เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 190 คำสั่งจากคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง
ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะลงมือฆ่าเซวียนเยวี๋ยนเถิง โอวหยางเฟยอวิ๋นคุณชายสองซึ่งเป็นหนึ่งในสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะปรากฏตัวออกมาหยุดยั้ง และที่ทำให้คนคิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ โอวหยางเฟยอวิ๋นที่วางตัวสูงส่งต้องการที่จะออกคำสั่งให้เย่เทียนเฉินปล่อยคน จะถึงกับถูกปฏิเสธ เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เทียนเฉิน ใบหน้าของโอวหยางเฟยอวิ๋นชิยโสโอหังมาโดยตลอดก็ไม่อาจใช้ได้ ถูกเย่เทียนเฉินตอกหน้าจนเทียบไม่ได้แม้แต่ตดหมา พริบตานั้นทำให้เขามีท่าทีเหมือนอันธพาลถ่อย สั่งลูกน้องให้ลงมือฆ่าเย่เทียนเฉินด้วยความโมโห
ในขณะนั้นเอง เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นก็มองออกว่า เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนสะเพร่า และไม่ใช่คนที่เห็นตนเองเป็นใหญ่ เป็นเพียงแค่คนที่ทำตามหลักการโดยไม่สนใจตัวคน และเป็นลูกผู้ชายที่ไม่ก้มหัวให้อำนาจใดๆ หากคุณต้องการที่จะมาทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขา จะมาวางมาดเป็นคุณชายใหญ่อะไรนั่น มาใช้อำนาจราวกับตนเองเป็นใต้เท้าที่สั่งเป็นสั่งตายยุทธภพได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอโทษด้วย ฉันเย่เทียนเฉินไม่ยอมกล้ำกลืนฝืนทนแน่ ฉันก็คือฉัน เป็นหนึ่งไม่มีสอง
การปรากฏตัวของหูหลงเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเย่เทียนเฉิน แน่นอนว่าทำให้เขาดีใจมาก นี่ทำให้เห็นว่าหูหลงมีความซื่อสัตย์ภักดีต่อตนเอง ยอมติดตามด้วยตัวเอง และต้องการจะติดตามเขาจากใจจริงเพื่อไปป่วนยุทธภพด้วยกัน ส่วนเย่เทียนเฉินก็ได้ออกคำสั่งให้อู๋เสวี่ยไปรวบรวมยอดฝีมือ เพื่อสร้างเป็นฐานอำนาจของตน ในเมื่อกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต้องการที่จะเล่น ถ้าอย่างนั้นเขาจะไม่เล่นเป็นเพื่อนได้อย่างไร?
เย่เทียนเฉินมีความประทับใจที่ดีต่อหูหลงมาก ในตอนที่ช่วยเหลือหูหลง เย่เทียนเฉินก็มองออกแล้วว่า ฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศของหูหลงเป็นของจริง ช่วงเวลาที่ฝึกฝนอย่างน้อยก็ต้องสิบปี หากพูดกันในด้านฝีมือหูหลงก็สามารถไปถึงระดับยอดฝีมือชั้นหนึ่งได้ เพียงแต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือประสบการณ์ ซึ่งก็หมายถึงประสบการณ์ในการต่อสู้จริง และยังขาดความโหดเหี้ยมดุดัน ไม่เช่นนั้นเมื่อวันนั้นเขาคงจะไม่ถูกลูกน้องของหลี่เถี่ยรุมซ้อม
ต่อให้เย่เทียนเฉินรู้ว่า การที่หูหลงจะเอาชนะชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำคนนี้เป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็ไม่อาจไม่นับถือความร้ายกาจของตระกูลโอวหยาง เนื่องจากชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำที่อยู่ข้างกายโอวหยางเฟยอวิ๋นคนนี้ มีความสามารถไม่อ่อนแอเลย หากว่ามีคนแบบนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหลายคนเกรงว่าเย่เทียนเฉินจะต้องต่อสู้อย่างจริงจัง
ความจริงหากพูดถึงตระกูลโอวหยางและตระกูลเซวียนเยวี๋ยน มีน้อยคนที่จะรู้จัก น้อยคนที่จะรู้ว่าอำนาจของสองตระกูลนี้แข็งแกร่งขนาดไหน แต่ว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงและโอวหยางเฟยอวิ๋น เป็นทายาทของตระกูลที่ยโสโอหัง ทั้งวันเอาแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิง วางมาดว่าบิดาเป็นใหญ่ในใต้หล้า เย่อหยิ่งจนคิดว่าไม่ว่าใครก็มาหาเรื่องเขาไม่ได้ ต่อให้ไม่รู้ก็ไม่ได้
“มาเถอะ ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนเอง จะเก็บกวาดแกเอง ไม่ต้องให้พี่ใหญ่ของฉันลงมือหรอก!” หูหลงเดินไปด้านหน้า มองชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำตรงหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ใจกล้าดีนี่ ดูซิว่าฉันป่นสมองแกแล้วแกยังจะโอหังได้อีกไหม…” ชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำคิดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งดูแคลน พริบตานั้นจึงเกิดโมโหขึ้นมา
หากพูดกันถึงด้านอายุแล้ว หูหลงอายุน้อยจริงๆ ยังอายุน้อยกว่าเย่เทียนเฉินอยู่หนึ่งปี ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบเก้า เขาได้กราบการผู้สืบทอดฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศคนหนึ่งเป็นอาจารย์โดยบังเอิญ ฝึกฝนอยู่เกือบสิบปีโดยเริ่มฝึกวรยุทธตั้งแต่อายุเก้าขวบ เป็นอายุที่เหมาะสมที่สุดในการเริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ ดังนั้นความสามารถของหูหลงจึงไม่เลวเลย นับว่ามีพื้นฐานมั่นคง ขาดเพียงประสบการณ์ในการต่อสู้จริง และความโหดเหี้ยมเด็ดเดี่ยวไปเล็กน้อย
“ก็ลองดู!”
