เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 44
บทที่ 44 เสี่ยวฉิงก็เป็นผู้มีพลังพิเศษงั้นหรือ!
Ink Stone_Fantasy
ร่างกายเปลือยเปล่างดงามดั่งหยก ยามเมื่อหญิงผู้มากไปด้วยเสน่ห์เปลือยกายอยู่เบื้องหน้าของคุณพลางกรีดกายยั่วยวน คุณยังจะสามารถควบคุมอามรมณ์ได้อีกหรือ? โดยเฉพาะยอดหยกอันตั้งตระหง่านคู่นั้นของเธอ เอวคอดกิ่วราวงูน้ำ รวมกับหมู่ป่าหนาแน่นสีดำ และบั้นท้ายงอนงามที่ทำให้คุณต้องเลือดลมสูบฉีด โดยเฉพาะชายโสด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความดึงดูดของร่างกายอันเปลือยเปล่าเช่นนี้ จะมีผู้ชายสักกี่คนที่จะอดทนได้กัน?
เย่เทียนเฉินมองเสี่ยวฉิงผู้เป็นภรรยาน้อยของหลี่เถี่ยที่เปลือยกายยักย้ายส่ายสะโพกอยู่เบื้องหน้าของตน บางครั้งก็แลบลิ้นออกมาอย่างยั่วยวน เขามองทั้งหมดนี้อย่างไม่แยแส เขาไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่ถูกยามเห็นหญิงงาม ผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวยเซ็กซี่ ชายใดบ้างที่ไม่อยากจะขึ้นเตียงด้วย?
อาจเพราะในโลกก่อนมียอดหญิงงามงานดีอยู่ข้างกายเป็นจำนวนมากเกินไป ในโลกนี้เย่เทียนเฉินจึงไม่อยากจะปกป้องดูแลหญิงงามอีก และไม่อยากมีชีวิตที่ต้องถูกหญิงงามพัวพัน เขาเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ กินอาหารอร่อยๆ ดื่มเครื่องดื่มอร่อยๆ ใช้ชีวิตในแต่ละวันกับครอบครัวในโลกนี้อย่างมีความสุข แต่เขาพบว่าตอนนี้ ความปราถนาอันเล็กน้อยนี่ยากที่จะเป็นจริงอยู่บ้าง ไม่ว่าจะในโลกไหนๆ ขอเพียงเป็นสถานที่ที่มีผู้คนอยู่ ก็จะมีความขัดแย้งและความยุ่งยากที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ แต่เย่เทีนเฉินก็เคยชินมาตั้งแต่โลกก่อนแล้ว จะจัดการความยุ่งยาก ทุบด้วยกำปั้นก็ใช้ได้แล้ว จะใช้เหตุผลคุยกันมันไม่มีหรอก
“ขอเพียงนายตกลงให้ฉันเอาเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องนี้ไป ฉันไม่เพียงสามารถรับรองได้ว่านายจะได้เป็นผู้นำกลุ่มอิทธิพลใต้ดินของจิงตู และยังจะได้ชมเชยร่างกายของฉันอีกด้วย นายเชื่อเถอะ ด้วยฝีมือบนเตียงของฉัน จะส่งนายไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดแน่นอน” เสี่ยวฉิงกล่าวพลางบิดส่ายร่างกาย สายตาที่มองไปยังเย่เทียนเฉินราวกับมีกระแสไฟฟ้าออกมา
“รีบไสหัวไปซะ ฉันไม่อยากจะลงมืออัดผู้หญิงเลยจริงๆ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่ใส่เสื้อผ้า!” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างเหลือทน
เสี่ยวฉิงขมวดคิ้วอย่างดุร้าย เธอคิดไม่ถึงเลยว่าด้วยความงดงามของตนเอง เย่เทียนเฉินก็ยังคงไม่แยแส อีกอย่างชายคนนี้ก็อายุอานามไม่เกินยี่สิบปี กำลังเป็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของวัยรุ่นพอดี ควรจะต้องมีความปราถนาในผู้หญิงจึงจะถูกต้อง แต่กลับกลายเป็นว่าแรงกระตุ้นจากสัญชาตญาณดั้งเดิมสักนิดก็ไม่มี หรือเจ้าหมอนี่จะเป็นพระอิฐพระปูนกัน?
