เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 236 น้องสาวแกสิ ยังมีคนไม่พอใจอีกหรือเปล่า?
หลัวเยี่ยนมองเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก รู้ว่าเขาพูดจามีเหตุผล ความจริงหลัวเยี่ยนจะมองไม่ออกได้อย่างไร คนตระกูลหลัวเหล่านี้ไม่เห็นเธอและเย่เทียนเฉินเป็นญาติมิตรเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่ที่เธอกับลูกชายเดินเข้าตระกูลหลัวมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ทำเหมือนกับพวกตนสองคนเป็นคนนอก ไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์เครือญาติเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครเคยพูดแม้แต่คนเดียวว่า ไม่ว่าจะอย่างไรทุกคนก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ถึงจะทะเลาะเบาะแว้งกันกระทั่งแขนขาหักก็ไม่ควรที่จะใช้มีดใช้ปืน
ในสายตาของคนตระกูลหลัวเหล่านี้ เธอหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูก ก็เป็นเพียงคนนอกสองคน เป็นคนสองคนที่จะทำอย่างไรก็ได้ ถึงแม้ดูถูกว่าเป็นคนนอก แต่ตอนนี้เพื่อกล่องหยกหงส์มังกร ถึงไม่เสียดายที่จะพลิกสีหน้า กระทั่งต้องการที่จะเรียกผู้คุ้มกันมาเพื่อจับพวกเธอสองแม่ลูกไป ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากยังสงบนิ่งอยู่ ก็คงเป็นไอ้โง่จริงๆ แล้ว
แรกเริ่มเดิมที ในใจของหลัวเยี่ยนยังคงมีความคาดหวังอยู่บ้าง ไม่ว่าจะอย่างไรทุกคนก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อให้ก่อเรื่องร้ายแรงขนาดไหน ต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน คงไม่ทำอะไรตนเองแน่ ไหนเลยจะรู้ว่า ตอนนี้เพียงเพื่อกล่องหยกหงส์มังกร พวกเขาจะก่นด่าและกระทั่งลงมือโดยไม่เสียดาย ต้องการที่จะลากตัวตนและลูกชายออกไป นี่ยังจะให้เธอคิดอย่างอื่นได้อีกหรือ?
ความจริงแล้ว หลัวเยี่ยนไม่ใช่คนโง่ กลับเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเป็นอย่างมากด้วยซ้ำ เธอกลับมาที่ตระกูลหลัวเพียงเพราะต้องการที่จะดูใจคุณย่าที่ใกล้จะจากโลกนี้ไปเป็นครั้งสุดท้าย ไม่คิดที่จะมาสานสัมพันธ์อะไรกับตระกูลหลัวอีก เธอเองก็รู้ดีว่าคนตระกูลหลัวเหล่านี้เห็นเธอเป็นศัตรู โดยเฉพาะหลัวฉีผู้เป็นพี่และหลัวเสียนเม่ยน้องสาว ในตอนที่คุณย่าต้องการที่จะมอบกล่องหยกหงส์มังกรให้ตนเองเพื่อเป็นของขวัญแต่งงาน หลัวเยี่ยนก็คิดแล้วว่าจะทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรไว้ที่นี่ จะไม่แย่งชิงกับคนของตระกูลหลัว แต่ตอนนี้เมื่อดูแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทิ้งเอาไว้โดยสิ้นเชิง หากว่าทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ที่นี่ คงจะทำให้คนเหล่านี้แย่งกันอย่างรุนแรง จะเป็นการทำร้ายน้ำใจของคุณย่าให้เสียเปล่า