พูดออกไปเพียงเท่านี้ หูหลงก็ลงมือพุ่งเข้าไปยังชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำก่อน หมัดทั้งสองร่ายรำเป็นรูปแบบของแผนผังแปดทิศ เย่เทียนเฉินมีความเข้าใจต่อฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศไม่มากนัก แต่ก็รู้ถึงหลักสำคัญๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาได้พบเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจในช่วงยุคสิ้นโลก ฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศ จะใช้หมัดทั้งสองโจมตีออกไปโดยการควบคุมให้อยู่ในลักษณะแผนผังแปดทิศ หากสามารถฝึกฝนจนถึงขั้นสูงจริงๆ ก็จะสามารถใช้ฝ่ามือเดียววาดเป็นแผนผังแปดทิศกว้างถึงสิบกว่าเมตร ซึ่งขอบเขตสิบกว่าเมตรนี้ ก็จะกลายเป็นขอบเขตในการโจมตี น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
พลั่กๆๆ!
ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำและหูหลงต่อสู้กัน ทำให้นักศึกษาชายหญิงที่ล้อมดูความคึกคักตกตะลึงจนต้องเบิกตากว้าง นี่ช่างอยู่นอกเหนือจินตนาการของพวกเขาจริงๆ ฉากการต่อสู้ที่มีสีสันเช่นนี้ช่างดีและชวนให้สั่นสะท้านยิ่งกว่าฉากในภาพยนตร์เสียอีก พวกเขาเป็นคนธรรมดา ไหนเลยจะคิดว่ายังมีพรรควรยุทธโบราณสืบทอดนับพันปีมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ ไหนเลยจะเข้าใจเกี่ยวกับพรรควรยุทธโบราณ ดังนั้นย่อมไม่รู้จักวรยุทธจีน เช่น การเหาะเหินเดินกำแพง การผ่าภูเขาป่นหิน หรือกระทั่งวิชาดาบ ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบันนี้จริงๆ
มือทั้งสองของเย่เทียนเฉินล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มองกระบวนท่าของหูหลงและชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำอย่างละเอียด เมื่อได้ลงมือหูหลงก็ใช้พลังเต็มที่ ส่วนชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำก็ใส่กระบวนท่าเต็มกำลัง ถึงแม้ว่าหูหลงอาจจะเอาชนะชายฉกรรจ์ในเสื้อกล้ามสีดำได้อย่างยากลำบาก แต่ก็ยังสามารถประคองไปได้ชั่วคราว แะถือโอกาสฝึกฝนให้หูหลงได้ต่อสู้จริง
ในตอนนี้เอง โอวหยางเฟยอวิ๋นมองเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่มีเลือดเปื้อนอยู่เต็มหน้าด้วยท่าทางไม่พอใจ และไม่ได้เข้าไปประคองเซวียนเยวี๋ยนเถิงขึ้นมา ไม่ได้โทรศัพท์ไปเรียกรถพยาบาลให้เซวียนเยวี๋ยนเถิง ทำเพียงมองดูเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างเลือดเย็น
“พี่โอวหยาง ช่วย ช่วยผม…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงดิ้นรน ใช้มือขวาจับเท้าของโอวหยางเฟยอวิ๋น มุมปากมีเลือดไหลออกมา
“ช่วยแก? หึ แกคิดว่าฉันมาเพื่อช่วยแกจริงๆหรือไง? ไอ้ตัวไร้ค่า ไม่เพียงแต่ทำให้ขายหน้าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของแก ยังทำให้ชื่อเสียงของสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงของพวกเราต้องมัวหมอง สมควรตาย!” โอวหยางเฟยอวิ๋นแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง มองเซวียนเยวี๋ยนเถิงแล้วพูดขึ้นอย่างไร้มนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง
