เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 265 พ่อตา มีอคติกับเย่เทียนเฉิน
ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินออกมาจากเทียนซ่างเหรินเจียนก็เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว เขาขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ของตนขับมุ่งหน้ากลับบ้าน เขามีแผนอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว เบื้องหลังเรื่องของตนกับหลิ่วหรูเหมยเมื่อปีนั้นก็คือคนที่ได้กลายเป็นลูกพี่ใหญ่ผู้ลึกลับแห่งพรรคคุณชายในวันนี้ เป็นคนที่ไม่ธรรมดาแน่นอน หลายปีมานี้ไม่เผยตัวออกมา นับเป็นคนที่มีสมองและมีฝีมือมาก ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินยังรู้สึกได้ลางๆ ว่าบุคคลที่อยู่หลังม่านผู้ลึกลับคนนี้อาจจะมีแผนการร้ายที่คิดไม่ถึงอยู่ก็เป็นได้
เรื่องเมื่อปีนั้นเย่เทียนเฉินไม่เคยคิดมาก่อนเช่นกัน ในตอนนั้นเรียกได้ว่าตนเองก็เป็นเหมือนกับทายาทตระกูลใหญ่เหล่านี้ สร้างปัญหาไปทุกที่ กินดื่มเที่ยวเล่น ยโสโอหัง เพียงแต่อำนาจตระกูลของเขาเมื่อปีนั้นคือตระกูลเย่ที่ตกต่ำ จนเขากลายเป็นคุณชายของตระกูลชั้นสามคนหนึ่ง จึงเป็นคนที่ถูกรังแก กล่าวคือไม่ควรค่าที่จะใช้ประโยชน์อะไร ส่วนตระกูลหลิ่วของหลิ่วหรูเหมยในตอนนั้นกลับเป็นตระกูลระดับสูงของเมืองหลวง เขาและหลิ่วหรูเหมยไม่รู้จักกันโดยสิ้นเชิง อย่างมากเขาก็แค่พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับหลิ่วหรูเหมยสักหลายประโยคในตอนที่พูดคุยเพ้อเจ้อกับเหล่าทายาทตระกูลใหญ่เท่านั้น เป็นความรู้สึกที่ได้จินตนาการว่าได้ขึ้นเตียงกับสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นทำไม่ได้ จะอย่างไรตระกูลหลิ่วก็นำผลงานมากมายมาให้แก่ประเทศชาติ ตระกูลใหญ่หลายตระกูลและกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ รู้ดี จึงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องพวกเขา
ดังนั้นหลังจากที่เย่เทียนเฉินใคร่ครวญครู่หนึ่ง จึงคิดว่าตนและหลิ่วหรูเหมยไม่มีค่าให้ใช้ประโยชน์อะไร เช่นนั้นเพราะเหตุใดบุคคลที่อยู่หลังม่านถึงได้ต้องการจัดฉากเรื่องนี้ด้วย? คิดไปคิดมาความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ประการแรก บุคคลเบื้องหลังรู้สึกสนุก คิดจะลิ้มรสความสุขของเกม ลิ้มรสความสุขที่ได้เล่นกับชีวิตของคนอื่นในเกมนี้ ประการที่สอง หากบุคคลเบื้องหลังไม่ได้ต้องการกำจัดตระกูลเย่ ก็ต้องคิดจะกำจัดตระกูลหลิ่ว กลับเป็นตัวเย่เทียนเฉินเองที่กลายเป็นผู้พลีชีพ กลายเป็นคนที่ถูกใช้ประโยชน์ก็เท่านั้น
“เล่นเกมเหรอ ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในดาวสิ้นโลกฉันเองก็ค่อนข้างจะชอบ ถ้างั้นพวกเราก็ค่อยๆ เล่นกันไปเถอะ!” เย่เทียนเฉินตัดสินใจเช่นนี้อยู่ในใจ เขาจะต้องหาบุคคลที่อยู่หลังม่านคนนี้ออกมาให้ได้ จะมากจะน้อยก็ยังรู้สึกคาดหวังว่าคนคนนี้จะเป็นใครกันแน่?