“อืม อย่าได้ถึงขั้นเอาชีวิตใครเลย ยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน!” หลัวเยี่ยนกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
“ได้ครับคุณแม่ มีคำพูดนี้ของแม่ผมก็วางใจแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดพลางหัวเราะฮี่ๆ
ใครก็คิดไม่ถึงว่า สองแม่ลูกหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินที่เดิมทียังถูกคนรุมล้อมและสอบสวน ตอนนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทไปอย่างเชื่องช้า จุดสำคัญเป็นเพราะเย่เทียนเฉินไม่ทำตามเหตุผลตามปกติ ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนเพ่งเล็ง ก็ยังลงมือทำร้ายจางอวิ๋นและหลัวเสียนเม่ย ทำให้ทุกคนต่างต้องสั่นสะท้าน
บางครั้งการใช้กำลังก็เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ไม่เลวเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เย่เทียนเฉินจึงได้ลงมือ ทำให้คนตระกูลหลัวเหล่านี้ตกตะลึง ไม่ต้องพูดอะไรพวกเขาก็กลัวแล้ว สำหรับคนที่ยโสโอหังจนเคยตัวแบบนี้ โดยเฉพาะสำหรับคนที่มาจากตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลัว ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เคยเห็นสถานการณ์ที่ลงมือทำร้ายคนอย่างรุนแรงแบบนี้มาก่อน เพราะไม่มีใครกล้าลงมือกับคนอย่างพวกเขา ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินลงมือทำร้ายสองแม่ลูกจางอวิ๋นอย่างรุนแรงขึ้นมากระทันหัน ต่างก็ถูกทำให้สั่นสะท้าน โดยเฉพาะจางอวิ๋นในตอนนี้ที่ถูกอัดจนหัวแตกเลือดไหล
ในเมื่อหลัวเยี่ยนเห็นด้วย เย่เทียนเฉินก็ยิ่งออกมือออกเท้าอย่างสบายอารมณ์ เมื่อสักครู่นี้เขาแค่ลองดูเท่านั้น จะอย่างไรเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กับไอ้แก่โง่เง่าแห่งตระกูลหลัวเหล่านี้อยู่แล้ว และไม่มีความประทับใจใดๆ เลย จุดสำคัญก็คือที่นี่เป็นบ้านเดิมของแม่ อีกทั้งหลัวเยี่ยนก็ค่อนข้างใจดี จึงไม่อยากทำให้เธอต้องลำบากใจ ตอนนี้สบายใจแล้ว แม่ก็เข้าใจแล้วว่าคนกลุ่มนี้ไม่เห็นเธอเป็นคนกันเอง กระทั่งคิดจะเรียกผู้คุ้มกันเข้ามา นี่มากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงปัญหาอย่างชัดเจน หากตนเองยังเกรงใจและอดทนเช่นนี้ต่อไป เป็นไปได้มากว่าจะตาย ไม่สู้ให้ลูกชายจัดการยังจะดีกว่า
“ยังมีไอ้ตัวไหนที่มันไม่รู้จักดีชั่วอีกหรือเปล่า ใครต้องการที่จะให้พวกเราแม่ลูกทิ้งของเอาไว้อีก? ก้าวออกมา!” เย่เทียนเฉินยิ้มเล็กน้อย กวาดตามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่แล้วเอ่ยถาม
“ไอ้เดรัจฉานน้อย แกจะโอหังเกินไปแล้ว กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัวของพวกเรา ต่อให้มีอีกกี่ชีวิตก็ไม่พอ”
“รีบเรียกคุ้มกันมาเดี๋ยวนี้ จับไอ้เวรตะไลนี่ออกไปฆ่าให้ตายซะ!”
