เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 9
บทที่ 10 ปากดีเหรอ ตบปาก!
Ink Stone_Fantasy
หนังสือพิมพ์ซุบซิบที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงได้ตีพิมพ์ข่าวสารที่ใส่ร้ายเย่เทียนเฉิน
ตอนที่เย่เทียนเฉินเห็นเนื้อหานข่าวก็รู้ว่ามีคนต้องการใส่ร้ายตนเอง สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกสงสัยก็คือ ใครกันแน่ที่ต้องการใส่ร้ายเขา แล้วทำไมจึงต้องทำแบบนี้
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ตอนที่ตนเองไปเป็นทหารกระทั่งกลับมาบ้าน ก็ยังไม่ได้ผิดใจกับใคร หรือตระกูลฉินจะเป็นคนทำอีกแล้ว?
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้มาก ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นสองในเมืองหลวง ตระกูลฉีต้องการถอนหมั้นก็มีสาเหตุมาจากตระกูลฉิน อีกทั้งเมื่อวานตอนกลางคืน ตระกูลฉินก็ได้ส่งนักฆ่ามาสองคนเพื่อลักพาตัวมารดาและน้องสาวของเขา เพราะต้องการแข่งขันชิงตำแหน่งทางการเมืองกับเย่หงอย่างไม่เป็นธรรม
ขนาดเรื่องเช่นนี้ยังทำออกมาได้ หากตระกูลฉินหาคนมาปล่อยข่าวเช่นนี้เพื่อใส่ร้ายเขาก็ใช่ว่าจะแปลก
เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากบ้าน ระหว่างที่เดินก็หยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากอก เป็นบุหรี่ธรรมดาไม่ใช่บุหรี่ชั้นสูง แค่ยี่ห้อหงเหอก็เท่านั้น หลังจากจุดไฟแล้วก็สูบเข้าไปอย่างไม่สนใจใคร
ไม่ทันรู้ตัวก็เดินมาถึงทางแยกทางหนึ่ง เขตพื้นที่บริเวณนี้มีขนาดใหญ่มากในเมืองหลวง เป็นเขตที่พักอาศัยที่มีชื่อเสียง ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นบุคคลมีฐานะสูง แต่ในเขตที่พักอาศัยเล็กๆ มีร้านน้ำชาร้านหนึ่งชื่อเป้ยเฟิงเซวียน ปกติตอนที่เหล่าลูกคุณหนูเสเพลทั้งหลายที่อยู่ในเขตเล็กๆ นี้ไม่มีอะไรทำ ก็จะเลือกไปที่นั่นเพื่อคุยโวโอ้อวดกันและหาสิ่งเร้าใจทำ
เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในร้านเป้ยเฟินเซวียน พนักงานเสิร์ฟหญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งก็ออกมาต้อนรับพูดกับเย่เทียนเฉินด้วยรอยยิ้มว่า
“ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายมากี่ท่านคะ?”
“คนเดียวครับ ขอที่ที่สามารถได้ยินคนคุยโวได้นะครับ!”
เย่เทียนเฉินควักธนบัตรออกมาปึกหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันหยวน ยื่นให้เป็นทิปแก่พนักงานเสิร์ฟสาวสวยคนนั้น
พนักงานเสิร์ฟสาวสวยรับทิปมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูสดใสมากขึ้น เวลาทำงานหากได้พบกับแขกที่ใจกว้างเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ไม่ค่อยมีคนให้ทิปเยอะถึงขนาดนี้บ่อยนัก หากยังทำหน้าอมทุกข์อีกก็ไม่รู้ความแล้ว
ตอนที่เย่เทียนเฉินนั่งลงมองสภาพแวดล้อมรอบๆ ก็รู้สึกว่าทิปหนึ่งพันหยวนไม่เสียเปล่าจริงๆ
การนั่งอยู่ที่ชั้นสองของร้านเป้ยเฟิงเซวียน มีม่านเสื่อกั้นอยู่ สามารถได้ยินเสียงสนทนากันในห้องรับแขกได้อย่างชัดเจน
“พวกนายได้ข่าวกันไหม? ตระกูลฉีไปขอถอนหมั้นกับตระกูลเย่ถึงบ้านเลย! ”
“รู้ตั้งนานแล้ว เจ้าขยะตระกูลเย่นั่นไม่ใช่ว่าถูกกองทัพไล่กลับมาหรอกเหรอ?”