“อย่ารีบร้อนไป นายมองฉันอีกสักหน่อย…” เสี่ยวฉิงกล่าวด้วยเสียงยั่วยวน
ทันใดนั้น เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมแปลกๆ สายหนึ่งตลบอบอวลไปทั่ว ทำให้สมองของผู้คนรู้สึกงงงวย ภาพเบื้องหน้าก็ค่อยๆ เบลอขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งเย่เทียนเฉินตั้งใจมองจึงพบว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของตนเองนั้นไม่ใช่เสี่ยวฉิง กลับกลายเป็นฉีหรูเสวี่ย ไม่รอให้เย่เทียนเฉินมีปฏิกริยา หญิงตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นหานเจี๋ย ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
ฉัวะ!
พริบตานั้น เสี่ยวฉิงก็พุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินด้วยร่างกายเปลือยเปล่าเช่นนั้น มือซ้ายกำเทปสามกล่องไว้แน่น มือขวาใช้กริชที่ยังคงมีเลือดสดๆ หยดอยู่ปักตรงเข้าไปยังบริเวณหน้าอกของเย่เทียนเฉิน
ปัง!
ในตอนที่ใบหน้าของเสี่ยวฉิงปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย มองกริชในมือขวาของตนใกล้จะแทงเข้าไปที่หน้าอกของเย่เทียนเฉินนั้น เธอก็ถูกเย่เทียนเฉินใช้เท้าเตะจนปลิวออกไปทั้งตัว เพียงแต่ลูกเตะเดียวเท่านั้นก็เตะจนเสี่ยวฉิงกระแทกกับชั้นหนังสือ และร่วงลงด้านล่าง ลุกไม่ขึ้นไปครึ่งวัน
“อา…นาย นึกไม่ถึงว่านายจะสามารถมองพลังภาพมายาของฉันออก…” เสี่ยวฉิงกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างหวาดกลัว
“ไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ แล้วยังเป็นประเภทภาพมายา เพียงแต่ภาพมายาของเธอมีผลกับคนธรรมดา แต่กับฉันมันไม่มีผลอะไรเลย…”
เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเสี่ยวฉิงจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ ในโลกนี้ยอดฝีมือของพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษต่างก็เป็นความลับเช่นเดียวกัน ได้เกิดใหม่ในโลกนี้ ก็เป็นครั้งแรกที่เย่เทียนเฉินได้พบกับผู้มีพลังพิเศษ อีกอย่างพลังพิเศษที่เสี่ยวฉิงใช้ นับว่าเป็นเป็นพลังที่จัดอยู่ในประเภทพิเศษ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ ตกลงแล้วยอดฝีมือสูงสุดของพรรควรยุทธโบราณในโลกแห่งนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ ผู้มีพลังพิเศษมีความร้ายกาจเท่าใดกัน จะมีผู้มีพลังพิเศษระดับเทพราชันอยู่หรือไม่?
หากว่าโลกแห่งนี้มีผู้มีพลังพิเศษระดับเทพราชันอยู่จริงๆ เช่นนั้นก็ช่างน่ากริ่งเกรงเหลือเกิน หากกล่าวโดยไม่เกินจริง ผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าสามารถเคลื่อนภูเขาพลิกมหาสมุทร แยกภูผาป่นหินได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันที่อยู่เหนือกว่าระดับพระเจ้า ต่อให้เป็นในโลกก่อนเย่เทียนเฉินก็เพียงแต่เคยได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยพบเจอผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันเลย แต่เขาที่เป็นผู้มีพลังพิเศษระดับพระเจ้าก็สามารถจินตนาการได้ถึงความน่ากลัวของผู้มีพลังพิเศษระดับเทพราชัน เกรงว่าสามารถไปได้ทั่วทั้งใต้หล้าอันกว้างใหญ่นี้โดยที่ไม่มีใครหน้าไหนสามารถหยุดยั้งได้!
