เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 5
บทที่ 5 ปฏิเสธเกียรติยศทั้งหมด
Ink Stone_Fantasy
“พวกนายได้ยินกันไหม? เจ้าเด็กเย่เทียนเฉินฆ่าล้างพวกโจร ขนาดเจ้าแซนเบเกอร์รองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตก็ยังแพ้มัน”
“โม้ล่ะสิ? เจ้าเด็กนั่นไม่ใช่พวกเพลย์บอยเหรอ? วันๆไม่ทะเลาะวิวาทก็ขลุกอยู่กับผู้หญิง เป็นแค่ไอขยะคนหนึ่งเท่านั้นแหละ”
“ฉันคิดว่าต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ๆ เจ้าหมอนั่นเคยทำให้ตระกูลเย่โดนดูถูดเหยียดหยาม ทั่วทั้งจิงตูมีใครบ้างที่ไม่รู้ฉันว่าที่สำเร็จภารกิจในครั้งนี้ได้ก็เพราะอาศัยหานเจี๋ยซะมากกว่า”
ทั่วทั้งค่ายทหาร หลายคนอดไม่ได้ที่จะพูดคุยถกเถียงกัน ส่วนใหญ่ต่างรู้เรื่องตระกูลเย่กับตระกูลหลิ่ว ต่างก็เป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในจิงตู เย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ ทำให้ตระกูลหลิ่วโกรธมาก ต้องให้พ่อแม่มาเองถึงหน้าประตู ก้มหัวขอโทษตระกูลหลิ่วต่อหน้าตระกูลใหญ่มากมายในจิงตู ส่วนเย่เทียนเฉินก็คุกเข่าอยู่ข้างๆ เป็นการขายหน้าครั้งยิ่งใหญ่
เถี่ยฉุยเดินเข้ามาในเต็นท์ที่เย่เทียนเฉินนอนหลับอยู่ เห็นเขานั่งขัดสมาธิ ตาทั้งสองปิดสนิท มีเหงื่อเย็นๆไหลออกมาบริเวณหน้าผาก เถี่ยฉุยตกตะลึง เนื่องจากรู้สึกถึงพลังงานที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง รอบๆถูกพลังงานนั้นห่อหุ้มไว้อย่างหนาแน่น ดูเหมือนว่าศุนย์กลางจะอยู่ที่เย่เทียนเฉิน
“หัวหน้าเถี่ยฉุย มีอะไรเหรอครับ?” จู่ๆเย่เทียนเฉินก็ลืมตาขึ้น กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“อา นายพลชางเรียกให้นายไปพบ” เถี่ยฉุยรับรู้ได้ว่าพลังอันแปลกประหลาดนั้นได้สลายไปแล้ว
เย่เทียนเฉินมองเถี่ยฉุยสักครู่ จากนั้นจึงลงจากเตียง หาวขึ้นครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ขอโทศด้วยครับ ผมไม่มีความสนใจจะไปพบท่านผู้นำ ผมแค่อยากกลับบ้าน”
จริงๆเมื่อสักครู่นี้เย่เทียนเฉินกำลังสำรวจพลังพิเศษภายในร่าง เพิ่งจะมาเกิดใหม่ในร่างนี้ พลังพิเศษก็ลดจากระดับพระเจ้าเหลือเพียงระดับราชัน สามารถใช้ออกมาได้เพียงไม่ถึงหนึ่งส่วน ที่สำคัญกว่านั้นคือ แก่นพลังในสมองแปรปรวนติดๆดับๆ ทำให้เย่เทียนเฉินปวดหัวมาก
