เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 193 หลินตวนแห่งสำนักงานเทียนหลิน
ในช่วงยุคสิ้นโลก เดิมทีก็เป็นโลกที่ไม่อาจจินตนาการได้ กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่ามหัศจรรย์เกินขอบเขตความคิดของมนุษย์ ที่นั่นไม่มีการดำรงอยู่ของประเทศใดๆ และไม่มีกฎหมายข้อบังคับ มีเพียงการฆ่าฟัน ผู้ชนะเป็นเจ้า และไม่ใช่โลกที่มีมนุษย์ปกครอง มีทั้งสัตว์อสูรกลายพันธุ์และปีศาจที่ฝึกตนมานับพันปีคอยระราน
ยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษในหมู่มนุษย์ก็มีทั้งดีและชั่ว ในโลกแห่งนั้น ของที่มีอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ที่สุดต่างก็ปรากฏออกมา เช่นการกลับชาติมาเกิด การย้อนกลับไปในยุคจีนโบราณอันแปลกประหลาด เป็นยุคที่มีเรื่องเรื่องน่าอัศจรรย์ทุกอย่าง
สรุปแล้ว ในช่วงยุคสิ้นโลกเป็นโลกที่ไม่สามารถใช้ตรรกะความคิดในปัจจุบันได้ ดุเดือดรุนแรงและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดยิ่งกว่าความเพ้อฝันและจินตนาการของมนุษย์และโลกแห่งเทพเซียนเสียอีก ผู้อ่อนแอก็เป็นได้แค่เนื้อปลา ผู้แข็งแกร่งต่อสู้กันไม่หยุดหย่อน มีคนที่เกิดมาก็แข็งแกร่งอย่างไร้ที่จำกัด และมีคนที่เกิดมาก็ตายไปกลายเป็นเถ้าถ่าน คนที่แข็งแกร่งที่แท้จริงหากไม่ปกป้องคุ้มครองความสงบสุข ก็ตามหาความเป็นอมตะ ทำลายความว่างเปล่า ท่องเที่ยวไปในอวกาศ สำรวจดาวแต่ละแห่งที่ใช้ชีวิตอยู่ได้
เมื่อเย่เทียนเฉินคิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกคิดถึงชีวิตในยุคสิ้นโลก ในวันเวลาที่ไม่มีวันสงบสุขได้ไปตลอดกาลเช่นนั้น ตนเองก็ได้รับเสียงยินดีและเสียงหัวเราะ มีเพื่อน มีพี่น้อง มีคนรู้ใจ แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ถูกทำลายย่อยยับไปในค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ค่ำคืนหนึ่ง
เป็นความเจ็บปวดตลอดกาลของเย่เทียนเฉินที่ไม่สามารถสลัดออกไปจากใจได้ตลอดกาล และเขาต้องการที่จะกลับไปที่โลกแห่งนั้นเพื่อแก้แค้นให้เพื่อนของตน ในคืนนั้น เขาเดินทางไปยังหุบเขาที่ซ่อนเร้นแห่งหนึ่ง เพื่อฝึกฝนบ่มเพาะกายเนื้อของตน กลืนกินพลังของสายฟ้า แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีสัตว์อสูรในระดับพระเจ้าขั้นกลางปรากฏตัวออกมา โจมตีหมู่บ้านเล็กๆ ที่เย่เทียนเฉินคุ้มครองอยู่ เลือดนองเป็นแม่น้ำ ศพกระจัดกระจาย เมื่อเย่เทียนเฉินกลับไป ที่นั่นก็กลายเป็นเศษซากไปแล้ว ทุกคนตายหมดไม่เหลือ
เย่เทียนเฉินเงยหน้าตะโกนก้องฟ้า ตามฆ่าไปนับหมื่นลี้ ไล่ตามสัตว์อสูรในขอบเขตพระเจ้าขั้นกลางตัวนั้น เพียงแต่เย่เทียนเฉินที่มีความสามารถในระดับพระเจ้าขั้นต้น ก็ไม่สามารถเทียบได้กับสัตว์อสูรชั้นยอดตัวนี้ได้เลย ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันโดยสิ้นเชิง แต่ว่าในขณะนั้น ทั่วทั้งร่างของเย่เทียนเฉินมีไอสังหารล้นทะลัก ฟุ้งกระจายออกไปไกลในขอบเขตร้อยลี้ เขาระเบิดพลังออกมาแล้วจริงๆ โจมตีอย่างบ้าคลั่ง แตะถึงขอบเขตของพระเจ้า ทำการต่อสู้ข้ามชั้น สู้กับสัตว์อสูรตัวนั้นในคืนมืดสลัวคืนหนึ่ง
