เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 29
บทที่ 29 อันธพาลอันดับหนึ่ง
Ink Stone_Fantasy
ภายในห้องใต้ดินแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ศพของเฉินหู่และลูกน้องสามคนของเขา ถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบบนพื้นห้อง
ชายร่างผอมคนหนึ่งที่สวมแว่นตากรอบทองนั่งอยู่บนโซฟา กำลังมองศพทั้งสี่เบื้องหน้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ชายร่างผอมที่สวมแว่นกรอบทองคนนี้ก็คือหลี่เถีย เป็นหัวโจกของเหล่าอันธพาลแห่งเมืองหลวง มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับผู้คนมากมายในโลกเบื้องหน้า
ส่วนเฉินหู่นั้นเป็นลูกน้องของหลี่เถีย เมื่อไม่นานมานี้ลูกน้องของหลี่เถียพบศพของเฉินหู่และสมุนมือขวาทั้งสาม จึงได้เคลื่อนย้ายศพกลับมาที่นี่
“พวกแกแน่ใจนะว่าการตายของเฉินหู่ เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่เป็นคนทำ?” หลี่เถียกล่าวถามด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“ใช่ครับพี่หลี่ หลังจากที่พบศพของพวกเฉินหู่ พวกเราก็ขยายการตรวจสอบออกไป แล้วก็ได้ทราบมาว่าเฉินหาวลูกชายของเฉินหู่ได้ลักพาตัวของน้องสาวของเย่เทียนเฉินไป วันนี้ช่วงบ่ายเฉินหาวก็ตายที่โรงงานร้างแถวๆ ชานเมือง ส่วนเฉินหู่ตายตอนกลางคืน….” ลูกน้องคนหนึ่งรายงาน
หลี่เถียขมวดคิ้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ทำให้เขาเกิดความสงสัยจนถึงกับนั่งไม่ติดที่
ตระกูลฉินให้เขาคิดหาวิธีสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลเย่ และกำจัดพวกเขาทิ้ง เดิมทีหลี่เถียคิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ถึงอย่างไรตอนนี้ตระกูลเย่ก็ตกต่ำลงแล้ว ผู้อาวุโสตระกูลเย่เองก็ไม่มีอำนาจในมือ ในเมืองหลวงที่มีกลุ่มอิทธิผลอยู่มากมาย ไม่มีใครให้ความสนใจกับตระกูลชั้นสามตระกูลหนึ่ง
ดังนั้นเริ่มแรก หลี่เถียจึงได้ส่งนักฆ่าสองคนไปยังคฤหาสน์ที่เย่เทียนเฉินพักอาศัยอยู่ เพื่อลักพาตัวแม่และน้องสาวของเย่เทียนเฉินมาใช้ข่มขู่เย่หงผู้เป็นพ่อของเย่เทียนเฉินไม่ให้รับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการเมือง H ไหนเลยจะรู้ว่านักฆ่าที่มีฝีมือไม่ธรรมดาสองคนจะไปแล้วไปลับ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราว
อีกทั้งหูหลงเองก็ไม่ยินยอมไปสังหารเย่หง หลี่เถียจึงได้ส่งคนไปสร้างปัญหา เดิมทีหูหลงควรจะต้องตาย แต่กลับถูกวัยรุ่นคนหนึ่งปริศนาคนหนึ่งช่วยเอาไว้ ตอนนี้เฉินหู่ก็มาตายไปอีก
สัญญาณต่างๆเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินแห่งตระกูลเย่กลับมา เรื่องราวต่างๆ ก็ไม่อยู่ในการควบคุม ทำให้หลี่เถียคาดเดาไม่ถูก
“หรือว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนทำจริงๆ?” หลี่เถียพูดกับตนเอง
“พี่หลี่ ก็เป็นไปได้อยู่นะครับ หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมา ตอนแรกก็ถอนหมั้นกับตระกูลฉีอย่างง่ายดาย ต่อมาก็ทำร้ายลั่วเทาและลั่วเหลยแห่งตระกูลลั่วจนบาดเจ็บสาหัส ขนาดลั่วซงเฉิงที่มีนิสัยปกป้องพรรคพวกมาตลอดยังต้องอดทน ดูท่าเจ้านี่คงจะไม่ง่ายอย่างที่คิดซะแล้ว”
“เฮอะ ฉันไม่สนว่ามันจะร้ายกาจรึเปล่า เบื้องบนให้ฉันลงมือทำลายตระกูลเย่มาตั้งแต่แรกแล้ว น่าเสียดายที่ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก เลยยังไม่ได้ลงมือเต็มที่ ในเมื่อเย่เทียนเฉินมันกล้ามาฆ่าคนของหลี่เถียคนนี้ ก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน”
หลี่เถียดันแว่นกรอบทองของตน กล่าวออกมาพร้อมยิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก
“พี่ใหญ่ ถ้างั้นพวกเราจะทำไงกันดี?” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเอ่ยถาม
“แจ้งความ!” หลี่เถียกล่าวเสียงเข้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เถีย พวกลูกสมุนต่างก็ตกตะลึง หลายคนก็มีสีหน้าดูไม่ได้ พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมด้านมืด แต่ไหนแต่ไรยุทธภพมักแก้ปัญหาด้ววิถีชาวยุทธ์
แจ้งความ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เกรงว่าจะถูกผู้คนที่เดินทางสายเดียวกันหัวเราะเยาะจนฟันร่วงแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดหลี่เถียจึงทำเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการทำลายความน่าเกรงขามของตน แล้วให้คนอื่นมาล้อเป็นตัวตลกแบบไม่จำเป็นหรอกเหรอ?