แต่เดิมเขาคิดว่าได้เกิดใหม่ในโลกนี้จะเสพสุขกับชีวิตอย่างสบายอกสบายใจ ไม่ต้องการความแข็งแกร่งมากมายอะไร แต่เมื่อได้สู้กับแซนเบเกอร์ทำให้เย่เทียนเฉินรู้ว่า ไม่ว่าจะโลกไหนต่างก็มีผู้แข็งแกร่ง เขาเชื่อว่าจะต้องมีคนที่เก่งกว่าแซนเบเกอร์ และจะต้องมีคนบางคนและเรื่องบางเรื่องที่จำเป็นต้องให้เขาปกป้องดูแล ดังนั้นพลังอันแข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนที่เถี่ยฉุยจะเข้ามา เย่เทียนเฉินลองรวบรวมพลังงานในธรรมชาติ พบว่ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่รวบรวมได้ ยังห่างจากความต้องการของเขาอีกไกล ครั้งเดียวที่แก่นพลังในสองมีปฏิกริยารุนแรงก็คือตอนที่สู้กับพวกโจร ดูแล้วมีเพียงการสู้รบที่จะทำให้พลังพิเศษตื่นขึ้นได้
“เย่เทียนเฉิน ดูเหมือนนายจะยีงไม่เข้าใจฐานะของตัวเอง นายเป็นทหาร ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งเรียกนายไปพบ นายที่เป็นทหารคนหนึ่ง การทำตามคำสั่งถือเป็นหน้าที่สูงสุด”
เถี่ยฉุยกล่าวอย่างดุดัน ในใจเกิดความโกรธขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าหมอนี่มันมองข้ามความหวังดีของผู้อื่น ชางหลางเป็นคนในคณะกรรมาธิการทหาร และเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบบูรพา ไม่ทราบว่ามีกี่คนที่ต้องการได้รับโอกาสเข้าพบชางหลาง แต่เจ้าเย่เทียนเฉิน ไม่คิดเลยว่าหมอนี่ไม่อยากพบชางหลาง และดูเหมือนจะมีท่าทีตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เหมือนกับไม่เต็มใจไปพบชางหลางอย่างไรอย่างนั้น
“หัวหน้าเถี่ยฉุย ผมไม่อยากพบนายพลอะไรนั่นจริงๆนะครับ ผมแค่อยากกลับบ้าน”
“ในเมื่อนายไม่เต็มใจ งั้นฉันมาหานายเอง!” เย่เทียนเฉินยังพูดไม่ทันจบ ชางหลางก็เดินเข้ามาในเต็นท์พร้อมกล่าวออกมา
“นายพลชาง!” เถี่ยฉุยรีบทำความเคารพชางหลาง เขาไม่คิดว่าชางหลางจะมาพบเย่เทียนเฉินด้วยตัวเอง เจ้าเด็กนี่ช่างหน้าใหญ่เสียจริง
“อืม เถี่ยฉุยนายออกไปก่อน ฉันอยากจะคุยกับเขาตามลำพัง” ชางหลางกล่าวยิ้มๆ
เถี่ยฉุยจ้องมองเย่เทียนเฉินอย่างดุดันสักพักจึงค่อยเดินออกไปจากเต็นท์ ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นสายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลางประเมินนายพลชางหลางตรงหน้า จากการประเมินของเขาตัดสินว่านี่เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง บนร่างมีความผันผวนของพลังอันแข็งแกร่งรุนแรง คงเป็นผู้ที่เคยฝึกพลังภายในของพรรควรยุทธโบราณมาก่อน
ชางหลางก็ประเมินเย่เทียนเฉินด้วยสายตา พบว่าเจ้าเด็กตระกูลเย่ที่ไม่ร่ำเรียนหนังสือคนนี้ ทำให้ผู้คนมองไม่ออกจริงๆ ยิ่งในตอนนี้ เย่เทียนเฉินมีท่าทีเหยาะแหยะ ทำให้ผู้คนยากที่จะรวมเขาเข้ากับคำว่าอัจฉิรยะ
“นายก็คือเย่เทียนเฉิน?” ชางหลางนั่งที่เก้าอี้ข้างๆพลางถาม
“ใช่ครับ ส่วนคุณก็คือนายพลชางหลาง?” เย่เทียนเฉินถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ
ชางหลางพยักหน้า กล่าวออกไปอย่างตรงประเด็นว่า “ได้ยินว่านายไม่ต้องการเกียรติยศ แค่อยากกลับบ้าน ฉันอยากรู้ว่าทำไม?”