“โอวหยาง…ไม่ พี่เฟยอวิ๋น ขอแค่ ขอแค่คุณช่วยผม ผมรับรองว่าจะใช้อำนาจของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของผมฆ่าเย่เทียนเฉิน” เซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้ว่าตอนนี้คนที่จะสามารถช่วยเขาได้มีเพียงโอวหยางเฟยอวิ๋นเท่านั้น ขอเพียงเขามีชีวิตอยู่ต่อไป ก็จะสามารถล้างแค้นได้
“ไอ้เศษสวะ บิดาออกคำสั่งไปแล้ว ไอ้เศษสวะอย่างแกตายไปซะได้ก็ดี หากอยู่เป็นสามคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงต่อไป จะเสียหน้าพวกเราเปล่าๆ!” โอวหยางเฟยอวิ๋นพูดอย่างเลือดเย็น
เซวียนเยวี๋ยนเถิงเห็นท่าทางไม่แยแสเช่นนี้ของโอวหยางเฟยอวิ๋น พริบตานั้นดวงตาจึงแดงก่ำ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ทำให้กระอักเลือดออกมา มองไปยังโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างดุดันแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกคุณสองคนโหดเหี้ยมจริงๆ ถ้าหากว่าผมตาย ตระกูลของผมจะไม่ปล่อยพวกคุณสองคนไว้แน่”
“งั้นเหรอ? คนที่ฆ่าแกก็คือเย่เทียนเฉิน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน!” โอวหยางเฟยอวิ๋นมองเซวียนเยวี๋ยนเถิงด้วยสายตาเย็นชา
มหาวิทยาลัยหลงเถิง เป็นมหาวิทยาลัยชั้นหนึ่งในประเทศ และในหมู่คุณชายทั้งสามนั้นต่อให้จะกระทำเรื่องเพื่อตัวเอง แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับลำดับชั้น โอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นอันดับสอง เซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่ในอันดับสาม ในช่วงเวลาสำคัญคุณชายทั้งสามแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงยังคงต้องปรึกษาหารือร่วมกัน อย่างน้อยก็ไม่มองข้ามหัวใครไป จะอย่างไรเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็คิดไม่ถึงว่า ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เย่เทียนเฉินที่ต้องการเอาชีวิตตนเอง แต่เป็นคุณชายอีกสองคนที่ต้องการให้ตนเองตาย
“พวกคุณ…พวกคุณจะโหดร้ายเกินไปแล้ว…” เซวียนเยวี๋ยนเถิงกัดฟันพูด
“แกอย่าได้พูดอย่างนี้เลย ฉันรู้ว่าแกเกลียดเย่เทียนเฉินเข้ากระดูก ความตายของแก ฉันจะต้องบอกต่อไปยังตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของแกแน่ เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลของแกจะต้องออกหน้าล้างแค้นให้แก ไม่ใช่ว่าทำให้ความหวังของแกเป็นจริงหรือ? เป็นเรื่องดี นี่เป็นเรื่องดีจริงๆ ฉันกำลังทำเพื่อแกอยู่!”
ทันใดนั้นโอวหยางเฟยอวิ๋นกลายเป็นโหดเหี้ยมขึ้นมา กระทั่งใบหน้าก็ดุดัน พี่เขาต้องการให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงตาย สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็เพราะต้องการชีวิตของเย่เทียนเฉิน ยืมมีดฆ่าคน ไม่มีอะไรจะมีความสุขไปมากกว่านี้แล้ว
“คุณ…”
“ไปตายซะเถอะ ลาก่อน!”
