เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 251 ไม่ทำให้ครอบครัวต้องกังวล
จดหมายท้ารบที่มาจากตระกูลเซวียนเยวี๋ยน และเรียกได้ว่าเป็นการลอบโจมตีที่ทรงอำนาจจากตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ทำให้ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกตื่นตะลึง ตั้งแต่ได้มาเกิดใหม่จนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับการท้ารบที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ในใจ ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งจดหมายมาเพียงฉบับเดียวเท่านั้น เพียงแต่จดหมายฉบับนี้กลับสามารถระเบิดเขตคฤหาสน์ทั้งเขตได้เลยทีเดียว เห็นได้ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแข็งแกร่งมากขนาดไหน และสิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ การแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนจะมาถึงเร็วขนาดนี้ อีกทั้งยังมียอดฝีมือแบบนี้อยู่อีกด้วย ดูท่าตนจะต้องระมัดระวังให้มากสักหน่อย
เมื่อตอนนั้นหลิงอวี่สวิ๋นเคยพูดเรื่องตระกูลเซวียนเยวี๋ยนกับเย่เทียนเฉินมาก่อนแล้ว นี่เป็นตระกูลในโลกเบื้องหลังตระกูลหนึ่งที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ส่วนจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนนั้นกลับไม่มีใครรู้ แต่คนที่พอมีตำแหน่งอยู่บ้างต่างก็รู้ว่า ในประเทศจีนมีตระกูลที่ปิดซ่อนตัวตนอยู่จำนวนหนึ่ง ตระกูลเหล่านี้ต้องปิดซ่อนตัวตน โดยปกติเป็นเพราะมีอำนาจแข็งแกร่งเกินไป จึงกลัวว่าจะถูกรัฐบาลโจมตี
จินตนาการได้เลยว่า ในฐานะที่เป็นตระกูลที่แข็งแกร่งมากตระกูลหนึ่ง แข็งแกร่งจนต้องปิดซ่อนตัวตน เพื่อหลีกหนีจากนโยบายของประเทศ ต่อให้ตระกูลนี้ไม่ค่อยเท่าไหร่แต่ก็ยังมีอำนาจที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงได้
เย่เทียนเฉินเก็บโล่พลังพิเศษของตนกลับมา และสลายพลังเขตแดนปิดกั้น มองไปในห้องนอน เมื่อพบว่าไม่มีที่ใดแปลกไปถึงได้วางใจลงไม่น้อย หลัวเยี่ยนเคาะประตูอยู่ข้างนอก เห็นได้ชัดว่ารู้สึกสงสัยและไม่วางใจ เย่เทียนเฉินย่อมไม่สามารถบอกครอบครัวได้ว่านี่เป็นการแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน และยังเป็นวิธีการแก้แค้นที่เอาแต่ใจเป็นอย่างมาก ปัญหาเหล่านี้เขาจะแก้ไขด้วยตัวเองเพียงลำพัง เขาคิดว่าไม่อาจให้คนใกล้ชิดของตนได้รับรู้ถึงการคุกคามนี้แม้แต่ครึ่งส่วน
เขาจัดการอารมณ์ของตนเอง ไม่คิดถึงบุคคลที่มีพลังพิเศษอันแข็งแกร่งและเข้มข้นที่อยู่ในจดหมายชั่วคราว ตกลงแล้วแข็งแกร่งมากเพียงใด มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งขนาดไหน กระทั่งโล่พลังพิเศษของตนก็ยังสามารถทำลายได้ ขนาดเขตแดนปิดกั้นก็ยังสามารถระเบิดออกมาได้ คนคนนี้จะต้องเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแน่นอน และเป็นหนึ่งในศัตรูที่ต้องกำจัดมากที่สุดของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน
“เทียนเฉิน เป็นอะไรไปลูก?” หลัวเยี่ยนเคาะประตูเรียกด้วยความร้อนใจต่อไป
“แม่ครับ อย่ารบกวนตอนที่ผมอ่านจดหมายรักได้ไหม? ไม่ง่ายเลยกว่าที่ลูกชายของแม่จะมีแฟน!” เย่เทียนเฉินเปิดประตูห้องนอนออกมา แสร้งทำเป็นพูดขึ้นด้วยท่าทางจนใจ
