เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 35
บทที่ 35 สำหรับคนในครอบครัวเช่นนี้ ทำไมต้องเกรงใจด้วย?
Ink Stone_Fantasy
“แม่ครับ พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปโมโหพวกคนแปลกหน้าพวกนี้เลย” เย่เทียนเฉินผลักประตูเดินเข้าไป ไม่ได้แสดงความเคารพลุงใหญ่ ลุงสอง หรือกระทั่งผู้อาวุโสเย่หย่วนซาน แต่พูดกับหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม
“เทียนเฉิน ลูก ลูกกลับมาได้ยังไง? ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม พวกเขาไม่ได้ทำอะไรลูกใช่ไหม?” หลัวเยี่ยนตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าาลูกชายจะกลับมาเร็วขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าเกิดเรื่องราวอะไรใหญ่โต รีบเข้าไปดูลูกชายว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่
ไม่ใช่แค่หลัวเยี่ยน กระทั่งเย่มู่ไป๋ เย่เฮ่อกั๋ว และผู้อาวุโสเย่หย่วนซาน ต่างก็ตกตะลึงเป็นอย่างมากเช่นกัน ตระกูลเย่นั้นแม้ว่าจะเป็นตระกูลชั้นสาม แต่ปกติแล้วตำรวจจะไม่กล้ามาจับคนถึงหน้าประตูบ้านโดดเด็ดขาด ครั้งนี้ การที่เย่เทียนเฉินถูกจับตัวไป เรื่องราวคงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นแน่ พวกเขาคาดเดาว่าตระกูลลั่วเป็นผู้ลงมือ เย่เทียนเฉินถูกจับไป ต่อให้ไม่ตายก็คงถูกถลกหนัง แต่กลับกลับมาได้อย่างครบสามสิบสอง ช่างเหนือความคาดหมายของผู้คนจริงๆ
“ไม่เป็นไรครับ ก็แค่การสอบถามธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง เหมาะสมกับประชาชนคนดีอย่างผม พูดกันไม่กี่ประโยคก็เสร็จแล้ว!” เย่เทียนเฉินไม่อยากให้แม่กังวลใจ จึงไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่สถานีตำรวจ และทำตัวสบายๆ และผ่อนคลาย
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” หลัวเยี่ยนถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวพร้อมกับหัวเราะทั้งน้ำตา
ตอนนี้เอง เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วก็มีปฏิกริยาขึ้นมา ต่างก็มองเย่เทียนเฉินแปลกๆ คิดถึงคำพูดเมื่อสักครู้นี้ของเย่เทียนเฉิน ในใจก็รู้ไม่พอใจ
“คนแปลกหน้า? พวกเราเป็นคนแปลกหน้าสำหรับแกงั้นเรอะ? ไอ้คนไม่มีสัมมาคารวะ”
“สะใภ้สาม บ้านเธอไม่มีการสอนกันในครอบครัวรึไง? เจอผู้ใหญ่ไม่รู้จักถามสารทุกข์สุขดิบ ถ้าเรื่องนี้หลดออกไปคนอื่นจะมองพวกเราตระกูลเย่ยังไง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋ว หลัวเยี่ยนกำลังคิดอยากจะโต้กลับสักหลายประโยค เมื่อสักครู่นี้พวกเขาทำเกินไป มองพวกเธอเป็นคนในครอบครัวที่ไหนกัน ต่อให้ไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ไม่ควรจะซ้ำเติม พวกเขาจะอย่างไรก็มีฐานะเป็นญาติผู้ใหญ่ของเย่เทียนเฉิน ไม่เพียงไม่ช่วยคิดหาวิธีช่วยเหลือ ซ้ำยังพูดจาถากถางแดกดัน เป็นใครก็ต้องโมโห
โครม!