“ถูกกองทัพไล่ออก? เป็นไปไม่ได้น่า?”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เช้าวันนี้เหรอ หมอนั่นเข้าร่วมการสู้รบ ไปเจอกับพวกโจร เลยยอมขายเพื่อนของตัวเองเพื่อจะได้มีชีวิตรอดต่อไป แล้วยังไปคุกเข่าร้องขอชีวิตกับพวกโจรอีก ถึงเก็บชีวิตสุนัขของมันไว้ได้!”
ชั้นสองของร้านเป้ยเฟิงเซวียนมีพวกลูกผู้ลาภมากดีมารวมตัวกัน พวกเขาเหล่านี้วันๆ นั่งงอมืองอเท้าไม่ทำอะไร นอกจากหาเรื่องตื่นเต้นเร้าใจ ขลุกอยู่กับผู้หญิง ก็เอาแต่คุยเรื่องซุบซิบพวกนี้
เย่เทียนเฉินได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามีโทสะแต่อย่างใด เพียงแค่จิบชาไปเงียบๆ เขามาที่นี่ก็เพราะอยากจะมาฟังดูสักหน่อยว่าจะมีเงื่อนงำอะไรหรือไม่ เพื่อหาคนที่ใส่ร้ายตนเอง
“เจ้าหมอนี่จะอย่างไรก็เป็นลูกหลานตระกูลเย่ ทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ น่าขายหน้าที่สุด!”
“ไม่มีอะไรให้ขายหน้าแล้วล่ะ ยังไงมันก็ก็ทำเรื่องที่น่าขายหน้าที่สุดไปแล้ว แอบดูสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอาบน้ำ พ่อแม่ต้องไปขอโทษตระกูลหลิ่วด้วยตัวเอง ตัวเองคุกเข่าอยู่ข้างๆ ถูกตระกูลฉีไปขอถอนหมั้นถึงหน้าประตู ตอนนี้ยังขายพวกพ้องคุกเข่าขอชีวิตอีก ตระกูลเย่คงรู้สึกสุดจะทนจริงๆ”
“เหอะ ตระกูลเย่นับเป็นอะไรได้ พวกมันตกต่ำไปตั้งนานแล้ว!”
ตอนนี้เองมีวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งสวมสูทแบรนด์เนม มีอายุราวๆ ยี่สิบปี ร่างกายผอมกะหร่อง มุมปากมีรอยยิ้มดูถูก เดินขึ้นมาบนชั้นสอง
เย่เทียนเฉินมองวัยรุ่นคนนี้ครู่หนึ่งพลางขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จักวัยรุ่นคนนี้ ที่แปลกก็คือ ลูกผู้ลาภมากดีคนอื่นๆ ต่างก็คุยกันแต่เรื่องซุบซิบ ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร
แต่คนหนุ่มผู้นี้พออ้าปากพูดก็ใช้น้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม คล้ายกับมีความแค้นกับเย่เทียนเฉินอย่างลึกล้ำก็มิปาน
“โอ นึกว่าใคร ที่แท้ก็คุณชายสองแห่งตระกูลลั่วนี่เอง ลมอะไรพัดนายมาถึงนี่ล่ะ?” วัยรุ่นคนหนึ่งลุกขึ้นยืนพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลั่วเทา คุณชายสองแห่งตระกูลลั่ว
ตระกูลลั่วถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง เป็นตระกูลที่พยายามเข้าหาตระกูลชั้นหนึ่ง ที่บอกแบบนี้ก็เป็นเพราะว่านอกจากผู้อาสุโสลั่วที่เป็นคณะกรรมาธิการทหารแล้ว ลูกหลานตระกูลลั่วคนอื่นต่างก็ไม่ได้รับราชการ บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีความพยายามก็เป็นได้
“ฉันมาเพื่อดูเรื่องตลกของตระกูลเย่โดยเฉพาะ กล้ามาแย่งผู้หญิงกับพี่ชายฉัน เจ้าเย่เทียนเฉินคนนี้คงจะเบื่อชีวิตเต็มทีแล้ว!”