ไม่กล่าวไม่ได้ว่า โอวหยางเฟยอวิ๋นเป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง เพื่อที่จะวางแผนร้ายใส่เย่เทียนเฉินเนื่องจากความรังเกียจในใจของตน เพื่อต้องการยืมมีดฆ่าคน และให้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนออกหน้าฆ่าเย่เทียนเฉิน เขาไม่เสียดายที่จะลงมือฆ่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงด้วยตัวเองเลย เขาใช้ขากระทืบลงไปยังหน้าอกของเซวียนเยวี๋ยนเถิงอย่างแรง ทำให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงที่เดิมทีหายใจรวยรินกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ไม่กี่นาทีก็ตาเหลือกไป
ทางด้านนี้โอวหยางเฟยอวิ๋นได้ใช้เท้ากระทืบเซวียนเยวี๋ยนเถิงจนตายไปแล้วเพื่อที่จะใส่ร้ายเย่เทียนเฉินและยืมมีดฆ่าคน ส่วนอีกด้านหนึ่ง การต่อสู้ระหว่างหูหลงและชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำก็ได้มาถึงจุดเดือดแล้ว หูหลงใช้พลังเต็มที่ แสดงวิชาฝ่ามือมังกรท่องแปดทิศออกมาอย่างลื่นไหลคล่องแคล่ว ทุกครั้งที่แสดงกระบวนท่าออกไป จะแฝงไปด้วยพลังภายใน กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ไม่อาจไม่นับถือความร้ายกาจของฝ่ามือมังกรช่องแปดทิศ
ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามสีดำผู้นั้น เดิมทีก็มีฝีมือไม่อ่อนแอ มิฉะนั้นคงไม่ถูกตระกูลโอวหยางส่งมาอยู่ข้างกายโอวหยางเฟยอวิ๋นเพื่อปกป้องคุ้มครองเขาแน่ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หูหลงอายุยังน้อย แต่ถึงกับมีความสามารถในการต่อสู้ถึงขนาดนี้ มีฝีมือสูงส่ง หากให้เขาเติบโตไปอีกหลายปี เกรงว่าจะกลายเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งที่อายุน้อยที่สุด
หากพูดกันตามจริงแล้ว ในตอนนี้หูหลงสู้ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อกล้ามดำไม่ได้ ที่สำคัญก็คือพ่ายแพ้ด้านพละกำลังและประสบการณ์ในการต่อสู้จริง หากได้ฝึกฝนอีกระยะหนึ่ง จะต้องสามารถข้ามผ่านไปได้แน่ การต่อสู้สิบกว่านาที หูหลงถูกโจมตีไปหลายหมัด มุมปากมีเลือดไหลออกมา แต่ยังคงสู้ตายไม่ยอมถอย เขารู้ว่าหากต้องการป่วนยุทธภพไปกับพี่ใหญ่เพื่อสร้างฐานอำนาจ วันหน้าจะต้องพบกับการต่อสู้ที่รุนแรงมากกว่านี้ หากถอยไปตอนนี้ วันหน้าจะอยู่อย่างไร
เย่เทียนเฉินเห็นหูหลงเสียเปรียบลงเรื่อยๆ และมีสัญญาณออกมาว่าจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เป็นไปได้มากกว่าจะถูกชายฉกรรจ์เสื้อกล้ามดำฆ่าตาย กำลังเตรียมจะลงมือ ไหนเลยจะรู้ว่าในฝูงชนจะมีคนหนึ่งเดินออกมา เป็นชายคนหนึ่งที่สวมแว่นกรอบทองธรรมดา น้ำเสียงไม่นับว่าดัง แต่กลับได้ยินชัดเจน
“คุณชายโอวหยาง คุณชายใหญ่มีคำสั่งลงมาว่า ให้พวกคุณไปซะ เขาจะจัดการเรื่องนี้เอง!” ชายสวมแว่นกรอบทองพูดด้วยรอยยิ้ม
“หากต้องหยุดมือ ก็ต้องรอให้ฉันฆ่าสองคนนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” โอวหยางเฟยอวิ๋นไม่ได้พูด กลับเป็นชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามสีดำที่ต่อสู้กับหูหลงที่พูดออกมาอย่างไม่พอใจ เขาเกือบจะฆ่าหูหลงได้อยู่แล้ว ย่อมไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ สู้กับเด็กรุ่นหลังที่อายุเพียงสิบเก้าปีคนหนึ่งมานานขนาดนี้ สำหรับเขาแล้วนับเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง
“อะไรนะ? แกถึงกับกล้าขัดคำสั่งคุณชายใหญ่เชียว ดูท่าอยากตายเร็วๆ สินะ!” ชายสวมแว่นกรอบทองคนนั้นพลันมีสายตาเปลี่ยนไป ในดวงตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ฟังคำสั่งของคุณชายใหญ่ แต่กำลังอยู่ในช่วงเวลาวิกฤตจริงๆ คิดจะฆ่าเย่เทียนเฉินก่อนค่อยว่ากันอีกที ไม่ใช่ว่าคุณชายใหญ่ก็สนใจเย่เทียนเฉินมากหรือ? ฉันจะถือหัวเจ้าเย่เทียนเฉินไปพบเขา เชื่อว่าเขาจะต้องดีใจมากแน่!” โอวหยางเฟยอวิ๋นพูดกับชายสวมแว่นกรอบทองด้วยรอยยิ้มเกรงใจ
ไหนเลยจะรู้ว่า ชายสวมแว่นกรอบทองจะมองโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างเย็นชาไม่สบอารมณ์ และพูดออกมาอย่างเรียบเฉยประโยคหนึ่ง “จะเล่นกับเย่เทียนเฉิน? เกรงว่าคุณจะไม่คู่ควร…”
………………….