“นาย…หรือว่านายก็เป็นผู้มีพลังพิเศษงั้นหรือ?” เสี่ยวฉิงตื่นตระหรก เธอเองก็เป็นผู้มีพลังพิเศษ แม้ว่าพลังพิเศษจะไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของกระแสพลังบนร่างกายของเย่เทียนเฉิน
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้ ฉันอยากจะถามเธอสักหน่อย ที่ไหนมีผู้มีพลังพิเศษที่ค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่?” เย่เทียนเฉินคิดว่าตนเองไม่คุ้นเคยกับผู้มีพลังพิเศษในโลกแห่งนี้ เสี่ยวฉิงเป็นผู้มีพลังที่จัดอยู่ในประเภทพิเศษ บางทีอาจจะรู้ก็เป็นได้
“นะ…นายจะทำอะไร?” เสี่ยวฉิงกล่าวถามอย่างตกใจ
“แน่นอนว่าต้องไปเรียนรู้แลกเปลี่ยนกับผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่ง ไม่งั้นชีวิตก็น่าเบื่อแย่ ต้องหาเรื่องบ้างเพื่อให้ผ่านช่วงเวลาน่าเบื่อนี่ไป!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮอะ อาศัยความสามารถของนาย บางทีอาจจะต่อกรกับคนธรรมดาพอได้ หากต้องการจะเจอกับยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษจริงๆ ล่ะก็ ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ในทุกๆ ประเทศต่างก็มีองค์กรพลังพิเศษอยู่ นั่นเป็นการแสดงถึงความสามารถในด้านการสู้รบอันสูงสุดของประเทศๆ หนึ่ง” เสี่ยวฉิงกล่าวพลางสบถออกมา
“งั้นเหรอ? งั้นก็ดีเลย ท่าทางน่าสนุก” เย่เทียนเฉินกล่าว
กล่าวจบ เย่เทียนเฉินก็เดินไปเบื้องหน้าเสี่ยวฉิง หยิบเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องมาจากมือซ้ายของเสี่ยวฉิงแล้วหมุนตัวเตรียมเดินจากไป เขาไม่อยากจะฆ่าผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นโลกก่อนหรือโลกนี้ ต่างก็มีหลักการที่ตนเองยึดถืออยู่ ผู้ชายที่ฆ่าผู้หญิงนั้นไม่ใช่สุภาพบุรุษ แน่นอนว่าในโลกก่อนนั้นมีผู้แข็งแกร่งที่เป็นผู้หญิงอยู่มาก เย่เทียนเฉินเองก็มีประสบการณ์การต่อสู้เป็นตายมาก่อน แต่เขาก็ไม่เคยฆ่าผู้หญิงคนไหนเลย เกิดเป็นคนย่อมต้องมีหลักการและบรรทัดฐานของตนเอง
“นายไม่ฆ่าฉันเหรอ?” เสี่ยวฉิงตกตะลึงไปชั่วครู่ มองเงาหลังของเย่เทียนเฉินพลางกล่าวถาม
“ฉันกับเธอไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ทำไมต้องฆ่าเธอด้วย?” เย่เทียนเฉินถามกลับ
“ฉันเป็นคนของตระกูลฉิน นายไม่ฆ่าฉันวันนี้ ตระกูลฉินก็จะรู้เรื่องของนายอย่างรวดเร็ว บางทีอาจจะเชิญผู้แข็งแกร่งกว่านี้มาฆ่านายก็ได้!” เสี่ยวฉิงเปิดปากพูด
“งั้นก็มาเถอะ แต่ฉันคิดว่าเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องนี้ถูกหลี่เถี่ยซ่อนเอาไว้เป็นดั่งฟางช่วยชีวิต เนื้อหาข้างในคงจะไม่เลวเลยทีเดียว หากตระกูลฉินไม่กลัวละก็คงลงมือฆ่าหลี่เถี่ยไปตั้งนานแล้ว” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส
“เทปบันทึกเสียงสามกล่องนี้ บางทีอาจจะสามารถคุกคามตระกูลฉินได้สักวันหนึ่ง แต่มันทำให้นายหรือกระทั่งตระกูลเย่ทั้งตระกูลต้องเจอกับการฆ่าปิดปาก ตระกูลฉินแข็งแกร่งมาก ยากที่จะโค่นลงได้!”