ลั่วเทานั่งบนโซฟาหัวเราะออกมาชุดใหญ่อย่างไม่เกรงใจ
คนอื่นๆเห็นลั่วเทาจองหองขนาดนี้ต่างก็หัวเราะพลางส่ายหัว
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าคุณชายสองแห่งตระกูลลั่วคนนี้เป็นพวกสมองหมู อาศัยอำนาจอิทธิพลของตระกูลทำตัวเกะกะระรานไปทั่ว แต่กลับไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนในเมืองหลวง
เหล่าลูกผู้ลาภมากดีคนอื่นที่อยู่ที่นี่แม้ว่าจะหยิ่งผยอง แต่ก็ไม่ได้ได้แสดงออกชัดเจนขนาดนั้น เพราะพวกเขาเข้าใจดีว่าในเมืองหลวงอะไรก็เกิดขึ้นได้ มีทั้งตระกูลใหญ่และอำนาจใหญ่บางส่วนซ่อนอยู่ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถจะรู้ได้ หากต้องการจัดการใครบางคน ไปจัดการลับๆ ในที่มืดก็พอแล้ว ไม่ต้องมาทำในที่แจ้ง
“เหอะๆ เย่เทียนเฉินแย่งผู้หญิงกับพี่ชายนาย ข่าวนี่มาจากไหนกันเหรอ?”
มีผู้หวังดีคนหนึ่งจงใจถามพลางหัวเราะ
ลั่วเทามองคนบนที่นั่ง จากนั้นก็ดื่มชาไปอึกหนึ่งแล้วบ้วนลงพื้น ก่อนจะเปิดปากพูดว่า
“พี่ชายของฉันตามจีบสาวงามแห่งทหารหน่วยรบพิเศษ หานเจี๋ย อยู่ดีๆ หมอนี่ก็กล้าแบกผู้หญิงของพี่ชายฉันรอดกลับมา แม่งรนหาที่ตายชัดๆ พวกเราตระกูลลั่วไม่ได้ลงมือกับมันถึงตายก็ถือว่าเกรงใจมากแล้ว แค่การตีพิมพ์เรื่องจริงในหนังสือพิมพ์ นับว่าเป็นคำเตือนเล็กๆ!”
เพียงชั่วเวลาไม่นานเรื่องราวก็กระจ่างชัด ที่แท้คุณชายใหญ่แห่งตระกูลลั่วไม่พอใจที่เย่เทียนเฉินใกล้ชิดกับหานเจี๋ย ได้ยินมาว่าหานเจี๋ยยังเอาตัวบังกระสุนให้เย่เทียนเฉิน ในใจก็รู้สึกอดรนทนไม่ไหว จึงจ่ายเงินให้ตีพิมพ์บทความความใส่ร้ายเย่เทียนเฉิน ต้องการให้เย่เทียนเฉินเสื่อมเสีย และเงยหน้าไม่ขึ้นอีก
“เด็กน้อยเบาเสียงลงหน่อย ถ้าเย่เทียนเฉินรู้เข้า เดี๋ยวเป็นเรื่องกันพอดี” มีคนกล่าวเตือนด้วยความหวังดี
“งั้นเหรอ? ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะมีเรื่องอะไร? ตระกูลเย่ตกต่ำมานานแล้ว ขอเพียงตระกูลลั่วของฉันกระดิกนิ้วก็สามารถทำให้ตระกูลเย่ฟื้นตัวไม่ได้อีกตลอดกาลแล้ว ส่วนเจ้าเศษสวะเย่เทียนเฉิน ไม่ว่าจะตัวต่อตัวหรือหมาหมู่ พี่ชายฉันใช้แค่นิ้วเดียวก็ทำลายมันได้แล้ว!”