หลัวเยี่ยนยังไม่ได้พูดอะไร เย่เทียนเฉินก็ขวางเธอไว้ แล้วเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถีบโต๊ะกินข้าวล้มลง ทำให้เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วตกใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินจะกล้าขนาดนี้ ถึงกับกล้าอวดดีต่อหน้าผู้อาวุโส
“เป็นเพราะมีสวะอย่างพวกคุณสองคน ถึงทำให้ตระกูลเย่ที่สามัคคีกันต้องกลายเป็นแบบนี้ คนในครอบครัวตัวเองเกิดเรื่อง ไม่เพียงไม่ช่วยคิดหาวิธี ยังจะซ้ำเติมเข้าไปอีก พูดจาบิดเบือนความเป็นจริง ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปถึงจะทำให้ทุกตระกูลในเมืองหลวงหัวเราะเยาะตระกูลเย่ของพวกเรา ผมล่ะเสียใจกับตระกูลเย่จริงๆ ที่มีสวะที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนอย่างพวกคุณสองคน” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“แก…อวดดี นี่เป็นท่าทางที่แกใช้พูดกับผู้ใหญ่เหรอ?” เย่มู่ไป๋ที่โกรธจนใบหน้าซีดขาวตะโกนออกมา
“ไอ้คนไม่รู้จักสัมมาคารวะ กล้าลงไม้ลงมือต่อหน้าผู้อาวุโส อยากจะถูกลงโทษด้วยกฏบ้านใช่ไหม?” เย่เฮ่อกั๋วที่โกรธจนตัวสั่นก็ด่าออกมาเช่นกัน
เปรี้ยง!
เย่เทียนเฉินใช่ฝ่ามือตบใส่เสาหินด้านข้าง ทันใดนั้นเสาหินก็เกิดรอยปริแตก หากไม่คิดว่าเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วเป็นพี่ชายของพ่อ เย่เทียนเฉินก็คงตบใส่ร่างของสองคนนี้ไปตั้งแต่แรกแล้ว สวะของตระกูลเย่ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา ตระกูลเย่จะตกต่ำจนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
การที่เย่หย่วนซานเกษียณออกจากตำแหน่ง ก็เพื่อที่จะเบิกทางให้แก่ลูกชายทั้งสาม เพียงแต่น่าเสียดายที่ลูกชายคนโตเย่มู่ไป๋และลูกชายคนรองเย่เฮ่อกั๋วรู้จักแต่ช่วงชิงทรัพย์สินครอบครัว กีดกันลูกชายคนที่สามเย่หงทุกวิถีทาง สิ่งเหล่านี้เย่หย่วนซานต่างก็รับรู้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นลูกชายของตนเอง จะร้ายจะดีก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เขาไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้แต่มองดูเหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป
“กฏบ้าน? กฏบ้านที่ดูแลไม่ได้แม้แต่คนไม่อาไหนอย่างพวกคุณ ผมว่ากฏบ้านไม่ต้องมีก็ได้” เย่เทียนเฉินกล่าวเสียงดัง
เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วตกใจจนแทบจะหงายหลัง เดิมทีพวกเขาคิดจะใช้ฐานะญาติผู้ใหญ่สั่งสอนเย่เทียนเฉิน ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินที่อยู่ตรงหน้านี้จะไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสั่งสอนได้
