีสื่อใหญ่ๆ บางสื่อ หลังจากที่หารือกันเรียบร้อยแล้วก็ปิดปากเงียบไม่พูดถึงสองเรื่องนี้อีก เป็นเหตุให้ประชาชนคนธรรมดาจำนวนมากไม่รู้ว่าในเมืองหลวงมีเรื่องใหญ่สะท้านฟ้าแบบนี้เกิดขึ้น
ขอเพียงเป็นคนที่พอมีสมองอยู่บ้าง ก็ไม่ยากเลยที่จะคิดได้ว่าเย่เทียนเฉินจะต้องมีคนระดับสูงในประเทศหนุนหลังอยู่อย่างแน่นอน หากว่าไม่มีคนระดับสูงของประเทศกดเรื่องนี้เอาไว้ เกรงว่าคงจะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งประเทศแล้ว
“เรียกรวมตัวพี่น้องมือดีทั้งสามร้อยคนที่เป็นลูกน้องของพวกเรามารวมตัวกันทั้งหมด ให้ทุกคนลับมีดตัดฟืนให้คมสักหน่อย อย่าได้ใช้ปืน คืนพรุ่งนี้จะใช้มีดฟันเย่เทียนเฉินให้เละ!” อาหู่คิดครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น
“พี่หู่ ไม่สู้ให้พี่น้องของพวกเราใช้ปืนดีกว่าหรือครับ แบบนี้ก็จะรับประกันได้บ้างนะครับ!”
“ไม่ ใช้ปืนกับใช้มีดในประเทศจีนแตกต่างกันอย่างมาก และอีกอย่างหนึ่งที่นี่มันเป็นเมืองหลวง หากว่าใช้ปืน เกรงว่าถึงตอนนั้นเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็คงจะหนีความรับผิดชอบไม่พ้น หากว่าเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เขาจะต้องให้พวกเราจะเป็นแพะรับบาปอย่างแน่นอน!” อาหู่ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น
จะพูดไปแล้วความสัมพันธ์ของอาหู่และเซวียนเยวี๋ยนเถิง เดิมทีก็เป็นการใช้ผลประโยชน์ซึ่งกันและกันอยู่แล้ว อาหู่พึ่งพาอำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่เป็นต้นไม้ใหญ่ ทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่กล้ามาหาเรื่อง ส่วนสิ่งที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงใช้ประโยชน์ก็คือความโหดเหี้ยมของอาหู่ ช่วยเขาทำเรื่องต่างๆ ช่วยเขาจัดการเรื่องบนถนนต่างๆ อย่างไรเสียตระกูลใหญ่แบบนี้ เบื้องหน้าก็ทำตัวได้ดี ความเมตตากรุณาอะไรต่างๆ ช่วยเหลือบริจาคให้พื้นที่ประสบภัย ดูแล้วก็เหมือนกับมีความรู้สึกที่กระทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชน ความจริงแล้วลับหลังไม่ไม่รู้ว่าทำเรื่องเลวร้ายไปมากน้อยเพียงใดแต่ไม่ให้คนอื่นรู้
ดังนั้นความสัมพันธ์ที่ใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันแบบนี้ พอฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าคุณไม่มีค่าที่จะให้ใช้ประโยชน์ หรือเกิดเรื่องราวใหญ่โตอะไรขึ้นมา จะต้องคิดกำจัดคุณอย่างแน่นอน อาหู่ไม่ใช่คนโง่ หลายปีมานี้ขาช่วยเซวียนเยวี๋ยนเถิงกระทำเรื่องราวต่างๆ ก็กุมหลักฐานความผิดของเซวียนเยวี๋ยนเถิงไว้ไม่น้อย หากว่ามีสักวันหนึ่งที่เกิดพลิกผันขึ้นมา เซวียนเยวี๋ยนเถิงเกิดอยากจะหันหน้าหนีไม่สนใจคนขึ้นมา อาหู่ก็จะไม่เกรงใจ
“ทราบแล้วครับพี่หู่ ผมจะไปทำตามนี้!” ชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกน้องเปิดปากพูด
“อืม ส่งคนไปยืนยันตัวเย่เทียนเฉินด้วย รอให้พี่น้องมารวมตัวกันทั้งหมดก่อน เตรียมรับคำสั่งได้ตลอดเวลา ขอเพียงมีโอกาสก็จัดการเย่เทียนเฉินได้เลย!” อาหู่พูดอย่างโหดเหี้ยม
“ครับ!”