ในสังคมแห่งอำนาจมืดที่แท้จริง คนของตนเองถูกฆ่าตาย ไม่ยอมแก้แค้นเพื่อทวงคืนศักดิ์ศรี แต่กลับไปแจ้งความ น่าหัวเราะเยาะจริงๆ แต่หลี่เถียกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาก็มีวิธีการของตนเอง
“พี่ใหญ่ นี่…”
“ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ไปแจ้งความเถอะ ให้ทางตำรวจไปตรวจสอบ ฉันจะรอฟังผล” หลี่เถียพูดอย่างจริงจัง
“ครับ งั้นพวกเราต้องรายงานเบื้องบนไหมครับ?”
เบื้องบนย่อมหมายถึงตระกูลฉิน การที่หลี่เถียสามารถกลายเป็นผู้มีจอมอันธพาลแห่งโลกใต้ดิในเมืองหลวงได้ ย่อมหนีไม่พ้นการสนับสนุนอยู่เบื้องหลังของตระกูลฉิน
หลายปีมานี้หลี่เถียได้ช่วยตระกูลฉินจัดการเรื่องต่างๆ ไปไม่น้อย พูดให้ชัดเจนก็คือผู้บังคับบัญชาของหลี่เถียก็คือตระกูลฉิน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องรายงานให้ตระกูลฉินทราบ
“ไม่ต้อง ปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน” หลี่เถียตอบหลังจากคิดครู่หนึ่ง
“งั้นถ้าคนของตระกูลฉินตามมาถามเรื่องจัดการตระกูลเย่จะทำไงดีครับ?”
“ก็บอกไปว่าฉันป่วย ป่วยหนัก ยังทำอะไรไม่ได้ชั่วคราว” หลี่เถียเปิดปากพูด
“ครับ!”
เมื่อเห็นว่าพวกลูกน้องของตนต่างก็ไปจัดการธุระกันหมดแล้ว หลี่เถียก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง หญิงสาวเซ็กซี่ยั่วยวนคนหนึ่งก็เดินออกมาห้องข้างๆ เธอยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลงบนตักของหลี่เถีย ส่วนหลี่เถียก็ลูบคลำตามใจชอบ
“ทำไมคุณไม่ส่งคนไปทำลายตระกูลเย่ตรงๆ เลยล่ะคะ ทำไมต้องแจ้งความด้วย? ทำแบบนี้เดี๋ยวคนอื่นจะดูถูกเอานะคะ ไม่เหมือนวิธีการของคุณเลย!”