“จะต้องยิงมันให้ตาย คนนอกคนเดียวกล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลหลัว หากข่าวแพร่ออกไป พวกเราตระกูลหลัวจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ท่าทางคงไม่ง่ายแค่ทิ้งกล่องหยกหงส์มังกรเอาไว้ที่นี่แล้ว ยังต้องจับสองแม่ลูกที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคู่นี้ไปด้วย!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ญาติผู้ใหญ่ทั้งหลายของตระกูลหลัวต่างก็โกรธจนปอดแทบระเบิด ตระกูลหลัวสามารถรุ่งเรืองมาจนถึงขั้นนี้ได้ ตำแหน่งของพวกเขาย่อมไม่ต่ำต้อย เคยมีใครกล้ามาด่าพวกเขาแบบนี้ที่ไหนกัน? โดยเฉพาะเย่เทียนเฉินที่ลงมือถึงสองครั้งสองคราว ทำร้ายจางอวิ๋นและแม่ของเขา ถึงแม้แม่ลูกคู่นี้จ้ะทำให้ผู้อื่นโกรธก่อน แต่คนตระกูลหลัวเหล่านี้ก็ใจแคบหาได้เปรียบ พวกเขาย่อมต้องเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกันอยู่แล้ว เพราะมีเพียงทำแบบนี้ถึงจะสามารถได้รับของหยกหงส์มังกร รอให้ได้ส่งหยกหงส์มังกรมาก่อน ถึงจะเป็นสงครามภายในของพวกเขา
“แม่งเอ้ย ไอ้พวกตาแก่ตายยากอย่างพวกแกพูดพอหรือยัง? ใครที่มีปัญหาก็ก้าวออกมา!” เย่เทียนเฉินยืนอยู่ข้างกายหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ ตะโกนออกมาด้วยท่าทางโอหังเต็มที่
เย่เทียนเฉินก็เป็นคนแบบนี้ ในเมื่อพวกคุณไม่เห็นผมกับแม่เป็นญาติพี่น้อง ไม่เพียงแต่ต้องการสิ่งของที่ยายทวดให้ไว้ แต่ยังทำท่าจะจัดจับตายผมกับแม่อีก งั้นจะให้ผมเกรงใจอะไร? แม่เป็นคนดี แต่ผมเย่เทียนเฉินไม่ใช่คนดีอะไร ในสังคมแบบนี้ คนดีก็จะถูกมองว่าโง่ จะถูกผู้คนคิดว่ารังแกได้ง่าย และจะทำได้แค่ถูกรังแกหนักยิ่งกว่าเก่า วันนี้บิดาจะสอนไอ้แก่อย่างพวกคุณ ถ้าต้องการไล่พวกเราแม่ลูกออกไปจากตระกูลหลัวอย่างสะดวกสบายเหมือนเมื่อปีนั้น ก็จะต้องจ่ายผลตอบแทนออกมาบ้าง
“แกจะโอหังเกินไปหรือเปล่า คิดว่าตระกูลหลัวไม่มีปัญญาทำอะไรแกจริงๆ หรือไง? แกนับเป็นตัวอะไรได้…” ตอนนี้เองชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินก้าวออกมา มองเย่เทียนเฉินแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“งั้นฉันขอถามแกสักหน่อย แล้วแกเป็นตัวอะไรได้ล่ะ?” เย่เทียนเฉินหาวครั้งหนึ่งแล้วถามออกมา
“หึ ฉันอายุมากกว่าแกรอบหนึ่ง ได้เป็นสมาชิกกรรมาธิการแห่งเมืองหลวงแล้ว หากพูดถึงความอาวุโส แกควรจะเรียกฉันว่าลุง…สอง…”
เพี๊ยะ!
คำพูดของชายวัยกลางคนผู้นั้นยังไม่ทันจะพูดจบก็ถูกเย่เทียนเฉินตบหน้าจนกระเด็นออกไป คนคนนี้เสนอหน้าออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เพ่งเล็งตนเองกับแม่มาก กล่าวได้ว่าเป็นรองเพียงแค่สองแม่ลูกโง่งมหลัวเสียนเม่ยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นบนร่างของคนผู้นี้ยังมีไอสังหารออกมา เมื่อครู่นี้คนที่วิ่งออกไปเรียกผู้คุมกันก็คือเขา ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
“แก…รนหาที่ตาย…ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ หรือไง?” ชายวัยกลางคนที่ถูกเย่เทียนเฉินตบจนทรุดลงกับพื้น ตะโกนออกมาอย่างงุนงนแต่ยังคงโอหังเหมือนเดิม
พลั่ก!