ลั่วเทายิ่งพูดก็ยิ่งเสียงดัง ยิ่งพูดก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน นี่เป็นการแสดงถึงความรังเกียจ และการไม่เห็นตระกูลเย่ในสายที่อยู่ในใจออกมา
“ใช่แล้วล่ะ แม้ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นทหารหน่วยรบพิเศษ แต่ฝีมือสู้พี่ชายนายไม่ได้แน่นอน พี่ชายนายเป็นถึงสมาชิกของกองกำลังเหยี่ยวนักล่า เป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลลั่วอย่างแท้จริง!” มีคนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
พอฟังถึงตรงนี้ มุมปากของเย่เทียนเฉินก็ปรากฏรอยยิ้ม มิน่าล่ะคนของตระกูลลั่วถึงได้หยิ่งผยองขนาดนี้ ที่แท้ข้อแรกคือต้องการรังแกตระกูลเย่ที่ไม่มีผู้มีอำนาจใหญ่โต ข้อสองคือคุณชายใหญ่ตระกูลลั่วเป็นสมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่า ควรค่าแก่ความหยิ่งผยองจริงๆ
กองกำลังเหยี่ยวนักล่าเป็นกองกำลังเดี่ยวที่แข็งแกร่งที่สุดของจีน สมาชิกทุกคนต่างก็เป็นอัจฉริยะที่มีอยู่หนึ่งในหมื่น ผ่านการฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งปี ต้องผ่านการทดสอบสุดท้ายในด้านต่างๆ ก่อน ถึงจะสามารถเข้าเป็นสมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่าอย่างเป็นทางการได้
เมืองหลวงเป็นสถานที่ที่มีตระกูลใหญ่อยู่มากมาย ในตระกูลใหญ่เหล่านี้ต่างก็มีผู้มีอำนาจอยู่ไม่น้อย ลูกหลานของพวกเขาที่สามารถเข้าเป็นสมาชิกกองกำลังเหยี่ยวนักล่าได้นั้นมีน้อยมากๆ
เพราะพวกลูกผู้ดีเหล่านี้ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นเหมือนดอกไม้ในเรือนกระจก จะทนรับการฝึกที่โหดร้ายเช่นนั้นได้อย่างไร
แม้จะมีข่าวลือบอกว่าคุณชายใหญ่เข้ากองกำลังเหยี่ยวนักล่าได้เพราะกำลังของตนเอง และความสัมพันธ์หับผู้อาวุโสตระกูลลั่ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีใครกล้าพูดออกมา ถึงอย่างไรตระกูลลั่วก็แข็งแกร่งมาตั้งแต่อดีต ใครก็ไม่อยากก่อปัญหาโดยไม่จำเป็น
“ตระกูลลั่วของฉันแค่ขาข้างเดียวก็เหยียบตระกูลเย่ให้ตายได้แล้ว พี่ชายของฉันแค่นิ้วเท้านิ้วเดียวก็บดขยี้เย่เทียนเฉินให้ตายได้แล้ว ทางที่ดีตระกูลเย่ทุกคนควรจะไปพักผ่อนในปรโลกซะให้หมด”
“นายพูดดีๆ หน่อยเถอะ แช่งให้ตายทั้งบ้าน ไม่กลัวโดนตบปากหรือไง!”
“ตบปาก ใครมันกล้าตบปากลั่วเทาผู้นี้? ฉัน….”
เพี้ยะ!