“นี่เป็นเรื่องของฉัน ลาก่อน!” เย่เทียนเฉินโบกมือ หมุนตัวเตรียมเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน นายไม่ฆ่าฉัน ฉันเสี่ยวฉิงเป็นหนี้นายหนึ่งครั้ง ฉันคนนี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่อยากจะเป็นหนี้คนอื่น ดังนั้นฉันจะบอกนายเรื่องหนึ่ง เป็นสิ่งตอบแทนหนี้ครั้งนี้” เสี่ยวฉิงกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉิน
“พูดมาเถอะ!”
“เร็วๆ นี้ตระกูลฉินจะทำการใหญ่ ส่วนรายละเอียดว่าเป็นเรื่องอะไรนั้น ฉันก็ไม่รู้!” เสี่ยวฉิงกล่าวอย่างจริงจัง
เย่เทียนเฉินพยักหน้า เขามีความรู้สึกว่าจริงๆ แล้วเสี่ยวฉิงคนนี้ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่โหดร้ายเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพียงเพราะถูกบีบบังคับจากการใช้ชีวิตก็ได้ ชีวิตคนเราในโลกแห่งนี้นั้นมักจะมีความจนใจเช่นนั้นเช่นนี้อยู่มากมาย ไม่ใช่ว่าคุณอยากจะทำอะไรก็สามารถทำเช่นนั้นได้
“ฉันคิดว่าเธอเองก็ไม่ต้องกลับไปที่ตระกูลฉินหรอก คราวนี้หลี่เถี่ยตายแล้ว เทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องก็ถูกฉันเอาไป เธอกลับไปที่ตระกูลฉินก็คงไม่รอดแน่ อีกอย่างพลังพิเศษของเธอดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้พัฒนาอย่างเต็มที่ ไม่งั้นคงไม่อ่อนแอขนาดนั้น”
ได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน เสี่ยวฉิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เธอพบว่าผู้ชายตรงหน้านี่เป็นคนที่พิเศษ เย็นชา จิตใจเด็ดเดี่ยว แต่กลับมีความไม่ใส่ใจโลกหล้าอยู่บ้าง เขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยโหดร้ายประเภทที่ว่าหยิ่งยะโสคิดว่าตนยิ่งใหญ่และถือว่าตนเองมีฝีมือเก่งกาจจนเที่ยวไล่ฆ่าคนไปทั่ว แต่กลับมีท่าทางที่ทำให้หลายคนไม่กล้าตอแยด้วย ผมไม่หาเรื่องคุณ คุณก็อย่ามาหาเรื่องผม คุณหาเรื่องผม ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขออภัยที่ต้องเอาชีวิตคุณ ก็ง่ายๆ เพียงเท่านี้
หลังจากที่เดินออกมาจากคฤหาสน์ที่หลี่เถี่ยอาศัยอยู่ นอกจากเสี่ยวฉิงที่เป็นผู้หญิงเย่เทียนเฉินจึงไม่ได้ฆ่า หลี่เถี่ย ซานจี ซานซยง รวมทั้งลูกน้องบอดี้การ์ด ถือปืนสามสิบกว่าคน ล้วนถูกเย่เทียนเฉินฆ่าเกลี้ยง ต่อให้ภายในคฤหาสน์มีเสียงปืนดังลั่นหรือเสียงกรีดร้องแทบขาดใจ โลกภายนอกก็ไม่ได้ยินโดยสิ้นเชิง