“พ่อครับ พ่อดูไอ้เด็กไม่ได้ความนี่สิ ทำตัวเลยเถิดเกินไปแล้ว”
“พ่อครับ มันกล้าอวดดีต่อหน้าพ่อ ต่อไปไม่แน่ว่าจะสร้างปัญหาให้กับตระกูลเย่ของพวกเราแน่ ไม่สั่งสอนไม่ได้นะครับ”
เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วที่กลัวเย่เทียนเฉิน ได้แต่ขอความช่วยเหลือจากเย่หย่วนซาน อย่างไรเสียเย่หย่วนซานก็เป็นผู้อาวุโสตระกูลเย่ เป็นกระดูกสันหลังของตระกูลเย่ทั้งตระกูล
“เทียนเฉิน หลานไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ปู่ยังคิดจะหาความสัมพันธ์สมัยก่อนช่วยเหลือหลานออกมาจากสถานีตำรวจอยู่พอดีเลย!” เย่หย่วนซานมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง อย่างไรเสียก็เป็นหลานชายของตนเอง เขาคงไม่อาจทนเห็นหลานชายถูกผู้อื่นฆ่าได้จริงๆ ได้แน่ สำหรับความ ‘อวดดี’ ของเย่เทียนเฉินนั้น เย่หย่วนซานรู้ดีแก่ใจว่าลูกชายคนโตและลูกชายคนรองก็ทำเกินไปจริงๆ อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
“งั้นเหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องขอบคุณผู้อาวุโสมาก ผมยังมีธุระ ขอตัวก่อนะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
เมื่อเย่หย่วนซานได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้วไม่หยุด ไม่เคยมีลูกหลานคนไหนกล้าพูดกับตนเองเช่นนี้มาก่อน เขาอยากจะระเบิดอารมณ์ แต่ก็คิดว่าในช่วงหลายปีมานี้รู้สึกผิดต่อครอบครัวของลูกสามมากจริงๆ จึงได้พูดว่า “คราวนี้หลานบ้าบิ่นมากที่ไปทำร้ายหลานชายสองคนของตระกูลลั่ว ลั่วซงเฉิงเป็นคนที่รักพวกพ้องมาก ไม่ยอมจบง่ายๆแน่ หากอยากจะจัดการเรื่องนี้ เป็นเรื่องยากมาก”
“ใช่แล้ว ตอนนี้อำนาจของตระกูลลั่วกำลังรุ่งเรือง แกกล้าไปทำร้ายคนของตระกูลลั่ว รนหาที่ตายรึไง?”
“ลั่วซงเฉิงมีอิทธิพลมาก การเลือกตั้งคณะกรรมาธิการทหารครั้งนี้มีโอกาสมากที่จะมีเขาอยู่ด้วย ถึงตอนนั้นตระกูลเย่ของพวกเราเกรงว่าจะทำได้แค่ก้มหน้ารับกรรม”
ยังไม่ทันรอให้เย่เทียนเฉินพูด เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วก็เริ่มใส่สีตีไข่ การที่เย่เทียนเฉินกล้ามาใช้ท่าทางแบบนี้กับพวกเขา ในใจของพวกเขาย่อมไม่พอใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่เพียงชักจูงผู้อาวุโสให้ปรามเย่เทียนเฉิน
“งั้นในสายตาของพวกคุณสองคน เรื่องนี้จะทำยังไงดีล่ะ?” เย่เทียนเฉินจงใจกล่าวถามด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“เฮอะ ตระกูลลั่วในตอนนี้พวกเราไม่สามารถไปหาเรื่องด้วยได้ แกไปยอมรับโทษที่ตระกูลเย่ด้วยตัวเองซะ” เย่มู่ไป๋ร้องหึครั้งหนึ่ง พอเห็นว่าเย่เทียนเฉินคล้ยกับรู้สึกลัวขึ้นมาแล้ว ก็เอ่ยปากตอบ