เพียงแต่ความสามารถของเย่เทียนเฉินด้อยกว่าขั้นหนึ่งจริงๆ มันเป็นความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เดิมทีก็ไม่สามารถสู้กับสัตว์อสูรชั้นยอดตัวนั้นได้ แต่เป็นเพราะเขาโกรธจนบ้าคลั่ง สู้กันจนดวงตาทั้งสองมีเลือดไหลออกมา สัมผัสไปถึงเขตแดนของพระเจ้า ก้าวเข้าไปสู่เขตแดนลึกลับ ไม่เช่นนั้นคงถูกฆ่าตายด้วยฝ่ามือเดียวไปแล้ว
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้แต่เย่เทียนเฉินก็เพิ่งจะแตะขอบเขตพระเจ้าเท่านั้น มีความสามารถที่จะสู้ข้ามประดับได้ แต่ก็ยังคงไม่ใช่คู่มือของสัตว์อสูรตัวนั้นอยู่ดี ถูกโจมตีจนอวัยวะภายในเหลวแหลก เลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่เขากลับยังคงไม่ยอมถอย ฉีกแขนข้างหนึ่งของสัตว์อสูรตัวนั้นออกมา และในตอนที่โจมตีอย่างรุนแรงที่สุดนั้น เขาก็ได้เข้ามาสวมร่างของเย่เทียนเฉินในปัจจุบันนี้แล้ว
ในใจของเย่เทียนเฉินมีความลับเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกอยู่มากมาย เรื่องเหล่านี้ไม่สามารถพูดได้กับคนอื่น เนื่องจากโลกในปัจจุบันนี้ความคิดของคนจำนวนหนึ่งได้ถูกจำกัด พูดไปแล้วก็คงไม่มีใครเชื่อ เขาคิดที่จะเก็บซ่อนเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงยุคสิ้นโลกเอาไว้ตลอดกาล เพราะเขาก็ได้อาศัยอยู่ในโลกปัจจุบันนี้แล้ว
สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาดก็คือ ฉินเหยาเยว่ผู้หญิงลึกลับคนนั้นจะถึงกับเริ่มสงสัยในฐานะของเขา สงสัยว่าเขาจะไม่ใช่เย่เทียนเฉินในสมัยก่อน นี่เป็นข้อมูลที่ทำให้ต้อรู้สึกงสงสัยและตกตะลึง ฉินเหยาเยว่รู้ฐานะของเย่เทียนเฉินได้อย่างไร? ผู้หญิงคนนี้คาดเดาไม่ได้เกินไปแล้ว
เขาหาวครั้งหนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องเรียนใหญ่ของภาควิชาโบราณคดี พบว่าด้านในห้องเรียนใหญ่สามารถบรรจุนักศึกษาได้หลายร้อยคน แต่มีคนอยู่เพียงไม่กี่คน ดูแล้วภาควิชาโบราณคดีนี้จะเป็นเอกวิชาที่ไม่ได้รับความนิยมจริงๆ ขนาดคนที่มาลงสมัครสอบภาควิชาโบราณคดีก็ค่อนข้างจะน้อย คนมาน้อยยังไม่ต้องไปพูดถึง คนที่มาแล้วต่างกำลังเล่นอยู่กับสิ่งของของตนเอง ส่วนใหญ่จะก้มหน้าเล่นเกมในมือถือ บางคนก็อ่านนิยาย
เย่เทียนเฉินหาที่นั่งแห่งหนึ่งและนั่งลงไปตามใจ รออาจารย์ภาควิชาโบราณคดีเข้ามาสอน ความจริงแล้วที่เขามายังมหาวิทยาลัยหลงเถิงไม่ได้มาเพื่อเข้าเรียนอะไรนี่เลย เพียงแต่อยากจะมาเล่นสนุกสักหน่อย ในใจของพ่อและแม่หวังว่าตนเองจะได้เรียนมหาวิทยาลัย พอดีกับที่เขาตอบรับหยางอี้ผู้เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร จึงจะต้องมาอยู่ใกล้กับตงฟางเมิ่งอะไรนั่น และต้องการมาดูสักหน่อยว่าผู้หญิงที่ได้ตำแหน่งดาวอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยหลงเถิงติดต่อกันหลายปีจะมีหน้าตาอย่างไร จะน่าหลงใหลมากเพียงใดกันแน่
เย่เทียนเฉินเพิ่งจะนั่งลงไม่นาน ก็เห็นว่าด้านหน้ามีผู้ชายร่างผอมคนหนึ่งเดินมาทางตนเอง เย่เทียนเฉินเรื่องนั่งแถวท้ายสุดเพราะว่าเขาไม่สนิทสนมคุ้นเคยกับนักศึกษาเหล่านี้ และไม่มีอะไรให้น่าคุยเล่น ยิ่งกว่านั้นเย่เทียนเฉินยังชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า
