เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 204 ภารกิจจากเฮยเมี่ยน
“ย่าขู่ ความหมายของคุณคือ…” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เย่เทียนเฉินในตอนนี้นับว่าเป็นคนที่อยู่ท่ามกลางคลื่นลม และคนที่อยู่ในตำแหน่งเช่นนี้ มีจุดจบเพียงสองอย่างเท่านั้น ถ้าไม่กลายเป็นทรราชที่ทุกคนรู้จักไปทั่ว ก็ตายโดยที่ไม่รู้ตัว เย่เทียนเฉินในตอนนี้จำเป็นต้องทำให้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วที่สุด เมื่อทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่เขาเองจะปลอดภัย แต่จะสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่อื่นๆ ที่คิดจะจัดการกับเขาหรือตระกูลเย่ได้อีกด้วย”
หลิงอวี่สวิ๋นได้ยินคำพูดของย่าขู่จึงได้รู้ตัว เป็นแบบนั้นจริงๆ เย่เทียนเฉินในตอนนี้หลังจากที่กลับมายังเมืองหลวงแล้ว ทุกเรื่องที่กระทำก็ดูเหมือนจะเป็นการสื่อว่าเย่เทียนเฉินต้องการโผทะยานขึ้นมา และตระกูลเย่ที่ตกต่ำต้องการที่จะรุ่งโรจน์ จึงได้รับความสนใจจากอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่จำนวนมาก พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ในช่วงเวลาสำคัญจะต้องฆ่าเขาแน่ เมื่อถึงตอนนั้นคนที่เย่เทียนเฉินจะต้องต่อกรด้วยไม่ได้มีเพียงคุณชายใหญ่คนเดียว แต่ยังจะมีกลุ่มอำนาจใหญ่ที่คิดไม่ถึงจำนวนมากปรากฏตัวออกมา
ย่าขู่มองหลิงอวี่สวิ๋นครั้งหนึ่ง ผู้หญิงเธอเห็นการเติบโตมาตั้งแต่เด็กและเป็นดั่งหลานสาวแท้ๆ ของเธอ แม้ในยามปกติย่าขู่จะมีท่าทางเย็นชา แต่ในใจของเธอก็รักใคร่หลิงอวี่สวิ๋นมาก ย่อมต้องคิดทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหลิงอวี่สวิ๋น
“คุณหนู ดิฉันรู้ว่าคุณชอบเย่เทียนเฉิน แต่ด้วยสถานการณ์ของเย่เทียนเฉินในตอนนี้ และยังมีตระกูลเย่และตระกูลหลิงที่แตกต่างกันมากอยู่อีก พ่อของคุณจะต้องไม่เห็นด้วยแน่ที่คุณจะอยู่กับเย่เทียนเฉิน กระทั่งอาจคิดจะส่งคนไปฆ่าเย่เทียนเฉินก็เป็นได้ คุณก็รู้ว่านายท่านทำเรื่องแบบนี้ได้…” ย่าขู่เอ่ยปากพูดต่อไป
ความจริงแล้วสิ่งย่าขู่พูดนั้นไม่ผิดเลย กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่จำนวนหนึ่งจะลงมือโดยไม่สนใจอะไรเพียงเพื่อต้องการจะได้รับผลประโยชน์จำนวนมหาศาล กระทั่งใช้การแต่งงานเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ก็ไม่ใช่ความแปลกประหลาดอะไร สิ่งที่ยาขู่พูดนั้นเคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าคุณชายที่มีชาติตระกูลหรือคุณหนูสูงศักดิ์ จะไปหลงรักหญิงขี้เหร่หรือชายยากจน ตระกูลก็จะไม่เห็นด้วยโดยเด็ดขาด หากจำเป็นจริงๆ คนในตระกูลก็จะส่งนักฆ่าออกไปจัดการ เพื่อหยุดยั้งความคิดของลูกหลาน ทำให้พวกเขาทำได้เพียงยอมรับการแต่งงานที่ตระกูลจัดเตรียมเอาไว้เท่านั้น เรื่องแบบนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่
หลิงอวี่สวิ๋นย่อมไม่ยินยอมที่จะเห็นพ่อของตนส่งคนไปฆ่าเย่เทียนเฉินแน่นอน เธอคิดเพียงต้องการจะช่วยเหลือเย่เทียนเฉิน จะอยากให้เย่เทียนเฉินตายไปได้อย่างไร? คำพูดนี้ย่าขู่ทำให้หลิงอวี่สวิ๋นเข้าใจทุกอย่างจนกระจ่างชัด ในช่วงเวลาเช่นตอนนี้ ยิ่งเธอใกล้ชิดกับเย่เทียนเฉินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลร้ายกับเย่เทียนเฉินมากเท่านั้น