หลัวเยี่ยนมองลูกชาย ความจริงแล้วเธอรู้สึกว่าตั้งแต่ลูกชายกลับมาที่เมืองหลวงก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่เพียงแต่รู้ความขึ้น แต่ยังมีความทะนงตนและเอาแต่ใจ มีความกล้าหาญไม่กลัวเกรงในอำนาจ เรื่องที่เขากระทำทั้งหลายและยังมีตอนที่อยู่ที่บ้านตระกูลหลัวนั้น หลัวเยี่ยนเห็นลูกชายแสดงความสามารถในการต่อสู้ออกมากับตาของตน นั่นข้ามผ่านจินตนาการของคนธรรมดาอย่างพวกเธอไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่แตกต่างอะไรกับฉากต่อสู้ในภาพยนตร์ ถ้าหากหลัวเยี่ยนไม่ใช่คนที่เติบโตมาจากตระกูลใหญ่ตั้งแต่เด็ก และได้เห็นยอดฝีมือที่มีพลังแปลกๆ มาบ้าง คงจะถูกทำให้ตกใจไปแล้ว
แต่ว่าเพราะเป็นเช่นนี้ ในใจของหลัวเยี่ยนจึงเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นลูกชายจะร้ายกาจขนาดนี้ ไม่เห็นจะมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ ดูท่าเย่เทียนเฉินผู้เป็นลูกได้ไปเป็นทหารมารอบหนึ่งแล้ว ไม่เพียงแต่จะได้รับการฝึกฝนวินัยทหารที่เข้มงวดจนกลายเป็นรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาแค่นั้นแน่นอน
“เทียนเฉิน นั่นเป็นจดหมายรักจริงๆ หรือ? ถึงแม้ว่าแม่จะแก่แล้วแต่ก็ไม่ได้โง่ ลูกบอกกับแม่มาตามตรงเถอะ ตกลงแล้วเกิดเรื่องอะไรกันแน่?” หลัวเยี่ยนมองตาของเย่เทียนเฉิน เอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างจริงจัง
เย่เทียนเฉินเองก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าแม่ฉลาดมาก นี่เป็นผู้หญิงที่เคยเกือบจะได้เป็นผู้นำตระกูลหลัว จะไม่ฉลาดและมีความสามารถได้อย่างไร? เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าแม่จะถามตนออกมาตรงๆ แบบนี้
“แม่ครับ เป็นจดหมายรักจริงๆ แม่คิดมากเกินไปแล้ว ผมเองก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน ไม่คิดว่าเธอจะใช้วิธีแบบนี้ ถึงกับเขียนจดหมายรักมาให้ลูกชายของแม่เลย…” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ มองไปยังหลัวเยี่ยนแล้วพูดขึ้น
“งั้นเหรอ? งั้นใครเป็นคนส่งจดหมายรักให้ลูก?” หลัวเยี่ยนถามอย่างไม่เชื่อ
“แม่ครับ เรื่องนี้แม่อย่าถามเลย…ให้ความเป็นส่วนตัวกับผมหน่อยได้ไหมครับ?” เย่เทียนเฉินแสร้งพูดด้วยท่าทางหดหู่
ในตอนนี้เย่เทียนเฉินดันหลัวเยี่ยนออกไปจากห้องนอนของตนโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้การระเบิดของพลังพิเศษที่รุนแรงเมื่อสักครู่นี้จะถูกเขตแดนปิดกั้นที่เย่เทียนเฉินใช้ ควบคุมไว้หมดแล้ว แต่เขาก็ยังกลัวว่าจะมีส่วนที่เขายังไม่เห็น สำหรับเรื่องที่ห้องนอนของเขามีความเสียหายเล็กน้อย หลัวเยี่ยนที่ฉลาดเฉลียวและละเอียดรอบคอบจะต้องมองออกอย่างแน่นอน จึงกลัวว่าจะทำให้เธอรู้สึกกังวลมากขึ้น
“เทียนเฉิน ไม่ใช่ว่าแม่จะละราบละล้วงความเป็นส่วนตัวของลูก แต่ว่าไม่วางใจ แม่แค่ต้องการให้ลูกอยู่อย่างสงบปลอดภัยเท่านั้น!” หลัวเยี่ยนพูดอย่างจริงใจ
“แม่ครับ แม่คิดมากเกินไปแล้วจริงๆ เอาล่ะ ผมจะบอกแม่แล้วกัน นี่เป็นจดหมายที่หลิงอวี่สวิ๋นเขียนให้ผม โอเคไหมครับ? นี้เป็นความลับนะ แม่อย่าได้ไปบอกคนอื่นเชียว โดยเฉพาะเชี่ยนเหวินยัยเด็กปากมากคนนั้น ผมกลัวว่าเธอจะมาทำลายเรื่องดีๆ ของผม!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงเบาด้วยท่าทางลึกลับ