ไหนเลยจะรู้ว่า นักศึกษาชายร่างผอมคนนั้นจะเดินมาตรงหน้าเย่เทียนเฉิน มองเย่เทียนเฉินคู่หนึ่งแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นักศึกษา ที่นั่งนี้เป็นของฉัน โปรดลุกให้ด้วย!”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายร่างผอมคนนั้น เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ถึงแม้ว่าในช่วงยุคสิ้นโลกเขาจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ก็อยู่ในโลกแห่งนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ชีวิตในมหาวิทยาลัยอิสระเสรีเป็นอย่างมาก จะมีการเจาะจงที่นั่งที่ไหนกัน ไปเข้าเรียนก็สามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจ หรือว่าชายร่างผอมตรงหน้านี้จะจงใจหาเรื่อง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจชายร่างผอม คนคนนี้สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร สวมชุดลำลอง กางเกงยีนและรองเท้ากีฬา ทรงผมค่อนข้างสุภาพ ปัดเป๋ไปทางซ้าย หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา เพียงแต่สายตาเย็นชาเป็นอย่างมาก กำลังจ้องมองเย่เทียนเฉินอยู่
“เป็นไปไม่ได้นะ ที่นั่งนี้เขียนชื่อนายไว้หรือไง? มาก่อนได้ก่อนสิ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“บนเก้าอี้นี้ไม่ได้มีชื่อฉันเขียนเอาไว้ แต่คำพูดของฉันหลินตวน พูดอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น!” ชายร่างผอมมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ฉันเย่เทียนเฉินเองก็เหมือนกัน นายไม่ได้พูดโน้มน้าวฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องยกที่นั่งให้นาย!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน นักศึกษาชายที่ชื่อว่าหลินตวนคนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ฉันต้องการสู้กับนาย เป็นไง?”
เย่เทียนเฉินเองก็ถูกทำจนงงไปหมดแล้ว เขากับชายตรงหน้าที่ชื่อว่าหลินตวนนั้นไม่ได้สนิทกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้า หลินตวนถึงกับขอให้ตนประลองด้วย นี่มันเหตุผลอะไรกัน?
“ประลอง? ทำไมล่ะ?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงมีแต่ข่าวของนาย ทุกคนต่างก็พูดคุยกันว่านายถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูกมา แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ไม่อาจคาดเดาได้ ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่านายจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน…” ทันใดนั้นเองมุมปากของหลินตวนปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินรู้สึกว่าชายที่ชื่อว่าหลินตวนตรงหน้าเขานี้น่าสนใจมากจริงๆ เจอหน้ากันครั้งแรกก็พูดว่าต้องการจะประลองกับตน คำพูดคำจาก็เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่มีความคิดเหมือนพวกคนถ่อยเลยแม้แต่น้อย กับคนประเภทนี้เย่เทียนเฉินค่อนข้างที่จะชื่นชม แบบนี้ถึงจะเป็นลูกผู้ชาย
“เกรงว่านี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ฉันจะต้องตอบรับการประลองกับนายล่ะมั้ง? คนธรรมดาฉันไม่สู้ด้วยหรอก ฉันยุ่งมาก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นก็ได้ ฉันมีฐานะเป็นผู้อำนวยการคนที่สองของสำนักงานเทียนหลิน ขอท้าประลองกับนาย” หลินตวนพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง
“สำนักงานเทียนหลิน?”