เดิมทีเย่เทียนเฉินก็มีเรื่องกับคุณชายใหญ่ที่เป็นบุคคลลึกลับที่ยากจะคาดเดาอยู่แล้ว หากทำให้พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นต้องลงมืออีก ก็จะอันตรายมากขึ้น จะทำให้เข้าใกล้ความตายมากยิ่งขึ้น
“ดังนั้นความหมายของดิฉันก็คือ หากเย่เทียนเฉินสามารถโดดเด่นรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้ สามารถเอาชนะคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้ คุณก็สามารถอยู่กับเขาได้ หากเขาแพ้คุณก็ต้องหยุดความคิด ที่ดิฉันให้เขาบุกมาที่ตระกูลของพวกเรา ก็เพราะสาเหตุนี้ หากกระทั่งประตูใหญ่ของตระกูลหลิงยังเข้ามาไม่ได้ ก็ไม่อาจทำให้พ่อของคุณยอมรับให้คุณคบกับเขาได้!” ย่าขู่พูดอย่างเรียบเฉย
“เขาจะต้องไม่มีปัญหาแน่ ด้วยฝีมือของเขาในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะปกป้องตัวเองแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอย่างแน่วแน่
“คุณหนู ดิฉันว่าคุณอย่าได้มองโลกในแง่ดีเกินไปนัก ไม่ใช่ว่าดิฉันจะดูถูกเย่เทียนเฉิน ฝีมือของคนคนนี้แข็งแกร่งจริงๆ กระทั่งอาจจะเหนือกว่าฉันด้วยซ้ำ แต่คุณชายใหญ่ไม่เพียงแต่ลึกลับ แต่ยังมีฝีมือแข็งแกร่งยากที่จะรับมือ ที่สำคัญที่สุดก็คืออำนาจที่หนุนหลังเขายิ่งใหญ่มาก ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจเพียงใดก็เป็นเพียงคนคนเดียว สองหมัดยากที่จะต่อกรกับสี่หมัด!” ย่าขู่พูดแล้วส่ายหัว
ความจริงแล้วในใจของย่าขู่รู้สึกว่าการปะทะกันระหว่างคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงกับเย่เทียนเฉิน ทั้งสองต่างก็มีอัตราแพ้ชนะครึ่งต่อครึ่ง ด้วยเหตุนี้เธอจึงพูดเช่นนั้นกับเย่เทียนเฉิน เพื่อให้หลิงอวี่สวิ๋นเตรียมใจรอข่าวจากเย่เทียนเฉิน เธอไม่อยากให้หลิงอวี่สวิ๋นรับไม่ได้ในตอนที่ข่าวเรื่องที่เย่เทียนเฉินแพ้และคุณชายใหญ่ฆ่าเขามาถึง
การประมือกับเย่เทียนเฉินในตอนนั้น แม้ใบหน้าของย่าขู่จะไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร แต่ในใจกลับรู้สึกสั่นสะท้าน เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ แข็งแกร่งถึงขั้นลึกล้ำไม่อาจคาดเดา โดยเฉพาะการตะโกนนั้นที่สามารถลดทอนการโจมตีของเธอได้จนทำให้เขามีโอกาสหลบ ในเสียงตะโกนนั้นคละเคล้าไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง และลงมือมาอย่างกะทันหัน ราวกับอยู่ดีๆ มังกรเผือกที่กำลังจำศีลก็คำรามออกมา สั่นสะท้านจนมึนงง
“ไม่ หนูเชื่อมั่นในตัวเขา เขาจะเอาชนะคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงได้แน่นอน ต้องทำได้แน่นอน!” หลิงอวี่สวิ๋นพลันพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินที่เดินไปถึงประตูบ้านของตนเองแล้ว กำลังจะเคาะประตูเข้าไป ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีคนอยู่ด้านหลัง คนคนนี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้มาเยือน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งมาก
ฉัวะ!
ในตอนที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร วิธีการที่ดีที่สุดก็คือลงมือโจมตี ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อซัดอีกฝ่ายจนพ่ายแพ้ถึงจะไร้ข้อผิดพลาด เย่เทียนเฉินหมุนตัวพลางปล่อยมันออกไปด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ต่อให้ไม่มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันเจือปนอยู่ ก็ยังคงเป็นหมัดที่ไม่อาจดูเบาได้
ตู้ม!