ไม่ว่าจะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็ไม่สามารถบอกแม่ได้ว่านี่เป็นจดหมายท้ารบจากตระกูลเซวียนเยวี๋ยน ถ้าพูดไปแบบนั้นจะทำให้แม่รู้สึกกังวลใจมาก ไม่มีข้อดีอะไรเลย และไม่มีประโยชน์อะไรด้วย มีแต่จะทำให้ครอบครัวรู้สึกหวาดกลัว ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษก็ไม่สามารถบอกหลัวเยี่ยนได้ เธอจะต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน
ในเมื่อได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้แล้ว เย่เทียนเฉินก็ตัดสินใจจะรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างนานแล้ว เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่มีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ แล้วเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าในช่วงยุคสิ้นโลก นิสัยของเขา ความเด็ดเดี่ยวของเขา การตัดสินใจที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญของเขา ไม่มีใครมาทำลายได้ และไม่มีใครมาขวางได้
“จริงเหรอ? อวี่สวิ๋นกับลูก…” หลัวเยี่ยนรู้สึกคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นจะพัฒนาไปถึงขั้นนี้แล้ว ถึงขั้นส่งจดหมายรักหากัน นี่เป็นเรื่องที่เธอคาดไม่ถึงจริงๆ แต่เมื่อได้ยินลูกชายพูดแบบนี้แล้วในใจก็รู้สึกยินดี นี่ไม่ใช่ว่าเธอเป็นพวกได้ใหม่ลืมเก่า ไม่ใช่ว่าได้ยินว่าลูกชายกับหลิงอวี่สวิ๋นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็ไม่อยากจะได้ฉีหรูเสวี่ยมาเป็นลูกสะใภ้แล้ว เพียงแต่คนเป็นแม่คนไหนบ้างที่ไม่อยากให้ลูกชายของตนได้มีชีวิตราบรื่น มีผู้หญิงห้อมล้อมให้มากสักหน่อย?
สำหรับหลิงอวี่สวิ๋น ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเย่และตระกูลหลิงก็ไม่เลวเลย อยู่ในซอยเดียวกัน สองตระกูลอยู่บ้านตรงกันข้าม ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่าเป็นคนที่อยู่ด้วยกันทั้งเช้าค่ำ เป็นช่วงเวลาที่ไม่เลวเลยจริงๆ ส่วนเย่เทียนเฉินกับหลิงอวี่สวิ๋นก็มีความสัมพันธ์การตั้งแต่เล็กจนโต เป็นคนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ในตอนเด็กก็เล่นพ่อแม่ลูกกันหลายครั้ง มากเพียงพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่จดจำเอาไว้ในใจ
“แม่ครับ ยังไม่ถึงขั้นที่แม่คิดหรอก เพียงแต่ลูกชายของแม่เกิดมาหล่อจริงๆ มีผู้หญิงสวยๆ มาหลงรัก ผมเองก็ไม่มีทางเลือก!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างหน้าด้าน
เมื่อได้ยินลูกชายพูดแบบนี้ หลัวเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าเธอเชื่อในคำพูดของเย่เทียนเฉินและเบาใจเรื่องหาคู่ชีวิตให้เย่เทียนเฉินลงไปไม่น้อย จะอย่างไรหลัวเยี่ยนก็ไม่ได้เสแสร้ง แต่กังวลเรื่องการแต่งงานของเย่เทียนเฉินจริงๆ เพราะกลัวว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ลูกชายกลับไปมีนิสัยเรื่อยเฉื่อยเสเพลแบบเดิม ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แย่มาก
เย่เทียนเฉินจับไหล่แม่แล้วเดินลงไปชั้นล่าง ในตอนที่เดินมาถึงในห้องโถงก็พบว่าเหลือเพียงฉีหรูเสวี่ยกดรีโมทโทรทัศน์อยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “น้องสาวของฉันล่ะ?”
