เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 60
บทที่ 60 สั่นสะเทือนจิงตู
Ink Stone_Fantasy
เย่เทียนเฉินนอนกางแขนกางขาอยู่บนโซฟา เมื่อคืนท้องเสียตลอดคืน วิ่งเข้าห้องน้ำสิบกว่ารอบ ตอนนี้ถึงรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย หากไม่มีพลังพิเศษระดับจอมราชัน เย่เทียนเฉินก็คงรับไม่ไหว สองตาเขียวคล้ำเล็กน้อย แทบอดไม่ได้ที่จะไล่ยัยคุณหนูจอมเกเรฉีหรูเสวี่ยออกไปจากบ้านในทันที
แต่ทว่า ฉีหรูเสวี่ยอยู่ด้านนอกตรงประตู เคาะประตูพูดไปกลั้นหัวเราะไปพลาง เธอสามารถจิตนาการได้เลยว่า เมื่อคืนเจ้าคนชั่วเย่เทียนเฉินถูกแผนการของตนเองเล่นงาน หลังากกินผลไม้ในจานที่ใส่ผงสลอดไว้ลงไปแล้วจะมีปฏกริยาเช่นไร ดังนั้นเช้าตรู่เธอจึงเสร้งทำมาเคาะประตู ตะโกนเรียนกเย่เทียนเฉินไปกินข้าว ความจรงคือมาดูเรื่องตลกของเย่เทียนเฉิน
“เฮ้อ เมื่อคืนทำผลไม้จานหนึ่งอย่างยากลำบาก วางไว้ในตู้เย็น ตอนเช้าตื่นมาดูก็ถูกคนกินไปหมดแล้ว ขนาดจานก็ไม่เห็น…. คิดๆ ดูแล้วเมื่อคืนได้ยินเสียงฝีเท้าไปๆ มาๆ ตรงทางเดิน หรือว่าจะมีคนท้องเสียกันนะ?” มุมปากของฉีหรูเสวี่ยปรากฏรอยยิ้วชั่วร้ายอันเซ็กซี่ จงใจพูดคำยั่วโมโหเย่เทียนเฉินเหล่านี้
“ฉีหรูเสวี่ย ฉันไม่จบกับเธอแน่…”
ท่ามกลางเสียงคำรามของเย่เทียนเฉิน ฉีหรูเสวี่ยบิดก้นน้อยๆ อันมีเสน่ห์ หัวเราะอย่างลำพองใจเดินลงไปชั้นสอง ตอนนี้อารมณ์ของฉีหรูเสวี่ยดีมากๆ ตั้งแต่ได้พบเจ้าคนชั่วเย่เทียนเฉินเป็นต้นมา คนๆ นี้ก็แสดงออกถึงการเมินเฉยต่อตนเอง จะอย่างไรตนก็เป็นสาวงามคนหนึ่ง มีผู้ชายตั้งเท่าไหร่ที่ต่อแถวตามจีบเธอ เย่เทียนเฉินกล้าเมินใส่เธอ ช่างทำลายจิตใจอันเคารพในตนเองของเธอเหลือเกิน ดังนั้นฉีหรูเสวี่ยจึงคิดวิธีการว่าจะทำโทษเย่เทียนเฉินอย่างไรมาตลอด วันนี้ในที่สุดก็ทำเร็จ เธอจะไม่เบิกบานใจได้อย่างไร
นอนไปตลอดเวลาเช้าเต็มๆ พลังกายของเย่เทียนเฉินฟื้นคืนกลับมาเล็กน้อย จนกระทั่งตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องนอนก็เป็นเวลาประมาณเที่ยงแล้ว หลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ เย่เฉี่ยนเหวินน้องสาว และยังมีคนที่ทำให้เขาต้องท้องเสียตลอดคืนฉีหรูเสวี่ยคนนั้น ผู้หญิงทั้งสามคนไม่อยู่ คิดดูแล้วตอนเช้าตอนที่หลัวเยี่ยนมาเคาะประตูบอกว่าออกไปช็อปปิ้งกับเย่เฉี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ย กลางคืนถึงจะกลับมาถึงบ้าน ให้เย่เทียนเฉินหาข้าวหลางวันกินเอง