หมัดทั้งสองปะทะกัน คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่เทียนเฉินไม่ได้ถอย แต่ใช้หมัดซัดเข้ามาเช่นเดียวกัน เพราะเขาไม่เคยถอยให้กับใคร ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินที่หลายคนคิดว่ามีความสามารถลึกล้ำเกินคาดเดาก็ตาม นอกจากนี้เขายังคิดที่จะสู้กับเย่เทียนเฉินสักครั้งมานานแล้ว อยากจะสั่งสอนไอ้หนูนี่ว่าอย่าได้ไม่เห็นยอดฝีมือทัพฟ้าอยู่ในสายตา
เย่เทียนเฉินและคนด้านหลังที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันประหมัดกันอย่างรุนแรง ทั้งสองถูกแรงปะทะจนถอยออกไปคนละสองก้าว ต่างก็มีสภาพพอกัน แน่นอนว่าทั้งสองไม่ได้ลงมือเต็มที่
“หึ จะช้าจะเร็วฉันก็ต้องอัดแกแน่!” ชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“หือ? แกอยู่ไหนน่ะ? ทำไมฉันมองไม่เห็น? อ้อ…ที่แท้แกก็ดำเกินไปนี่เอง!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสงสัยเต็มเปี่ยม
“แก…”
“บอกมาเถอะว่ามาหาฉันมีเรื่องอะไร? คงไม่คิดจะเลี้ยงบะหมี่ฉันใช่ไหม? บะหมี่ของเฮยเมี่ยน บะหมี่ดำ?”
เย่เทียนเฉินเล่นมุกไม่ฮาที่ดูงงๆ ออกมา บางทีหากคนอื่นมาได้ยินคงไม่ตลก แต่ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าเขานี้กลับโกรธจนจ้องเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ ต้องการที่จะลงมืออัดให้หนักๆ เพราะเขาก็คือเฮยเมี่ยนยอดฝีมือระดับทัพฟ้า
“จะช้าจะเร็วฉันก็ต้องอัดแกให้เละเป็นโจ๊ก!” เฮยเมี่ยนกำหมัดที่แข็งแกร่งดุจเหล็กจนส่งเสียงกรอบแกรบแล้วกัดฟันพูด
“มีอะไรก็พูดมา ฉันยุ่งมาก ยังต้องไปกินข้าวเย็นอีก!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
“แก…มีเรื่องหนึ่ง ต้องการให้แกไปกับฉัน…” เฮยเมี่ยนโกรธจนแทบกระอักเลือด แต่ยังคงพูดออกมาอย่างอดทน
“อะไรนะ? พี่เฮย ดูบ้างเถอะว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เกือบจะสองทุ่มเเล้ว ยังมีภารกิจอีก? องค์กรของพวกคุณจะไร้คุณธรรมเกินไปหรือเปล่า?”
เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างทนไม่ไหว เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมรับการควบคุมจากคนอื่น ต่อให้จะตอบรับคำของหยางอี้และผู้นำสูงสุดไปว่าหากมีเวลาก็จะทำเรื่องเพื่อชาติบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีเรื่องอะไรก็จะมาหาเขาได้ เย่เทียนเฉินเต็มใจจะทำหรือไม่ล้วนต้องดูอารมณ์ของเขาด้วย
หากคนอื่นรู้เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องตกใจจนคางร่วงแน่นอน ใครกล้าขัดคำสั่งของท่านผู้นำสูงสุดบ้าง? เกรงว่าทั่วทั้งประเทศจีนจะมีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวที่กล้ากระทำเช่นนี้กับคำสั่งของท่านผู้นำ และยังกล้าเอาอารมณ์ของตนเป็นที่ตั้ง