เมื่อเห็นว่าลูกน้องของตนเดินออกไปจากห้องแล้ว อาหู่ก็นั่งพิงโซฟาสูบบุหรี่ ฆ่าเย่เทียนเฉิน นี่เป็นเรื่องที่ทำได้ยากที่สุดตั้งแต่ที่เขามีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ หากว่าเขาไม่ฆ่าเย่เทียนเฉิน เซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะไม่ปล่อยเขาไป แต่ว่าต้องการฆ่าเย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น หากล้มเหลวเขาก็อาจจะตายได้
เมื่อลองคิดดูแล้ว อาหู่ก็โบกมือ ผู้หญิงเซ็กซี่ยั่วยวนที่ใส่ชุดแนบเนื้อสีดำทั้งสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก็รีบเดินเข้ามาข้างๆอาหู่ สองคนนวดให้อาหู่อยู่ซ้ายขวา คนที่สามอ้าขาทั้งสองข้างนั่งอยู่บนตักของอาหู่ ถูไถไม่หยุดทำให้อาหู่รู้สึกดี
ในตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้รับรู้ถึงวิกฤตถึงขั้นเป็นตายที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้เลย เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เริ่มฝึกฝนพลังพิเศษของตนเอง เขาไม่ได้ฝึกฝนมาหลายวันแล้ว จำเป็นจะต้องฝึกฝนเอาไว้ การบ่มเพาะกายเนื้อเป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินต้องการดำเนินการและเพิ่มความแข็งแกร่งมากที่สุด เพราะว่าขอบเขตของพลังพิเศษในปัจจุบันนี้ของเขาได้หยุดอยู่ที่ระดับจอมราชัน และยังไม่มีทางทะลวงไปได้ ต่อให้สามารถทะลวงไปได้ เขาก็ยังไม่กล้าทะลวง เพราะเขารู้ว่าขอบเขตจอมราชันและขอบเขตจักรพรรดิแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกันได้
พลังพิเศษ หากพูดถึงขอบเขตเพียงอย่างเดียว ทุกครั้งที่เพิ่มระดับไปหนึ่งขอบเขต ความสามารถที่เพิ่มขึ้นก็จะแตกต่างกันมาก เปรียบดังความแตกต่างระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะการทะลวงขอบเขตของพลังพิเศษ ซึ่งมีระดับราชัน ระดับจอมราชัน ระดับจักรพรรดิ ระดับพระเจ้า และระดับเทพราชัน เป็นขอบเขตใหญ่ๆ ที่สูงที่สุดทั้งห้าขอบเขต ต่อให้เป็นเพียงความแตกต่างระหว่างหนึ่งขอบเขตเล็กๆ ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกันได้ ตัวอย่างเช่น ทุกหนึ่งขอบเขตใหญ่ๆ จะแบ่งเป็นสามขอบเขตเล็กๆ ขอบเขตจอมราชันระดับกลางก็จะสามารถฆ่าขอบเขตจอมราชันระดับต้นได้ในพริบตา
ในช่วงยุคสิ้นโลก ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในระดับพระเจ้าเหมือนกับเย่เทียนเฉินสมัยก่อน สามารถพูดได้ว่ามีความสามารถแข็งแกร่งเกินพิกัด หมัดเดียวก็สามารถระเบิดภูเขาได้ ฝ่ามือเดียวก็สามารถแยกทะเลได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข่งแกร่งในระดับเทพราชัน ก็สามารถถูกฆ่าได้ด้วยนิ้วเดียว นี่เป็นคำพูดที่ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้อยู่ในขอบเขตเดียวกันโดยสิ้นเชิง
เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ค่อยๆ กระตุ้นพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันในร่างกายของตนเอง ทำการชักนำไปสู่ชีพจรและกระดูกทุกตารางนิ้วของร่างกายรอบแล้วรอบเล่า เพื่อทำให้มันมากยิ่งขึ้น นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ แต่ไหนแต่ไรมา เย่เทียนเฉินก็อยากจะฝึกเคล็ดวิชาพลังภายในของพรรควรยุทธโบราณมาโดยตลอด ทำเช่นนั้นก็จะสามารถทำให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หากว่าสามารถเรียนรู้พลังภายในและพลังพิเศษจนทะลุปรุโปร่งได้จริงๆ ก็จะทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าในช่วงยุคสิ้นโลก
เดิมที หลังจากที่ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ เย่เทียนเฉินก็คิดว่าผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณในโลกนี้ ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใดก็มีข้อจำกัด แต่เมื่อเดินบนเส้นทางนี้ ได้พบกับยอดฝีมือมากมาย โดยเฉพาะเมื่อได้พบกับเฮยเมี่ยนที่เป็นยอดฝีมือระดับทัพฟ้า เย่เทียนเฉินก็ค้นพบอย่างลึกซึ้งว่า ในโลกแห่งนี้ยังคงยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย บนโลกนี้มีดำก็ต้องมีขาว ในเส้นทางเบื้องหน้ามียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ ในเส้นทางเบื้องหลังก็ย่อมต้องมีด้วยเช่นกัน ดังนั้นเย่เทียนเฉินถึงต้องการทำให้ตนเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
หากพูดถึงปัจจุบันนี้ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดที่เย่เทียนเฉินได้พบก็คือเฮยเมี่ยน คนคนนี้เป็นยอดฝีมือในระดับทัพฟ้า ฝีมือแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ต่อให้ไม่เคยได้ประมือกับเฮยเมี่ยน แต่เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา หากว่าต่อสู้กันอย่างสุดกำลังจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าตนเองจะเป็นคู่มือของเฮยเมี่ยนได้ อย่างมากก็สู้เสมอกันเท่านั้น