“ไม่ทำไมหรอก ประการแรกผมก็ไม่ใช่ทหาร ประการที่สองผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคนๆหนึ่งก็คือ การได้อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข ผมไม่อยากมายุ่งยากหรือกังวลใจกับเรื่องพวกนี้ ขอให้นายพลชางอนุญาตด้วยครับ” ที่เย่เทียนเฉินกล่าวมานั้นเป็นความจริง ในโลกก่อนนั้นเขาเป็นเด็กกำพร้าไม่มีครอบครอบญาติพี่น้อง เกิดใหม่ในโลกนี้เขาก็อยากจะอยู่กับครอบครัว เขานั้นทราบว่าเมื่อก่อนเจ้าของร่างนี้สร้างความอัปยศและความลำบากให้กับคนในครอบครัว เขาต้องการชดเชยให้
“เรื่องนี้ฉันต้องพิจารณาดูก่อน นายรอฟังข่าวอยู่ที่นี่เถอะ”
ชางหลางหมุนกายเดินออกไปจากเต็นท์ เย่เทียนเฉินหาวออกมาครั้งหนึ่ง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงต่อไป การตื่นของพลังพิเศษต้องเป็นไปที่ละก้าว จะรีบร้อนไม่ได้
เช้าวันต่อมา เย่เทียนเฉินสะพายเป้ทหารใบหนึ่งเดินออกไปจากค่ายทหาร ชางหลางเห็นด้วยกับความคิดเขาแล้ว อีกทั้งเดิมทีเบื้องบนก็ให้ชางหลางจัดการเรื่องนี้ให้เงียบหายไป ยิ่งเป็นความลับได้เท่าไรยิ่งดี การสูญเสียทหารหน่วยรบพิเศษไปหกนายรวมถึงการรั่วไหลของข้อมูลบางอย่างในครั้งนี้ จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับ
สุดท้านเย่เทียนเฉินได้ลงนามในสัญญารักษาความลับ ห้ามทำให้เรื่อวนี้รั่วไหลออกไปแม้แต่ครึ่งคำ อีกทั้งก่อนที่เขาจะจากมา คำพูดประโยคนั้นของชางหลางก็ทำให้เย่เทียนเฉินต้องขบคิด
“ถ้าหากนายเป็นดาวที่เปล่งประกายจริงๆล่ะก็ จะอย่างไรก็ต้องส่องแสง ในโลกนี้ไม่ว่าจะที่ไหนต่างก็มีการต่อสู้ทั้งนั้น มีความยุ่งยากบางอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
เดินออกมาจากค่ายทหารที่ถูกปิดกั้นจากภายนอก เย่เทียนเฉินก็บิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบถูกผูกมัด การได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีเป็นสิ่งที่เขาต้องการที่สุด ในโลกก่อนมีแต่ต่อสู่ต่อสู้ต่อสู้อยู่ตลอด ทำให้เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อย เกิดใหม่ในโลกนี้เย่เทียนเฉินก็อยากจะเสพสุขกับชีวิตสักหน่อย แต่ความคิดนี้ของเขาจะสมปรารถนาหรือไม่?
“นายพลชาง ข้อมูลตรงส่วนนี้ของเย่เทียนเฉินยังไม่ได้กรอกครับ” เถี่ยฉุยถือเอกสารแผ่นหนึ่งเดินเข้ามา ส่งให้ชางหลางพลางกล่าวขึ้น
ชางหลางรับแฟ้มเอกสารมาดู พบว่าในเอกสารของเย่เทียนเฉินมีเว้นว่างอยู่ที่หนึ่ง หน้าช่องว่างนั้นมีคำว่า “ระดับการสู้รบ” เขียนไว้ ชางหลางคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเขียนคำว่า “ไม่ทราบ” ลงไป จากนั้นจึงกล่าวกับเถี่ยฉุยว่า “เอาของมูลของเขาส่งไปที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ จัดเป็นความลับระดับหนึ่ง”
ไม่ทราบระดับการสู้รบ นี่เป็นครั้งแรกที่ชางหลางประเมินลูกน้องของตนเช่นนี้ มีสถานะเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบบูรพา ชางหลางก็นับว่าผ่านการอ่านคนมานับไม่ถ้วน แต่กับเย่เทียนเฉิน เขารู้สึกมองไม่ออกจริงๆ ไม่ทราบว่าเจ้าหนุ่มนี่แกล้งทำเป็นคนไม่มีการศึกษา หรือจะบอกว่าศักยภาพที่แฝงในตัวอยู่ถูกระเบิดออกมา กลายเป็นทหารที่เก่งกาจคนหนึ่งที่ไม่ทราบว่ามีความแข็งแกร่งระดับไหน