หญิงสาวผู้ยั่วยวนขยับริมฝีปากแดงกล่าวถาม
“เสี่ยวฉิง เธอเข้าใจฉันดีที่สุดแล้วล่ะ แต่ว่าบางเรื่องเธอก็คงจะไม่เข้าใจหรอก” หลี่เถียตอบด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยวฉิงเป็นภรรยาน้อยของหลี่เถีย เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากคนหนึ่ง มาอยู่กับหลี่เถียเมื่อหนึ่งปีก่อน ทั้งสองตัวติดกันราวกับปาท่องโก๋ ทุกๆ วันต้องทำเรื่องราวระหว่างชายหญิง สามารถเห็นได้ถึงความชอบของหลี่เถียที่มีต่อคนรักคนนี้
ในสมัยก่อนหลี่เถียเปลี่ยนผู้หญิงทุกสองถึงสามวัน แต่เสี่ยวฉิงมาอยู่กับเขาได้หนึ่งปีแล้ว ทั้งยังไม่ถูกฆ่าตาย แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดและฝีมือบนเตียงอันเก่งกาจของหญิงคนนี้ได้อย่างง่ายดาย
“งั้นคุณบอกฉันหน่อยได้ไหมคะ? ให้ฉันเรียนรู้เยอะๆ ต่อจากนี้จะได้ช่วยคุณได้!” เสี่ยวฉิงจูบลงบนหน้าผากของ หลี่เถียแล้วกล่าวออกมา
หลี่เถียยิ้มเล็กน้อย ใช้มือซ้ายขยำเบาๆ ที่หน้าอกของเสี่ยวฉิง ได้ยินเสียงกระสันอันรัญจวน จากนั้นก็พูดว่า
“เรื่องที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ล้วนแต่ผิดปกติทั้งนั้น เรื่องของเจ้าเย่เทียนเฉินฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน ไม่ว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ หรือเสแสร้งมาตลอดยี่สิบปีก็ตาม ก็ควรระวังเอาไว้หน่อย ฉันไม่อยากจะเป็นแพะรับบาปหรือเครื่องสังเวยของใคร”
“ความหมายของคุณก็คือการกลับมาของเย่เทียนเฉินได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตระกูลเย่ การจัดการกับตระกูลเย่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้นอีกแล้ว ใช่ไหมคะ?” เสี่ยวฉิงเอ่ยปากถามอย่างชาญฉลาด
“ถูกต้อง ตระกูลเย่เมื่อก่อนไม่มีเสาหลัก แต่ในตอนนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเพราะการกลับมาของเย่เทียนเฉิน ตำแนห่งของฉันหลี่เถียไม่สูงนัก เทียบไม่ได้กับเหล่าคนใหญ่คนโตทั้งหลาย แต่ว่าฉันเชื่อในการมองคนของตัวเอง แค่เย่เทียนเฉินกล้าเข้าไปทำร้ายลั่วเหลยถึงตึกเทียนซ่างเหรินเจียน เย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่ใช่เย่เทียนเฉินคนเดิมอีกแล้ว การกำจัดตระกูลเย่ย่อมไม่ง่ายขนาดนั้นแน่นอน” หลี่เถียหยักหน้าตอบ
จริงๆ แล้ว ที่หลี่เถียให้ลูกน้องไปแจ้งความ ให้ตำรวจส่งคนไปตรวจสอบสาเหตุการตายของพวกเฉินหู่ ก็เพื่อยืมมือของตำรวจตรวจสอบความสามารถของเย่เทียนเฉิน
เขาอยากดูว่าเย่เทียนเฉินเก่งกาจขึ้นจริงๆ หรือแค่เสแสร้ง อีกอย่างถ้าหากตำรวจสามารถจัดการเย่เทียนเฉินได้เขาหลี่เถียก็คร้านจะลงมือเสี่ยงอันตราย
การที่หลี่เถียสามารถเป็นจอมอันธพาลแห่งโลกใต้ดินของเมืองหลวงได้ ส่วนสำคัญที่สุดก็คือเขาทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง
เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่ส่งผลต่อความคิด และที่ซ่อนของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ หากไม่ระวังแม้เพียงนิดเดียว ก็อาจจะถูกคนคิดบัญชีได้ ตายโดยที่ไม่รู้ตัวว่าตายอย่างไร
ตอนนี้เย่เทียนเฉินกลายเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้ หากผลีผลามลงมือไปล่ะก็ เป็นไปได้สูงว่าจะมีจุดจบเช่นเดียวกับเฉินหู่
ดังนั้นหลี่เถียจึงไม่อาจนำชีวิตตนเองมาล้อเล่น และไม่อาจเป็นหินรองเท้าให้แก่ตระกูลฉินโดยไร้ผลประโยชน์
“ฉันก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเย่เทียนเฉินมาเหมือนกัน คุณคิดว่าเขาแกล้งโง่ แสร้งทำตัวเป็นคุณชายเสเพลได้ถึงยี่สิบปี หรือจะบอกว่าอยู่ดีๆ ก็ระเบิดศักยภาพขึ้นมาได้?” เสี่ยวฉิงอดเอ่ยถามไม่ได้
“ไม่ว่าจะยังไง ถ้าไม่กำจัดเย่เทียนเฉินซะก่อน ก็ไม่สามารถลงมือกับตระกูลเย่ได้ อีกอย่างลั่วซงเฉิงมีนิสัยปกป้องพวกพ้อง ฉันเชื่อว่าเขาก็แค่อดทนไว้ชั่วคราวเท่านั้น คงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ หรอก!” หลี่เถียกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ไม่พูดไม่ได้ว่าการที่หลี่เถียสามารถเป็นผู้นำของอิทธิพลใต้ดินในเมืองหลวงได้ มาจาวิธีในการจัดการเรื่องราวต่างๆ และความเจ้าเล่ห์ของตน การเคลื่อนไหวในแต่ละครั้งต่างก็ใช้ผู้อื่นเป็นเป้ากระสุน ช่วยเบิกทางให้แก่เขา ส่วนเขาก็คอยเป็นนกขมิ้นรออยู่ด้านหลัง [1]เพียงแต่คราวนี้เจอกับเย่เทียนเฉิน หลี่เถียจะยังสามารถคำนวนอะไรได้อีกหรือ?