ตอนนี้ปัญหาที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกยุ่งยากที่สุด นอกจากการบ่มเพาะกายเนื้อให้แข็งแกร่งแล้ว ก็คือการฝึกฝนพลังภายใน นอกจากนี้เขายังพบว่า ในตอนที่สู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งก่อนหน้านี้นั้น พลังพิเศษในร่างกายของเขาจะเดือดพล่าน มีสัญญาณที่จะทะลวงขอบเขต แต่การต่อสู้หลายครั้งก่อนหน้านี้ เช่นการต่อสู้กับกูตู๋อ๋าง ความสามารถของกูตูอ๋างไม่นับว่าอ่อนแอ เย่เทียนเฉินลงมืออย่างเต็มที่แล้วก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้เท่านั้น สามารถพูดได้ว่าชนะกันเพียงครึ่งกระบวนท่า
การต่อสู้กับกูตู๋อ๋าง เย่เทียนเฉินพบว่าพลังพิเศษภายในร่างกายของตนเอง มีความผันผวนตามธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสัญญาณที่จะทะลวงไปได้ เขาคงจะใกล้ถึงจุดที่ยากที่สุดแล้ว หลังจากนี้หากคิดที่จะทะลวงขอบเขต แต่ละย่างก้าวก็คงจะยากลำบากเป็นอย่างมาก
เพราะเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าในยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินย่อมรู้ดีว่า มีคนจำนวนมากเมื่อมีพลังพิเศษถึงขอบเขตที่แน่นอนแล้ว หากต้องการที่จะก้าวต่อไป นอกจากการเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังพิเศษในร่างกายแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความเข้าใจ ความเข้าใจต่อธรรมชาติ ความเข้าใจต่อร่างกายของตัวเอง พูดไปแล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่ลึกลับเป็นอย่างมาก ความเข้าใจของทุกคนนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นความเร็วในการทะลวง และเคล็ดลับที่ใช้ย่อมไม่เหมือนกัน
“ดูท่าจะต้องหาโอกาสไปวัดเส้าหลินซักครั้งจริงๆ ไม่รู้ว่าคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นในโลกนี้ยังอยู่หรือเปล่า หากว่ายังอยู่จะต้องเอามาให้ได้!” เย่เทียนเฉินพูดกับตัวเองในใจ
ฝึกฝนอยู่สองชั่วโมงกว่า บนหน้าผากของเย่เทียนเฉินมีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา ในชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้น ภายในดวงตาทั้งสองของเขาก็เปล่งประกายไปด้วยแสงสีฟ้า นี่เป็นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน เป็นสีของพลังพิเศษที่อยู่ภายในร่างกาย
คิดอยู่ครู่หนึ่ง เย่เทียนเฉินก็คาดเดาว่าชางหลางคงจะยังไม่นอน จึงหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมา ต่อสายไปหาชางหลาง หลังจากที่ดังอยู่ประมาณสิบกว่าครั้งถึงจะรับสาย ดูท่าทางชางหลางคงจะนอนแล้วจริงๆ และถูกเย่เทียนเฉินปลุกขึ้นมา
“ฮัลโหล ใครครับ…” ชางหลางหาวครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้นในโทรศัพท์
“ผมเอง พี่ชางหลาง อย่าเพิ่งโกรธนะ ผมมีเรื่องสำคัญที่จะพูดกับคุณ…” เย่เทียนเฉินพูดใส่โทรศัพท์เสียงดัง
“ความคิดของไอ้หนูอย่างนายนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ มีเรื่องอะไรก็พูดมา!” ชางหลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คุณก็รู้ว่าผมมีความสนใจในเรื่องผู้พลังพิเศษเป็นอย่างมาก ดังนั้น อยากจะให้คุณส่งข้อมูลผู้มีพลังพิเศษที่มีอยู่ในมือของคุณให้ผมดูสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษในประเทศจีนของเราหรือว่าต่างประเทศ ผมต้องการดูทั้งหมด!” เย่เทียนเฉินรีบพูด
“นี่ไม่ได้หรอก นี่เป็นความลับระดับประเทศ ขนาดฉันก็ดูไม่ได้ ฉันจะให้นายได้ยังไงล่ะ!” ชางหลางพูดอย่างจนใจ
เย่เทียนเฉินก็รู้ว่า ผู้มีพลังพิเศษและยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณในโลกนี้แตกต่างจากคนทั่วไป กระทั่งมีคนธรรมดาจำนวนมากที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา ดังนั้นข้อมูลเกี่ยวกับคนเหล่านี้ จะต้องเป็นความลับอย่างแน่นอน คนธรรมดาย่อมไม่สามารถดูได้ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงพึ่งชางหลาง เขามีฐานะเป็นทหาร และเป็นลูกน้องของหยางอี้ หากต้องการข้อมูลเหล่านี้ จะมากจะน้อยก็คงมีวิธีมากกว่าตนเอง
“เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ผมก็แค่โทรไปหาท่านหยางอี้ บอกว่าภารกิจที่ผมทำต้องการความร่วมมือ แต่พี่ชางหลางไม่ยอมให้ความร่วมมือ ภารกิจนี้ผมก็ไม่ทำแล้ว!” เย่เทียนเฉินจงใจแกล้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางสิ้นหวัง