หลังจากที่เย่เทียนเฉินออกมาจากค่ายทหารแล้วก็เดินทอดน่องอยู่บนถนนกว้าง ที่นี่เป็นค่ายทหาร เป็นสถานที่สำคัญของทหาร นอกจากรถทหารแล้วยานพาหนะของบุคคลภายนอกไม่สามารถเข้ามาได้ ดังนั้นหลังจากที่เย่เทียนเฉินเดินออกมาแล้วเพิ่งจะคิดได้ว่าควรจะให้ชางหลางจัดรถคันหนึ่งมาส่งตัวเอง มิฉะนั้นจะไปถึงสนามบินเมื่อไรก็ไม่รู้
“ไงสหาย ขอขึ้นรถไปด้วยสิ!” เย่เทียนเฉินเรียกรถฮัมวี่ของทหารคันหนึ่งให้หยุด กล่าวออกมาพลางหัวเราะฮี่ๆ
“หือ? ตอนนี้ในค่ายทหารกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ นายออกมาได้ไง?” ทหารที่ขับรถถามอย่างสงสัย
“ฮ่ะๆ ไม่ใช่ว่าถูกปลดมาเหรอ?” เย่เทียนเฉินหัวเราะเขินๆ แสดงเป้ทหารที่ตนสะพายอยู่เพื่อเป็นการบอกใบ้
ใครจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินเพิ่งจะกล่าวจบ รถฮัมวี่คันนั้นก็ขับจากไป เขารู้สึกได้ถึงสายตาดูถูกของนายทหารที่ขับรถอยู่อย่างชัดเจน ทหารที่ถูกกองทัพขับไล่ เกรงว่าไปที่ไหนก็ต้องเจอกับการดูถูก แต่หากว่าไม่ใช้เหตุผลนี้เย่เทียนเฉินก็คงไม่ได้ออกจากกองทัพง่ายๆ ในเรื่องที่จะส่งผลต่อเกียรติ์ของเขาอย่างรุนแรงนั้น ชางหลางก็ได้อธิบายให้เย่เทียนเฉินเข้าใจชัดเจนแล้ว เย่เทียนเฉินที่เดิมทีไม่สนใจเรื่องเกียรติยศก็รีบตอบตกลงทันทีโดยไม่คิดอะไรมาก
“แม่งเอ่ย!” เย่เทียนเฉินสบถออกมา เริ่มออกเดินไปข้างหน้าต่อ
บรื้นบรื้น!
มีรถจักยานยนตร์ที่ใช้ในกองทพขับมา เย่เทียนเฉินไม่คิดว่าจะเรียกให้หยุดอีก ทหารคนหนึ่งที่ถูดขับไล่ออกจากกองทัพ เกรงว่าคงไม่เป็นที่ต้อนรับของคนอื่น อีกทั้งเขายังคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับตนเองสักนิด เขาไม่ใช่เย่เทียนเฉินคนเดิมตั้งนานแล้ว ถึงแม้เขาจะได้รับนิสัยของเย่เทียนเฉินคนก่อนทั้งหมดมา แต่ก็ไม่ได้แสดงออก เย่เทียนเฉินคนก่อนชอบอะไร เขาก็ชอบอย่างนั้น
“ขึ้นรถมาสิ อยากเดินซะจนไม่ทักทายฉันเลยนะ ไม่เสียมารยาทไปหน่อยเหรอ?” ตอนนี้เอง รถมอเตอร์ไซด์ทหารก็หยุดลงข้างๆเย่เทียนเฉิน หานเจี๋ยถอดหมวกกันน็อคพลางกล่าวยิ้มๆ
“พี่หาน พี่มาได้ไง อาการบาดเจ็บของพี่ไม่เป็นไรแล้วเหรอ?” เย่เทียนเฉินมีความประทับใจต่อผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ตั้งแต่ได้มาเป็นทหารก็คอยดูแลตัวเองมาตลอด และดอกไม้ของกองทัพคนนี้ก็เป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่ คู่ควรที่จะเลื่อมใส
“แค่บาดเจ็บภายนอกเล็กน้อย ดีขึ้นตั้งนานแล้ว ขึ้นรถมา ฉันจะไปส่งนายที่สนามบินเอง”
เย่เทียนเฉินพยักหน้าพลางนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ทหาร ทักษะการขับรถของหานเจี๋ยไม่เลวเลย บิดสุดแรงม้า ตลอดทางมีลมพัดปะทะเข้ามา ทำให้รู้สึกเย็นสบาย
“นายไม่อยากเป็นทหารแล้วจริงๆเหรอ? จะละทิ้งเกียรติยศยิ่งใหญ่ขนาดนี้เหรอ?” ตอนที่หานเจี๋ยได้ยินว่าเย่เทียนเฉินต้องการจากไป เกียรติยศใดๆล้วนไม่ต้องการ ต้องการกลับบ้านเพียงเท่านั้น ในใจก็รุ้สึกตกใจและสงสัย ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อคิดว่าในอนาคตจะไม่ได้เจอผู้ชายคนนี้อีก เกิดรู้สึกเสียใจแปลกๆ
“เบื่อแล้วหนะ ไม่มีความหมายอะไรหรอก ผมแค่อยากใช้ชีวิตธรรมดาๆ ใช้ชีวิตให้มีความสุขถึงจะสำคัญที่สุด” เย่เทียนเฉินกล่าวยิ้มๆ
“นายคิดง่ายไปแล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรคู่ควรให้นายอาลัยอาวรณ์เลยเหรอ?” หานเจี๋ยที่รู้สึกโมโหเล็กน้อยถามหยั่งเชิงออกไป
………………………