ท้องไปเสียหนึ่งวันเต็มๆ เย่เทียนเฉินจึงรู้สึกหิวจริงๆ สะบัดมือเท้าออกกำลังเล็กน้อย ฟื้นฟูกำลังกายมาบ้างแล้ว จึงเริ่มหาของกิน ในครัวไม่มีอะไรเลย มีแต่เส้นหมี่ฮ่องกง เย่เทียนเฉินเองก็ขี้เกียจลงมือทำด้วยตัวเอง จึงเปิดตู้เย็นดู ตอนที่เขาเห็นว่าในตู้เย็นมีซุปไส้หมูอยู่ ก็ดีใจมาก ของสิ่งนี้เป็นอาหารรสเลิศ ในโลกเดิมเขาไม่มีปัญญากิน
เพิ่งจะเตรียมยกซุปไส้หมูออกมา จากนั้นหุงข้าวสักหน่อยก็สามารถกินข้าวได้อย่างเอร็ดอร่อยมื้อหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็สะดุ้งโหยง ตอนที่แม่ไปได้พูดตรงด้านนอกประตูว่า ให้ตนเองหาอะไรกิน ไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้ตนเอง ตอนนี้ในตู้เย็นมีซุปไว้หมูถ้วยใหญ่อยู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่าเป็นฉีหรูเสวี่ยยัยผู้หญิงป่าเถื่อน ต้องการใช้แผนการเดิมทำร้ายตัวเอง?
“เฮอะ ฉันไม่ตกพลุมพลางเธออีกเด็ดขาด ฉีหรูเสวี่ย หากพี่ไม่เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงล่ะก็ จะต้องแก้แค้นแน่นอน…”
เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างโหดเหี้ยมพลางปิดประตูตู้เย็น หลังจากที่สวมเสื้อนอกแล้วก็เดินออกไปจากคฤหาสน์ เขาเตรียมจะไปเป้ยเฟิงเซวียนสั่งอาหารมาสักหน่อย ดื่มเหล้าเล็กน้อย เสพสุขกับแสงแดดอันเจิดจ้าข้างนอกสักหน่อย
ตอนที่เข้าไปในเป้ยเฟิงเซวียน เย่เทียนเฉินพบว่าข้างในมีเหล่าคุณชายมารวมตัวกันไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ละคนต่างก็พูดคุยเรื่องซุบซิบ คัยกันอย่างคึกคักเป็นอย่างมาก เขาหาที่นั่งตามใจโดยที่ครั้งนี้ไม่ได้หลบซ่อน อยู่ที่บริเวณโถงใหญ่ สั่งกับข้าวมาสองจาน กับข้าวสวยหนึ่งถ้วยกินเข้าไป
“พวกนายได้ยินไหม? เมื่อคืนลั่วซงเฉิงพาทหารไปปิดล้อมบ้านตระกูลเย่”
“ใช่ๆ ได้ยินว่าเป็นเพราะเย่เทียนเฉินฆ่าหลานชายทั้งสองของเขา ลั่วซงเฉิงไปแก้แค้น อยากจะฆ่าคนที่บ้านตระกูลเย่”
“สุดท้ายเป็นยังไง?”
“ได้ยินว่าเย่เทียนเฉินปรากฏตัวออกมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลั่วซงเฉิงอยู่ดีๆ ก็ถอนตัวออกไป”
“ไม่ใช่มั้ง ลั่วซงเฉิงที่ทำตัวเผด็จการมาตลอด ถึงกับไม่แก้แค้นให้หลานชายทั้งสองของตนเองเชียวเหรอ?”