“ใช่แล้ว พวกเราไปกันทั้งตระกูล แบบนี้ถึงจะแสดงถึงความจริงใจได้ สุดท้ายจะลงโทษแกยังไงก็แล้วแต่ตระกูลลั่วแล้ว” เย่เฮ่อกั๋วเองก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไสหัวไป!” เย่เทียนเฉินตะโกนด่าเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วอย่างอดไม่ไหว
เย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วต่างก็รู้สึกตกใจ เย่เทียนเฉินในตอนนี้ไม่เหมือนกับหลานชายเลยสักนิด กลับมีลักษณะของหัวหน้าครอบครัว เย่เทียนเฉินมองพวกเขาด้วยความโกรธเคือง ก่อนจะด่าต่อไปว่า “ตอนแรกผมก็คิดว่าผมเป็นคนไม่เอาไหน เป็นขยะคนหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าพวกคุณสองคนเป็นเศษสวะของจริง เมื่อก่อนตระกูลเย่ของเราเเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ต่อให้ตอนนี้ตกต่ำลง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เอาคนทั้งตระกูลไปขอขมาผู้อื่นถึงหน้าบ้าน แบบนี้จะเอาหน้าตาของตระกูลเย่ของพวกเราไปไว้ที่ไหน? ส่งเสริมความทะเยอทะยานของผู้อื่น ทำลายอำนาจของตนเอง นี่สิถึงจะเป็นทำให้ผู้คนต้องหัวเราะเยาะอย่างแท้จริง”
เย่เทียนเฉินด่าจนเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วใบหน้าซีดขาว กระทั่งผู้อาวุโสเย่หย่วนซานก็ต้องสั่นสะท้าน หลายปีมานี้เขาค่อยๆ แก่ลงทุกวัน อีกทั้งไม่มีอำนาจอยู่ในมือมานาน จิตใจก็ค่อยๆ อ่อนลง การด่าของเย่เทียนเฉิน ทำให้เขาหาความภาคภูมิใจในอดีตพบ ในตอนที่ตนมีอำนาจ ใครหน้าไหนกล้ามาหาเรื่องตระกูลเย่บ้าง? ไม่เหมือนกับตอนนี้ กระทั่งพวกอันธพาลจากอิทธิพลใต้ดินของเมืองหลวงก็ไม่เห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตา
“เทียนเฉินเอ้ย อยู่กินข้าวเย็นกันก่อนเถอะ” เย่หย่วนซานพลันงรู้สึกว่าหลานชายคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เด็กเสเพลปอดแหกในอดีต ตอนนี้มีบรรยากาศมีความกล้าแกร่งอยู่หลายส่วน ถึงขั้นมีมากกว่าลูกชายทั้งสามคนของตนเองด้วยซ้ำ บางทีในอนาคตเย่เทียนเฉินยังจำเป็นต้องให้เขาคอยส่งเสริม
“ไม่ต้องหรอกครับผู้อาวุโส จากนี้ไปเรื่องของครอบครัวผม ผมจะแก้ปัญหาเอง ไม่รบกวนคุณหรอก!”
พูดจบ เย่เทียนเฉินก็ไม่สนใจคนอื่นอีก จูงมือหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เดินออกจากห้องโถงของบ้านหลักไป เห็นดังนั้นเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วก็ตกตะลึง เย่เทียนเฉินอวดดีเช่นนี้ เย่หย่วนซานผู้เป็นพ่อไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ในขณะที่มองเงาหลังที่กำลังจากไปของเย่เทียนเฉิน ยังปรากฏรอยยิ้มชื่นชมออกมาด้วย
“พ่อครับ ไอ้เด็กไม่รักดีคนนี้มันสร้างปัญหาใหญ่…”
“ถ้าไม่ลงโทษ เกรงว่าตระกูลลั่ว…”
“ไสหัวไป พวกแกสองคนไสหัวออกไปซะ!”