อีกครั้งหนึ่งแล้ว เย่เทียนเฉินใช้เท้าเตะชายวัยกลางคนออกไป เตะจนปลิวออกไปนอกประตูห้องโถง เตะจนออกไปนอกประตู การเตะครั้งนี้รุนแรงมาก ทำให้ชายวัยกลางคนที่ค่อนข้างอวบคนนี้กระเด็นไปหลายเมตร ตกลงบนบันไดนอกห้องโถงอย่างรุนแรง กรีดร้องออกมาอย่างน่าอนาถ ลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป ทำให้หลายคนที่ได้เห็นต่างนิ่งอึ้ง ในใจคิดว่า เย่เทียนเฉินคนนี้โง่หรือไง? ทำร้ายคนท่ามกลางตระกูลหลัวครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นตระกูลหลัวเป็นที่ที่อยากมาก็มาอยากไปก็ไปจริงๆ หรือ? คิดว่าหลังจากที่ผู้คุ้มกันของตระกูลหลัวมาถึงจะไม่กล้ายิงพวกเขาให้ตายจริงๆ หรือ?
“น้องสาวแกสิ ยังมีใครไม่พอใจอีกหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินมองไปยังชายวัยกลางคนที่กำลังกรีดร้องอยู่นอกประตูด้วยความไม่พอใจ จากนั้นจึงมองชายชราคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่อีกครั้ง เอ่ยปากถามออกมาอย่างเรียบเฉย
ความจริงช่างอยู่นอกเหนือการคาดเดาของทุกคนไปมากเหลือเกิน เดิมทีคิดว่าหลัวเยี่ยนและเย่เทียนเฉินจะต้องมอบกล่องหยกหงส์มังกรออกมาภายใต้การบีบบังคับของทุกคนและจากไปด้วยความอัปยศแน่นอน กล่าวได้ว่านั่นจะทำให้ทุกคนมีความสุขมาก ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะใช้วิธีการเช่นนี้ ใช้กำปั้นไม่ใช้เหตุผล ทำให้ทุกคนหุบปาก แต่ไม่กล่าวไม่ได้ว่า วิธีนี้ใช้ได้ผลมากจริงๆ การจะรับมือกับชายชราที่เห็นตัวเองเป็นใหญ่พวกนี้ ถ้าไม่สั่งสอนพวกเขา คนที่อยู่มาจนอายุขนาดพวกเขาแล้วคงไม่มีใครกล้าลงมือสั่งสอนพวกเขาแน่
“แกไม่คิดว่าตัวเองจะทำเกินไปหรือไง? จะรนหาที่ตายก็ต้องดูเวลาด้วย!” หลัวฉีมองเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินมหลัวฉีแวบหนึ่ง แสร้งทำสายตาไม่สบอารมณ์ ขมวดคิ้วอย่างนึกสนุกแล้วพูดขึ้นว่า “แกกำลังพูดอยู่หรือไง? แม่งเอ๊ย แกไม่พอใจก็ไสหัวออกมาให้บิดานี่…”
“แก…”
หลัวฉีโกรธจนแทบจะกระอักเลือด จะอย่างไรตัวเองก็จะต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลหลัวคนต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นตนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งกลางสุดก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไร นี่เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่กล้าล่วงเกินตนเอง แต่เย่เทียนเฉินถึงกับกล้าทำท่าไม่พอใจแบบนี้ ทำให้หลัวฉีอดไม่ได้ที่จะโกรธจนแทบเต้นเร่าๆ