“แม่งเอ้ย ตกลงมันเกิดอะไรกับเย่เทียนเฉินคนนี้กันแน่? เมื่อก่อนเป็นเศษสวะไม่เอาไหน หลังจากปลดประจำการกลับมา เหมือนกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทุกสิ่งที่ทำช่างโอหัง ช่างทำให้ผู้คนต้องแปลกใจเหลือเกิน!”
“ที่สำคัญก็คือ ช่วงนี้จิงตูมีปัญหาซุบซิบที่ใหญ่ที่สุดในจิงตู ต่างก็โคจรอยู่รอบตัวเย่เทียนเฉิน พูดได้ว่าคนๆ นี้ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ก็ทำให้จิงตูสั่นสะเทือน ฉันอยากจะเห็นคนๆ นี้จริงๆ อยากจะเห็นว่าเขาเป็นคนยังไง…”
ได้ยินเหล่าคุณชายเสเพลพูดคุยกันแบบฉันประโยคหนึ่งนายประโยคหนึ่งขึ้นมา มุมปากของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นสายหนึ่ง สนใจเพียงก้มหน้ากินข้าวอยู่ข้างๆ ที่ทำให้เขาคิดไม่คิดก็คือ เหล่าคุณชายที่รวมตัวกันอยู่ในเป้ยเฟิงเซวียนแห่งนี้ ข่าวสารช่างไวจริงๆ
“ชิ พวกนายจะไปรู้อะไรมากมาย มีเพรยงข่าวของนายน้อยหลูเร็วที่สุดและมีประโยชน์ที่สุดแล้ว” ชายตัวผอมร่างเตี้ยคนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า
ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินเงยหน้าขึ้นมองฝั่งตรงข้าม เห็นหลูวั่งนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา ก็มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ หลู่วั่งคนๆ นี้ตอนที่อยู่ที่เทียนซ่างเหรินเจียน ตอนที่ตนเองอัดลั่วเหลยนั้น เขายืนอยู่ข้าๆง ตั้งแต่ต้นจนจบ คอยสังเกตโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำเดียว ความฉลาดเฉลียวของคนๆ นี้ลึกล้ำกว่าลั่วเหลยมากนัก
“พี่หลู ได้ยินว่าวันนั้นตอนที่เย่เทียนเฉินไปอัดลั่วเหลย พี่ก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย เล่าให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม?” มีผู้สอดรู้กล่าวกับหลูวั่งยิ้มๆ
หลูวั่งมองคนเหล่านี้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฉันบอกพวกนายได้แค่ว่า เย่เทียนเฉิน เศษสวะของจิงตูคนนี้ปืนป่ายขึ้นมาแล้ว อย่าได้ไปหาเรื่องเขาง่ายๆ”
“ผมว่าคำพูดนี้ของพี่หลูจะเกินไปหน่อยรึเปล่า? เย่เทียนเฉินต่อให้เจ๋งกว่านี้ก็เถอะ จะเป็นคู่ต่อสู้ของตระกูลฉินได้หรือ? พี่ไม่ได้พูดถึงตระกูลฉินกับตระกูลลั่วพร้อมๆ กันใช่ไหม?” มีคนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลูวั่งพูดโต้แย้งออกมา
ความจริงแล้วตอนที่ได้ยินคำพูดนี้ของหลูวั่ง เหล่าคุณชายเสเพลที่อยู่ที่นั่นต่างก็มีท่าทางไม่เชื่อถือ เนื่องจากพวกเขามิอาจรับได้ว่า คนๆ หนึ่งที่เคยเป็น เศษสวะ คนไม่เอาไหน ตัวตลก จะสามารถปืนป่ายขึ้นมาได้ถึงจุดที่เหนือกว่าพวกเขา แล้วหลังจากนี้พวกเขาจะยังหัวเราะเยาะใคร? จะรังแกใคร?