“ถูกต้อง ประเทศจีนไม่อนุญาตให้มีจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้าง ดังนั้นพวกเราจึงตั้งสำนักงานเทียนหลินขึ้นมา มีความคล้ายคลึงกับกลุ่มทหารรับจ้าง รับงานต่างๆ ของกลุ่มอำนาจใหญ่ ช่วยพวกเขาทำเรื่องมากมาย!” หลินตวนพูดพลางพยักหน้า
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็เข้าใจกระจ่าง เข้าใจว่าทำไมหลินตวนจึงได้ขอท้าประลองกับเขาหลังจากที่ได้รู้ถึงฐานะของตนแล้ว เพราะว่าเย่เทียนเฉินเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลของเมืองหลวงในตอนนี้ ไม่รู้ว่ามีอำนาจมากน้อยเพียงใดที่กำลังจับจ้อง และมีคนที่คิดว่าตนเองฝีมือไม่เลวจำนวนหนึ่งต้องการที่จะประลองกับเขาเพื่อชื่อเสียง คนส่วนใหญ่พูดกันได้อย่างผ่อนคลาย แต่ยากที่จะทำ ขอเพียงเอาชนะเย่เทียนเฉินได้ก็จะสามารถกลายเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งในเมืองหลวง แต่ดูท่าทางของหลินตวนแล้วจะไม่ใช่คนที่ต้องการใช้ประโยชน์แบบนี้ เขาคงจะทำเพื่อชื่อเสียงของสำนักงานเทียนหลิน ถึงได้มาท้าประลองกับตน
“ถ้าหากว่าฉันชนะจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าหากว่านายแพ้ ฉันจะได้ประโยชน์อะไร?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างนึกสนุก
หลินตวนชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่มีปฏิกิริยาอะไรอยู่นาน สุดท้ายจึงได้รู้ว่าเย่เทียนเฉินแค่หยอกล้อเขาเล่น พริบตานั้นจึงรู้สึกอับจนคำพูด มิน่าเล่าถึงได้มีคนบอกว่า นิสัยของเย่เทียนเฉินเป็นเหมือนอันธพาลและเป็นเหมือนเทพแห่งความตาย ในตอนที่จริงจังก็เป็นเหมือนเทพแห่งความตายที่ไม่มีใครกล้าขวาง ในตอนที่หนึ่งสนุกขึ้นมาก็มักจะทำให้คุณประหลาดใจได้เลย
“ถ้าหากว่านายชนะ ฉันหลินตวนก็จะทำตามที่นายต้องการ ถ้าหากว่าแพ้ ก็ต้องมาเข้าร่วมสำนักงานเทียนหลินของพวกเรา ทำงานเพื่อพวกเรา!” หลินตวนพูดอย่างจริงจัง
“ท่าทางพวกนายจะไตร่ตรองมาก่อนแล้วสินะ?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอพูดอย่างไม่ปิดบัง พวกเราสำนักงานเทียนหลินตั้งแต่ที่ก่อตั้งมาก็เป็นเวลาไม่น้อยแล้ว แต่กลับไม่ได้สร้างชื่อเสียงในประเทศ พวกเราต้องการคนแบบนาย!”
“งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าหากว่านายแพ้ ก็ล้มเลิกสำนักงานเทียนหลินของนายไปซะ แล้วมาอยู่กับฉันเย่เทียนเฉิน ถ้าหากว่านายชนะ ฉันก็จะตอบรับคำขอของนาย!”
ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยแลกเปลี่ยนฝีมือกับหลินตวนมาก่อน แต่เย่เทียนเฉินก็มองออกว่าฝีมือของหลินตวนไม่อ่อนแอเลย สามารถเป็นหัวหน้าขององค์กรที่คล้ายกับองค์กรทหารรับจ้างได้ ถ้าไม่มีความสามารถจะทำได้อย่างไร? ตนเองตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างอำนาจของตน อู๋เสวี่ยก็ได้เริ่มรวบรวมคนแล้ว ตอนนี้ก็มีหูหลงกับอู๋เสวี่ยสองคน หลินตวนคนนี้มีความฉลาดเฉลียวและเด็ดขาด มีความกล้ามีแผนการ นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง สามารถทำงานให้ตนเองได้ จะต้องมีประโยชน์ต่ออำนาจอิทธิพลของตนอย่างแน่นอน
“ได้ คำไหนคำนั้น งั้นตอนนี้พวกเราก็ไปกันเถอะ ไปหาสถานที่ที่ไม่มีคนตัดสินแพ้ชนะกันเลย!” หลินตวนพยักหน้าตอบ
“หา? ฮ่าๆๆ ได้…เฉียบขาดดีฉันชอบ ไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะออกมาด้วยความยินดีแล้วพูดขึ้น
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินและหลินตวนเพิ่งจะเดินไปถึงประตูห้องเรียนใหญ่ ฉินเหยาเยว่ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำอันเซ็กซี่ สวมถุงน่องสีดำและรองเท้าส้นสูงสีดำ ในมือถือไม้ชี้กระดานอยู่อันนึง จะยืนขวางอยู่หน้าประตูห้องเรียน ไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินและหลินตวนโดดเรียนได้…
……………………………..