คราวนี้ คำพูดซ้ำเติมของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วยังไม่ทันจะพูดจบ ก็ถูกเย่หย่วนตัดบท ทั้งสองตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพ่อโมโหขนาดนี้ พากันผละไปอย่างเศร้าหมอง
เย่หย่วนซานถอนหายใจครั้งหนึ่ง เขารู้ดีว่าเย่เทียนเฉินกล่าวไม่ผิด ลูกชายคนโตและลูกชายคนรองต่างหากล่ะที่เป็นความเสื่อมโทรมของตระกูลอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันเย่หย่วนซานก็รู้สึกชื่นชมเย่เทียนเฉินหลานชายของตนขึ้นมา เย่เทียนเฉินที่เคยทำตัวเกเรดูเหมือนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กลายเป็มีความกล้าและความสามารถ การใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่เป็นมลพิษต่อความคิดอย่างเมืองหลวง และสถานที่ที่มีอำนาจอิทธิพลมากมายครอบงำอยู่ จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวัง หากไม่มีความแข็งกร้าวก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จ
“ส่งเสริมความหวังของตระกูลเย่ ปู่ขอพนันข้างหลานก็แล้วกัน!” เย่หย่วนซานพูดกับตนเอง
เย่เทียนเฉินจูงมือหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เดินไปยังประตูใหญ่ของบ้านหลัก เขาไม่อยากจะอยู่ที่บ้านหลักแห่งนี้แม้แต่สักวินาที หากไม่เห็นว่าแม่ต้องรองรับอารมณ์ของลุงใหญ่และลุงรองเพื่อ และรับความอัปยศเพื่อเขา เย่เทียนเฉินก็คร้านที่จะไประเบิดอารมณ์ใส่ มีตนอย่างลุงทั้งสองนี้ แม่งเป็นโศกนาฏกรรมของการได้เกิดใหม่จริงๆ
“ลูก ลูกไม่เป็นอะไรจริงๆใช่ไหม ทำไมสานีสันติบาลถึงได้ปล่อยลูกกล่ะ?” หลัวเยี่ยกล่าวถามด้วยความกังวลเล็กน้อย
“อ๋อ พวกเขาเข้าใจผิดหนะครับ ในเมื่อเรื่องมันไม่เกี่ยวกับผม ก็ต้องปล่อยผมอยู่แล้วล่ะ!” เย่เทียนเฉินตอบแม่ด้วยรอยยิ้ม
“เทียนเฉิน เรื่องตระกูลลั่ว…”
“แม่ครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมจัดการได้ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก วางใจเถอะ ตอนเย็นผมอยากกินบะหมี่คลุกซอส!” เย่เทียนเฉินกล่าวขัดคำพูดของผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้ม
เพิ่งจะเดินไปถึงประตูบ้านหลังตระกูลเฉิน ยามสองคนนั้นที่ถูกเย่เทียนเฉินอัดจนหมดท่าก็ขวางเย่เทียนเฉินกับหลัวเยี่ยนเอาไว้อีกครั้ง พวกเขาไม่เห็นครอบครัวของเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาโดนสิ้นเชิง นี่เป็นคำสั่งของเย่มู่ไป๋และเย่เฮ่อกั๋วที่ให้พวกมันสร้างความลำบากใจให้ครอบครัวของเย่หงทุกครั้ง
“เย่เทียนเฉิน แกกล้าลงมือกับพวกเรา ไป ไปอธิบายกัยผู้อาวุโสซะ” ยามคนหนึ่งที่กุมท้องของตนเอง กล่าวขึ้นในขณะที่มองเย่เทียนเฉินอย่างดุร้าย
เปรี้ยง!
ยามผู้นั้นร้องโหยหวนในตอนที่ถูกเตะกระเด็นออกไป เขาชนเข้ากับประตูรั้ว ดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกไม่ขึ้นอีก ทำให้ยามอีกคนตกใจเสียจนหน้าซีด สั่นไปทั่วทั้งตัว บนหน้าผากปรากฏเหงื่อเย็นไหลเป็นสาย เขาคิดไม่ถึงว่าคนที่ตนเองมองว่าเป็นคนไม่เอาไหนมาตลอด ไอ้ขยะเย่เทียนเฉินคนนี้ ในปัจจุบันจร้ายกาจถึงขนาดนี้
“อย่าพูดว่าครอบครัวของฉันมาที่บ้านหลักตระกูลเย่นี่ไม่ได้อีก ฉันก็มาแล้วไง ถ้าใครกล้าไม่เคารพอีก ฉันจะฆ่ามันซะ!” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองยามที่เป็นทาสชั้นต่ำทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา
………………………………………………