“ฉันได้ยินมาว่าตระกูลลั่วให้อู๋เสวี่ยไปลอบสังหารเย่เทียนเฉินแล้ว!” เสี่ยวฉิงเอ่ยขึ้น
“หือ? เธอรู้ได้ไง?”
หลี่เถียพลันตกตะลึง มองไปยังภรรยาน้อยของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาพบว่าบางครั้ง ข่าวสารของผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไวกว่าเขาเสียอีก รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
พอเสี่ยวฉิงเห็นว่าสีหน้าของหลี่เถียเปลี่ยนไป ก็อดตกใจไม่ได้ รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มแทบจะในทันทีว่า
“เรื่องของเย่เทียนเฉินกับตระกูลลั่ว ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงมีใครบ้างที่ไม่รู้ ทุกคนรู้ว่าลั่วซงเฉิงมีนิสัยปกป้องถือหางคนของตนเป็นอย่างมาก ยังไงก็ต้องลงมือแน่ หลายคนต่างก็อยากที่จะเห็นเรื่องเหตุการณ์นี้ ดังนั้นตระกูลลั่วมีการเคลื่อนไหวอะไร ก็ถูกคนอื่นรู้หมด!”
หลี่เถียขมวดคิ้วมองภรรยาน้อยของตน รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นบนมือขวา จิตใจเริ่มสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มอย่างหื่นกระหายพร้อมกับพูดว่า
“ดูท่าแล้วการตัดสินใจของฉันจะถูกต้อง อิทธิพลของตระกูลลั่วปกติก็ยิ่งใหญ่กว่าตระกูลเย่มากอยู่แล้ว แถม ไอ้แก่ลั่วซงเฉิงก็ทั้งหัวแข็งทั้งให้ท้ายคนของตนเองมาตลอด ขนาดมันก็ยังไม่กล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้ง ทำได้แต่จ้างวานอู๋เสวี่ยให้ลงมืออย่างลับๆ นี่ก็อธิบายปัญหาได้มากขึ้น จะดูถูกเย่เทียนเฉินไม่ได้อีก!”
“เพียงแต่ฉันกำลังคิดว่า อู๋เสวี่ยจะฆ่าเย่เทียนเฉินได้รึเปล่า? มีข่าวบอกว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจขึ้นมาก” เสี่ยวฉิงพูดขึ้น
“เรื่องนี้บอกไม่ได้ อู๋เสวี่ยเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เป็นคนของพรรควรยุทธ์โบราณ หากพูดถึงฝีมือแล้วเ กรงว่าจะหาคนที่มีฝีมือเทียบเคียงกับเขาได้ยาก ตามที่ฉันรู้มา หลายปีมานี้ทุกครั้งที่อู๋เสวี่ยลงมือล้วนแต่ประสบความสำเร็จ ไม่มีใครหลบพ้นมีดในมือของเขาไปได้ ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ก็ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของ อู๋เสวี่ยได้หรอกมั้ง?” หลี่เถียกล่าวยิ้มๆ
“หวังว่าอู๋เสวี่ยจะฆ่าเย่เทียนเฉินได้นะ ถ้าเป็นแบบนั้น คุณก็จะสบายขึ้นมาก” เสี่ยวฉิงเองก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว สรุปแล้วถ้ายังไม่รู้แน่ชัดถึงเส้นสนกลในของเย่เทียนเฉิน ฉันก็จะไม่ลงมือตามใจชอบ ตอนนี้มือขวาของฉันแฉะไปหมดแล้ว คิดว่าเธอเองก็คงแฉะแล้วสินะ ไปทำเรื่องสนุกๆกันเถอะ!”
หลี่เถียกล่าวพลางอุ้มเสี่ยวฉิงขึ้น เดินเข้าไปในห้องข้างๆ ก่อนจะร่วมอภิรมย์กัน
……………………………………….
[1] สำนวนจีน หมายถึง คนที่รอเก็บผลประโยชน์ในตอนสุดท้าย