“ตระกูลลั่ว? ลั่วซงเฉิงปิดล้อมบ้านตระกูลเย่ด้วยท่าทีโมโหดุดัน อยากจะแก้แค้น สุดท้ายวิ่งคอตกหลับไป นี่ก็อธิบายปัญหาได้แล้ว ส่วนตระกูลฉิน เย่เทียนเฉินจะเป็นคู่ต่อสู้ของตระกูลฉินได้ไหมฉันไม่รู้ ฉันเพียงแต่ได้ยนมาว่าเมื่อคืน เย่เทียนเฉินต่อสู้กับเถี่ยฉุย และไม่ได้แพ้…” พ่อของหลูวั่งเป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งจิงตู แม้ว่าสำหรับจิงตูจะถือว่าตำแหน่งไม่สูง แต่ว่าเป็นฝ่ายรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ข่าวกรองมาถึงมือเป็นคนแรกๆ มิฉะนั้นจะสามารถรักษาความสงบสุขได้อย่างไร
“อะไรนะ? สู้กับเถี่ยฉุยและไม่ได้แพ้?”
“จะเป็นไปได้ไง เถี่ยฉุยเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า เป็นผู้รับผิดชอบกงอทหารองครักษ์ของจิงตู เย่เทียนเฉินสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้?”
“เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ความสามารถของเถี่ยฉุยไล่ตามสามราชันนักรบของจีนไปติดๆ ทั่วทั้งจิงตูหาคู่ต่อสู้ไม่ได้ นายต้องโม้แน่ๆ!”
คำพูดนี้ของหลูวั่งออกจากปาก ก็ยิ่งทำให้ผู้คนไม่พอใจ และยิ่งทำให้ไม่เชื่อถือ เถี่ยฉุยเป็นผู้รับผิดชอบกองทหารองครักษ์ของจิงตู และเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรฟ้า พลังการต่อสู้ไม่อาจไม่แข็งแกร่ง เย่เทียนเฉินเพิ่งจะอายุยี่สิบปีเท่านั้น และยังเคยเป็นเศษสวะไม่เอาไหน ถึงกับสามารถต่อสู้กับเถี่ยฉุยได้ ช่างทำให้ผู้คนมิอาจยอมรับและเชื่อถือได้เลยจริงๆ
เย่เทียนเฉินนั่งกินข้าวอยู่ด้านข้าง คำพูดของหลูวั่งเขาเองก็ได้ยินแล้ว เขารู้ว่าทำไมคุณชายพวกนี้ไม่เชื่อว่าตนเอสามารถสู้กับเถี่ยฉุยได้ ฝีมือของเถี่ยฉุยแข็งแกร่งมากจริงๆ ยังเหนื่อกว่าอู๋เสวี่ยนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งจจิงตูเสียอีก หากไม่ใช่ว่าขอบเขตพลังพิเศษของตนเองขึ้นไปถึงระดับจอมราชันแล้ว ตอนที่เถี่ยฉุยใช้อาวุธลับออกมา ต้องกระตุ้นพลังพิเศษระดับจอมราชันในร่างกายทั้งหมดออกมา ถึงจะสามารถกันไว้ได้ ปะทะจนเถี่ยฉุยถอยหลังไป
สุดท้ายแล้วจากการประเมินของเย่เทียนเฉิน ตนเองสามารถสู้ชนะเถี่ยฉุยได้ แต่ต้องใช่พลังพิเศษระดับจอมราชัน อีกทั้งยังจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากมากอีกด้วย โอกาสที่จะเอาชนะเถี่ยฉุยได้ก็มีเพียงห้าสิบเปอร์เซ็นเท่านั้น ทำให้เย่เทียนเฉินอยากลองดูหน่วยว่า ฝีมือของสามราชันนักรบของจีนจะแข็งแกร่งขนาดไหน ชางหลาง เหยียนหลง และบุคคลลึกลับอีกคน สามคนนี้ถูกยกย่องให้เป็นสามราชันนักรบของจีน ก็นับว่าเป็นยอดฝีมือสูงสุดของจันแล้วใช่หรือไม่ เกรงว่าคงประมาณนี้แหละมั้ง? ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกเฝ้ารอจริงๆ เย่เทียนเฉินเองก็เฝ้ารอที่จะได้สู้กับพวกเขาสักตั้ง