“ฉันไม่อยากจะมาพูดกับไอ้หนูอย่างแกแม้แต่ประโยคเดียว เพียงแต่จะบอกเรื่องคำสั่งของท่านผู้นำสูงสุดให้แกฟัง คำสั่งคือต้องการให้แกกับฉันไปคุ้มครองคนคนหนึ่งทั้งคืน เพราะหากคนคนนี้เกิดเรื่องขึ้น จะส่งผลคุกคามไปถึงความปลอดภัยของประเทศ จะไปหรือไม่ไป?” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“มีคนแบบนี้ด้วย? ไม่มีเขาแล้วโลกจะไม่โคจรรอบดวงอาทิตย์หรือไง? ใครล่ะ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างไม่พอใจ
“มู่หรงอวี๋ตู!” เฮยเมี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ
“มู่หรงอวี๋ตู? ไม่เคยได้ยินมาก่อน!” เย่เทียนเฉินโบกมือพลางพูดอย่างไม่พอใจ
“แก…ไอ้หนูอย่างแกไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรจริงๆ งั้นฉันจะบอกแกให้ ตระกูลมู่หรงหลายรุ่นสร้างผลงานยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความเป็นปึกแผ่นของประเทศไว้มาก ผู้อาวุโสมู่หรงอวี๋ตูกุมอำนาจทางการทหารทั้งหมดของภาคเหนือของจีนเอาไว้ในมือ เมื่อปีนั้นเพื่อที่จะปกป้องประเทศชาติ ลูกชายทั้งสี่คนของเขาต่างก็ตายในสนามรบ ตอนนี้เหลือหลานสาวเพียงคนเดียวก็คือมู่หรงซิน ดูเหมือนว่ามู่หรงซินจะถูกพิษ ผู้อาวุโสมู่หรงอวี๋ตูต้องการที่จะใช้พลังอำนาจทั้งหมด กระทั่งท่านผู้นำสูงสุดก็ยังใส่ใจเรื่องนี้ สุดท้ายจึงหาหมอเทวดาคนหนึ่งเจอที่เมืองเล็กๆ อันห่างไกลในเขตชานเมือง แต่ได้ข่าวว่าหมอเทวดาผู้นี้มีนิสัยสันโดษเอาแต่ใจ ในขณะเดียวกันก็มีคนคิดที่จะกำจัดผู้อาวุโสมู่หรงอวี๋ตูอย่างลับๆ เพื่อความปลอดภัยของเขาท่านผู้นำจึงตัดสินใจให้แกกับฉันไปคุ้มครองหลานสาวของท่าน!”
เฮยเมี่ยนอธิบายให้เย่เทียนเฉินได้ฟังถึงภารกิจในครั้งนี้ออกมารวดเดียว
“ในเมื่อมู่หรงอวี๋ตูมีอำนาจขนาดนั้น ข้างกายจะต้องไม่ขาดแคลนยอดฝีมือที่จะคุ้มครองเขาแน่ จะต้องใช้ฉันกับแกอีกทำไม แยกย้ายกันกลับบ้านไปนอนเถอะ!” เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งแล้วพูดออกมา
“หากมันง่ายอย่างที่แกพูดจริงๆ เรื่องนี้คงสำเร็จไปนานแล้ว ครั้งนี้อาจจะมียอดฝีมือมาลอบสังหารมู่หรงอวี๋ตู ยิ่งไปกว่านั้นการที่ส่งฉันกับแกไปคุ้มครองเขาก็เป็นน้ำใจของท่านผู้นำ และเป็นท่าทีของบุคคลระดับสูงด้วย!” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ยอดฝีมือ? กระทั่งขุนศึกระดับทัพฟ้าก็ออกโรงแล้ว ไม่รู้ว่ามู่หรงอวี๋ตูไปล่วงเกินใครเข้า ถึงกับกล้าส่งคนมาลอบสังหารเขา ดูแล้วยอดฝีมือที่ลอบโจมตีเขาคงจะแข็งแกร่งมาก!” เย่เทียนเฉินคิดแล้วพูดขึ้น
“จะไปหรือไม่ไปก็แล้วแต่ คำพูดของท่านผู้นำฉันบอกแกแล้ว ฉันเชื่อว่าด้วยความสามารถของฉันคนเดียว ต่อให้เป็นคนแข็งแกร่งขนาดไหนฉันก็สามารถหยุดมันได้!” เฮยเมี่ยนพูดอย่างหนักแน่น
“โม้ให้น้อยหน่อยเถอะ ไป ฉันจะไปเป็นเพื่อนแกเอง แต่แกต้องให้มู่หรงอวี๋ตูเลี้ยงข้าวฉันด้วย ฉันยังไม่ได้กินข้าวเย็น!” เย่เทียนเฉินคิดแล้วพูดออกมา
“แกก็ไปพูดกับท่านผู้อาวุโสมู่เองเถอะ ฉันไม่มีหน้าจะทำแบบนั้น!” เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินอย่างเอือมระอา
………………………..