“อย่ามาแกๆ ฉันๆ อะไรอยู่เลย มีความสามารถก็มาสู้กันตัวต่อตัว บิดาจะอัดแกให้เอ๋อไปเลย!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดต่อไปอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนตระกูลหลัวกลุ่มนี้ เย่เทียนเฉินก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากความ กับคนพวกนี้ไม่มีอะไรต้องพูด ถ้าคุณไม่แสดงความแข็งแกร่ง พวกเขาก็จะถือโอกาสนี้กัดกินคุณ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงเลือกที่จะลงมือ ลงมืออย่างเฉียบคม ถ้าไม่สั่งสอนคนพวกนี้สักหน่อย พวกเขาก็จะไม่หวาดกลัว และจะไม่ยอมปล่อยตนและแม่ออกไปแน่
“ดีๆ ๆ …น้องสาว ในเมื่อลูกของแกร้ายกาจขนาดนี้ โอหังขนาดนี้ ก็อย่ามาตำหนิพี่ใหญ่อย่างฉันว่าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน ฉันจะให้แกรู้ถึงกฎบ้านตระกูลหลัว ให้แกได้รู้ว่าคำว่าตายสะกดยังไง!” หลัวฉีมีสีหน้าดุดัน มองไปยังหลัวเยี่ยนแล้วพูดออกมาด้วยความโกรธจนกลายเป็นรอยยิ้ม
“บิดาบอกว่าแกเป็นไอ้เอ๋อ แกก็เอ๋อจริงๆ เล่นลูกไม้นี้ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ แกเคยเห็นแม่ของฉันเป็นน้องสาวมาก่อนหรือไง? คิดจะลงมือก็เร็วๆ หน่อย อย่าได้หาข้ออ้างอะไร บิดายุ่งมาก!” เย่เทียนเฉินพูดแทรก เขารู้ว่าแม่อาจจะใจอ่อน เมื่อถึงตอนนั้นเรื่องที่ตนกระทำไปก่อนหน้านี้ก็คงจะสูญเปล่า เขาจะต้องแสร้งทำเป็นทายาทโง่เขลา แกล้งทำเป็นยโสโอหัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนตระกูลหลัวมาสร้างความวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่าหลังจากที่ออกไปจากตระกูลหลัวได้
“แก…ฉันจะทำให้แกตาย!” หลัวฉีทนไม่ไหวอีกต่อไป ทันใดนั้นจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง ชี้ไปที่เย่เทียนเฉินแล้วตะโกนขึ้นอย่างดุดัน
ตอนนี้เอง มีผู้คุมการกลุ่มหนึ่งพุ่งเขามาจากนอกประตูห้องโถงใหญ่ ทุกคนต่างพกอาวุธปืน นี่คือสัญลักษณ์ที่ตระกูลถหลัวสามารถกลายเป็นตระกูลใหญ่แบบนี้ได้ ในเมืองหลวงมีตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่บางกลุ่มที่บอดี้การ์ดของตระกูลสามารถพกอาวุธปืนได้ หรือกระทั่งมีบอร์ดี้การ์ดเป็นทหาร ก็เหมือนกับตระกูลฉินและตระกูลลั่ว แต่หากต้องการมาถึงขั้นนี้จะต้องมีบุคคลที่มีตำแหน่งสูงในด้านการเมืองและด้านการทหารอยู่ในตระกูลด้วย
ดังนั้นกล่าวได้ว่า ตระกูลหลัวทที่ไม่ใช่ตระกูลใหญ่ทางด้านการเมือง และไม่ใช่ตระกูลใหญ่ทางด้านการทหาร แต่สามารถมีผู้คุ้มกันที่พกพาอาวุธปืนมากกว่าร้อยคนได้แบบนี้ มากเพียงพอที่จะกลายเป็นกองทหารกองหนึ่ง จินตนาการได้เลยว่าตระกูลหลัวมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ขนาดไหน
“พี่ ยังจะพูดกับไอ้เดรัจฉานสองแม่ลูกอยู่ทำไม ฆ่าพวกมันซะ!”
หลัวเสียนเม่ยและจางอวิ๋นเห็นว่าผู้คุ้มกันพกอาวุธปืนของตระกูลพุ่งเข้ามาแล้ว ใบหน้าก็ปรากฏความโอหังอีกครั้ง โอหังจนไม่เห็นหัวใคร คิดว่าต่อหน้าผู้คุ้มกันถือปืนเหล่านี้ เย่เทียนเฉินจะไม่กล้าลงมืออย่างแน่นอน เช่นนี้ก็จะสามารถถือโอกาสฆ่าเย่เทียนเฉินและหลัวเยี่ยนได้
………………………………..