“เฮอะ หลูวั่ง ถ้าแกกล้าพูดมั่วๆ กับฉันอีกประโยคเดียวล่ะก็ เชื่อไหมว่าบิดาจะหักขาสุนัขของแกซะ”
ตอนนี้เอง เสียงที่ทั่งหยิ่งทั้งยะโสเป็นอย่างมากเสียงหนึ่งดังขึ้น คนทั้งหมดต่างก็ชะงักไปชั่วครู่ ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านบน ทุกคนจึงมองไป พวกเขาต่างก็อยากรู้ว่าเป็นใครที่กล้าพูดคำพูดโอหังเช่นนี้ออกมาจากปาก กล่าวด่าหลูวั่งต่อหน้าผู้คนมากมาย
หลูวั่งเป็นลูกชายของหลูเซิ่งต๋าผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งจิงตู แม้ว่าในจิงตูที่เป็นสถานที่ที่มีเสือหมอบมังกรซ่อนและมีอำนาจใหญ่ตระกูลใหญ่มากมาย ตระกูลหลูไม่นับว่าเป็นอะไรได้ แต่ว่าหลูเซิ่งต๋าสามารถเป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะได้ ก็ย่อมไม่ใช่สัตว์กินพืช คนที่กล้าพูดโอหังว่าจะหักขาของหลูวั่ง เกรงว่าจะมีเพียงไม่กี่คน
“ใครที่แม่งเบื่อชีวิตแล้ววะ ไสหัวออกมาหาบิดาซะ…” หลูวั่งโกรธจนหน้าเขียว ต่อให้ความเฉลียวฉลาดของเขาลึกล้ำยิ่งกว่านี้ ความสามารถในการอดทนดีกว่านี้ ก็ไม่อาจทนการถูกคนด่าต่อหน้าผู้คนมากมายได้
ชายร่างผอมคนหนึ่ง สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตร สวมชุดแบรนด์เนมทั้งตัว สวมนาฬิกาโรเล็กซ์ ที่ปากคาบซิการ์อยู่มวนหนึ่ง ข้างหลังมีบอร์ดี้การ์ดร่างใหญ่ตามมาสองคน แค่มองก็รู้ว่ามีฐานะสูงกว่าเหล่าคุณชายที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่น้อย
หลูวั่งที่เดิมทีโกรธเป็นอย่างมากนั้น เมื่อเห็นชายคนนี้ก็ตะลึงจนตาค้างไปในทันที กล่าวอย่างวางตัวไม่ถูกว่า “นะ…นายน้อยฉิน ทำไมเป็นคูรไปได้ ขอโทษครับ ผมไม่ทราบว่าเป็นคุณ ก็เลย…”
ใครก็คิดไม่ถึงว่า คนที่มาที่เป้ยเฟิงเซวียนกะทันหัน จะเป็นฉินเหิง ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในจิงตู ผู้อาวุโสตระกูลฉินยังคงกุมอำนาจอยู่จนถึงทุกวันนี้ นี่ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรง ผู้กุมอำนาจและผู้ลงจากตำแหน่งนั้นมีฐานะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว มิฉะนั้นตระกูลเย่คงไม่ตกไปเป็นตระกูลชั่นสามหลังจากที่ผู้อาวุโสลงจากตำแหน่งหรอก
ฉินเหิงยิ้มเย็น เดินไปตรงหน้าหลูวั่ง ตบหน้าของหลูวั่งครั้งหนึ่ง กล่าวด่าอย่างโอหังโหดเหี้ยมว่า “แม่มันเถอะ ใครไม่รู้บ้างว่าทั้งจิงตูถ้าเห็นฉันฉินเหิงต้องหลีกทางให้ แกกล้าวิจารณ์ตระกูลเย่ของฉัน อยู่มานานจนเบื่อชีวิตแล้วรึไง?”
………………………………………………………..