เย่เทียนเฉินตบหน้าลั่วเทาโดยแรง ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของคนอื่นๆ ลั่วเทาถูกตบกระเด็นออกไปชนกระจกของชั้นสองก่อนที่จะตกลงไป
กว่าทุกคนจะมีปฏิกิริยาก็เห็นเพียงเงาหลังเงาหนึ่งเดินลงไปจากชั้นสอง…
เย่เทียนเฉินยกฮู้ดขึ้นมาสวม แล้วตบหน้าลั่วเทาแรงๆ อีกหนึ่งที ก่อนหมุนตัวเดินจากไป
เขาไม่ได้แสดงตัวเพราะพิจารณาถึงจุดสำคัญสองจุด หนึ่งก็คือ อำนาจของตระกูลเย่ทุกวันนี้สู้ตระกูลลั่วไม่ได้ ถ้าต้องผิดใจกันจริงๆ จะไม่ดีกับตระกูลเย่ แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินไม่อยากจะเพิ่มความวุ่นวายให้พ่อแม่และน้องสาวอีกแล้ว สองก็คือ เย่เทียนเฉินเตรียมจะลากตัวการออกมา ซึ่งก็คือพี่ชายของลั่วเทา ไม่ว่าเขาจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลลั่วก็ดี จะเป็นสมาชิกหองทัพเหยี่ยวก็ช่าง ในเมื่อกล้ามายั่วยุถึงที่ ก็จำเป็นต้องสั่งสอนกันหน่อย
เย่เทียนเฉินที่เกิดใหม่นี้ ไม่ใช่คนอ่อนแออีกต่อไป!
เวลาเที่ยงคืน
ตลอดทั้งวันเย่เทียนเฉินไม่ได้กลับบ้าน รอจนถึงเวลานี้ ค่อยมุ่งหน้าไปยังตึกเทียนซ่างเหรินเจียน (สวรรค์ในโลกมนุษย์)
ที่นี่เป็นสถานที่ที่ทำให้ผู้คนเมามายราวกับอยู่ในความฝัน และยังเป็นสถานบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง มีแต่สิ่งที่คุณคิดไม่ถึง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ไมว่าจะเหล้ายา หญิงบริการ บุหรี่ การพนัน ต่างก็มีครบ ตลอดคืนเต็มไปด้วยผู้คน เป็นสถานที่รวมตัวของคนชั้นสูง
เย่เทียนเฉินยังคงคาบบุหรี่ไว้ในปาก เดินเข้ามาข้างในตึกเทียนซ่างเหรินเจียน บุหรี่เป็นเป็นคู่หูที่ดีที่สุด
ในช่วงสิ้นโลกทุกครั้งที่เย่เทียนเฉินจะลงมือ หรือตอนที่ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่ง เขาก็จะสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นการเสพสุขเพื่อความพึงพอใจอย่างหนึ่ง และสิ่งที่ขาดไม่ได้
ตอนนี้เอง ที่ในห้องวีไอพีอันหรูหราที่อยู่บนชั้นสามของตึกเทียนซ่างเหรินเจียน ชายคนหนึ่งมีใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเต็มไปด้วยไอสังหาร ด้านข้างมีเพื่อนอยู่สองคนซึ่งเป็นคุณชายของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง
ชายคนนั้นคือคุณชายใหญ่แห่งตระกูลลั่วนามลั่วเหลย หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านว่าน้องชายของตนถูกคนทำร้าย โดนตบหน้าจนกระเด็นตกลงมาจากชั้นสอง ขาซ้ายที่หักไม่ร้ายแรงอะไรนัก แต่ใบหน้าซีกขวาที่ถูกตบ กระดูกแหลกละเอียด ฟันในปากร่วงออกมาหมด อีกทั้งยังบาดเจ็บไปถึงเส้นประสาทในสมอง เป็นไปได้สูงว่าจะกลายเป็นเจ้าชายนิทรา
ลั่วเทาคนโง่เง่าที่น่าสงสาร พูดจาไม่ระวังปาก ถูกเย่เทียนเฉินตบจนกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปเสียแล้ว
“ใครแม่งกล้าทำร้ายน้องฉัน ฉันจะฆ่ามัน!” ลั่วเหลยโกรธเสียจนบีบแก้วในมือขวาแตกพลางกล่าวออกมาอย่างดุร้าย
……………………………………….