พลังพิเศษของเย่เทียนเฉินทะลวงไปถึงระดับจอมราชันแล้ว ใช้พลังเขตแดนปิดกั้นเพื่อป้องกันได้อย่างแน่นหนา กล่าวได้ว่าเป็นการปิดประตูฆ่าคน มิอาจมีใครจากภายนอกที่จะสามารถได้ยินเสียงอะไรที่เกิดขึ้นได้เลย ขนาดหูหลงที่อยู่ด้านนอกของคฤหาสน์ก็ยังเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก เย่เทียนเฉินเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว ข้างในกลับไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้ยินเสียงฆ่าฟันหรือเสียงปืนเลย เขาอยากจะพุ่งเข้าไปดูสถานการณ์สักหน่อย แต่ก็คิดถึงคำสั่งของพี่ใหญ่อย่างเย่เทียนเฉิน จึงทำได้เพียงรออยู่ด้านนอกอย่างกระวนกระวาย
เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเดินออกมา หูหลงก็รีบวิ่งเข้าไปหา กล่าวออกมาด้วยความสงสัยและกังวลใจว่า “พี่ใหญ่ พี่ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
“ไม่เป็นไร เสี่ยวหลง หลี่เถี่ยไม่ระวังตัวเลยถูกคนฆ่าตายไปแล้ว ฉันรักษาสัญญาที่บอกว่าจะให้นายฆ่าหลี่เถี่ยเองกับมือไม่ได้แล้ว ยังไงนายเข้าไปดูสักหน่อยเถอะว่าบนศพมีรอยมีดอยู่กี่รอย?” เย่เทียนเฉินกล่าวล้อเล่นอย่างมีอารมณ์ขัน
หูหลงชะงักไปชั่วครู่ ในสายตาของเขา เคยพบกับเย่เทียนเฉินเพียงสองครั้ง สองครั้งนี้เย่เทียนเฉินล้วนแต่เข้มงวดจริงจังเป็นอย่างมาก ไม่พูดจาหยอกล้อ ให้อารมณ์เย็นชาสายหนึ่ง ไม่คิดเลยว่ายังมีด้านอามรมณ์ขันอยู่ด้วย
“ไม่ต้องแล้วล่ะครับพี่ใหญ่ หลี่เถี่ยตายแล้ว ผมก็ถือว่าสามารถปลอบประโลมดวงวิญญาณของพ่อและแม่บนสวรรค์ได้แล้ว!” หูหลงกล่าวพลางมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดารา
“นั่นก็จริง ไปกันเถอะ พวกเราไปดื่มกันสักสองแก้ว นายรอฉันอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว คงจะไม่ได้กินดื่มอะไรดีๆ เลยสินะ?” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอแค่ได้ติดตามพี่ใหญ่ ผมหูหลงยินดีเป็นวัวเป็นม้า!” หูหลงกล่าวพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจัง
เย่เทียนเฉินพยักหน้า นำเทปบันทึกเสียงทั้งสามกล่องใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อ เนื้อหาภายในนี้ย่อมต้องรอให้กลับถึงบ้านก่อนค่อยฟัง ไม่รู้ว่าอู๋เสวี่ยเดินทางไปที่ตระกูลลั่วแล้วหรือยัง การตายของหลี่เถี่ยต้องทำให้ตระกูลฉินสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน ส่วนหลานชายทั้งสองของตระกูลลั่ว การตายของลั่วเทาและลั่วเหลย จะทำให้ทั่วทั้งจิงตูต้องสั่นสะเทือน
หากใช้คำพูดของเย่เทียนเฉินมากล่าวก็คือ พี่ชายไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัว แต่ในเมื่อมีคนอยากจะเล่นด้วย ถ้างั้นฉันก็ทำได้เพียงไปให้สุดทาง!
……………………………………………………………