“พี่ ถ้าไม่ใช่ว่าพี่จะต้องไปเดินเล่นเป็นเพื่อนพี่สาวหรูเสวี่ย หนูก็ขี้เกียจจะช่วยพี่ล้างจานแล้วนะ จำไว้ด้วยว่าค่าขนมเดือนนี้จะต้องเพิ่มให้หนู 100 หยวน!” เย่เชี่ยนเหวินวิ่งออกมาจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว มองไปยังพี่ชายของตนอย่างดุดันแล้วพูดขึ้น
“ไม่ได้หรอก เรื่องการไปเดินเล่นเป็นเพื่อนหรูเสวี่ยเป็นคำสั่งของคุณแม่ พี่เองก็ทำเพื่อแม่ ถ้าต้องการค่าขนมก็ไปหาแม่เถอะ มาหาพี่ก็ไม่มีประโยชน์!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“พี่…แม่คะ ดูสิพี่แกล้งหนูอีกแล้ว จะขี้งกเกินไปแล้ว!” เย่เชี่ยนเหวินพูดขึ้น โกรธจนกระทืบเท้า
“พวกลูกสองคนนี่ หยุดพักให้แม่บ้างเถอะ เชี่ยนเหวิน หลังจากล้างจานเสร็จก็ไปทำการบ้านซะ เทียนเฉิน ตอนนี้ลูกก็ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนหรูเสวี่ยได้แล้ว ห้ามรังแกคนอื่น!” หลัวเยี่ยนพูดออกมาด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง
“หึ พี่ชายขี้งก แบร่!” เย่เชี่ยนเหวินแค่นเสียงออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงทำหน้าทะเล้นใส่เย่เทียนเฉิน แล้วเดินเข้าไปล้างจานในห้องครัวต่อ
“แม่ครับ ถ้าหากว่าหรูเสวี่ยรังแกผมจะทำยังไง?” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ เขาไม่อยากให้แม่คิดเรื่องจดหมายฉบับนั้นอีก
“ลูกก็ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ หรูเสวี่ยเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ขนาดนั้นจะรังแกลูกได้ยังไง? รีบไปเถอะ จะได้กลับมาให้เร็วหน่อย!” หลัวเยี่ยนกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ผมจะทำตามคำสั่งของแม่อย่างระมัดระวังเลยครับ!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ฉีหรูเสวี่ยและเย่เทียนเฉินเดินออกไปนอกคฤหาสน์ตระกูลเย่ ระหว่างทางตอนแรกสุดทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกัน เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังไม่เข้ากับนิสัยของคนทั้งสอง ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนพอเจอหน้ากันก็ทะเลาะ ตอนนี้ต่อให้ฟ้าถล่มทั้งสองก็ยังไม่ยอมพูดกัน
เย่เทียนเฉินกำลังคิดถึงเรื่องจดหมายฉบับนั้น ไม่ใช่ว่าเขากลัวการแก้แค้นของตระกูลเซวียนเยวี๋ยน เขาได้คิดวิธีการรับมือแล้ว เพียงแต่กำลังพิจารณาว่าคนที่มีพลังแข็งแกร่งและสามารถบีบอัดพลังลงไปในจดหมายได้ จะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ถ้าหากตนเองทำแบบนี้บ้างจะทำได้หรือไม่? ส่วนฉีหรูเสวี่ยกำลังคิดว่า ตนเองรักเย่เทียนเฉินเข้าจริงๆ แล้ว ตอนนั้นที่อยู่ในห้องครัวจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดสถานการณ์ที่ตนไปยั่วยวนเขา แล้วเขาจะใจเต้นหรือเปล่า? หรือบางทีอาจจะเรียกได้ว่ามีความรู้สึกหรือเปล่า? ตนพยายามไล่ตามความสุขของตนอย่างสุดความสามารถ จะประสบความสำเร็จหรือไม่?
“อา!”
ทันใดนั้นเอง ฉีหรูเสวี่ยร้องออกมา เนื่องจากไม่ทันระวังทำให้สะดุดก้อนหินจนล้ม ร่างกายเซไปเบื้องหน้า เย่เทียนเฉินได้สติกลับมาจึงกอดฉีหรูเสวี่ยเอาไว้ด้วยความว่องไว ทั้งสองถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันทำให้ชะงักไป ในเวลาเพียงวันเดียวถึงกับกอดกันสองครั้งแล้ว เรื่องดีๆ มักจะมาไม่ถึงสามครั้ง ถ้าหากว่ามีครั้งที่สาม คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ หรอกนะ?
“โตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักดูทางอีก ไม่ได้เรียนอนุบาลหรือไง?” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วพูดออกมาอย่างนึกสนุก
“นายสิไม่ได้เรียนอนุบาล ฉันก็แค่ไม่ทันระวังเท่านั้น!” ฉีหรูเสวี่ยจองเย่เทียนเฉินอย่างไม่สบอารมณ์
……………………