กระทั่งตอนที่เย่เทียนเฉินกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว เขาจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ในโรงรถเล็กๆ จากนั้นจึงเดินไปยังประตูใหญ่ของคฤหาสน์ ตอนนี้เองหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่ น้องสาวเย่เชี่ยนเหวิน และยังมีฉีหรูเสวี่ยที่กลายเป็นคนพักอาศัยอยู่ในตระกูลเย่อีกครั้ง จะต้องหลับไปนานแล้วแน่นอน
เพิ่งจะเดินเข้าประตูคฤหาสน์ไปเตรียมจะไขกุญแจเปิดประตู ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็ขมวดคิ้ว รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจับจ้องตนเองอยู่ หากพูดให้ชัดเจนก็คือจับตามองคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตน ในตอนที่มือสังหารที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งมาลอบโจมตี ระเบิดพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งออกมา และเย่เทียนเฉินเดินทางไปยังเทียนซ่างเหรินเจียนนั้น เขาได้ใช้ “ค่ายกลปัญจลักษณ์” ขนาดเล็กเอาไว้แล้ว
ค่ายกลปัญจลักษณ์ เป็นค่ายกลปกปักษ์ประเภทหนึ่ง และเรียกได้ว่าเป็นค่ายกลประเภทโจมตี เป็นค่ายกลที่มีพร้อมทั้งโจมตีและป้องกัน ในช่วงยุคสิ้นโลก เย่เทียนเฉินเคยใช้เข่นฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งมาก่อน แน่นอนว่าในตอนนั้น ค่ายกลที่เย่เทียนเฉินจัดวางไม่ใช่ค่ายกลปัญจลักษณ์ขนาดเล็กเช่นนี้ แต่เป็นค่ายกลมหาปัญจลักษณ์ ในดาวสิ้นโลกมีศัตรูแข็งแกร่งนับไม่ถ้วน ค่ายกลปัญจลักษณ์ขนาดเล็กจะสยบและเข่นฆ่าศัตรูจำนวนมากได้ที่ไหนกัน
ค่ายคนปัญจลักษ์นี้เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ ในค่ายกลมีพลังพิเศษที่สำคัญอยู่ห้าประเภทได้แก่ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ทำงานสอดประสานซึ่งกันและกัน จนเกิดเป็นพลังแห่งการเข่นฆ่าที่มหาศาล เมื่อเข้าไปด้านใน มีเพียงไม่กี่คนที่จะหนีออกไปได้ และต้องตายอยู่ด้านในอย่างแน่นอน หากเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งบุกเข้ามา ก็จะกระตุ้นค่ายกล ทำให้เกิดการโจมตีเข่นฆ่าด้วยตัวมันเอง แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
ได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าญาติมิตรแล้ว ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงรู้สึกว่าต้องการจะปกป้องครอบครัวของตน ในตอนที่จะออกไปจึงได้เดินไปยังตำแหน่งต่างๆ ทั้งห้าจุดภายในบ้าน เพื่อติดตั้งค่ายกลปัญจลักษณ์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ถึงแม้จะเป็ค่ายกลขนาดเล็ก แต่ก็มากเพียงพอที่จะสกัดกั้นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษระดับจอมราชัน
ดังนั้นค่ายกลปัญจลักษณ์ที่เย่เทียนเฉินเป็นผู้ติดตั้งย่อมเชื่อมโยงจิตใจกับเขา ในตอนที่เขาเดินมาถึงประตูก็รับรู้ได้ผ่านค่ายกลปัญจลักษ์ว่ามีคนกำลังจับตามองคฤหาสน์ตระกูลเย่ของตนอยู่ ถึงแม้ไอสังหารบนร่างจะไม่แข็งแกร่ง แต่ก็มีอันตราย เย่เทียนเฉินย่อมไม่ปล่อยให้ปมีอันตรายใดๆ ก็ตามหลงเหลือมาสู่ครอบครัวของตนได้
ตอนนี้เอง ด้านหลังคฤหาสน์ตระกูลเย่ บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีชายสวมเสื้อยืดสีดำกำลังนั่งอยู่ เขามาถึงที่นี่เวลาประมาณเที่ยงคืน จนกระทั่งหาตำแหน่งที่ไม่เลวเช่นนี้ได้จึงเริ่มใช้กล้องมองกลางคืนจับตาดูการเคลื่อนไหวทุกอย่างของตระกูลเย่
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เขาพลันชะงักไปทั้งร่าง ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เนื่องจากเขาเพิ่งจะเห็นเย่เทียนเฉินขับรถมอเตอร์ไซค์กลับมาถึงบ้าน และหยิบกุญแจออกมาเพื่อจะไขประตู แต่เหตุใดจึงหายไปจากกล้องมองกลางคืนของตนได้?
เขาตกใจครั้งใหญ่ ชายสวมเสื้อยืดสีดำรีบใช้กล้องมองกลางคืนมองหาเย่เทียนเฉินไปทั่ว
“แกกำลังหาฉันอยู่เหรอ?”
วินาทีต่อมา ชายสวมเสื้อยืดสีดำคนนี้ก็ได้ยินเสียงของเย่เทียนเฉิน เขาตกตะลึงไปทั้งร่าง บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมา เมื่อหันไปมองพบว่าเย่เทียนเฉินยืนอยู่บนกิ่งไม้ด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ จ้องมองเขาด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“แก…”
ฉัวะ!
ชายสวมเสื้อยืดสีดำคนนี้พูดได้แค่คำว่าแกคำเดียว จากนั้นจึงหมุนตัวไปอย่างฉับพลัน กวาดเท้าซ้ายเตะออกไปในแนวขวางใส่เย่เทียนเฉิน เขาถูกส่งมาให้จับตามองเย่เทียนเฉิน จากข้อมูลที่ทางพวกเขาได้รับมา เย่เทียนเฉินแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นไม่อาจหยั่งถึง การส่งเขามาย่อมเป็นเพราะฝีมือของเขาไม่เลว
เย่เทียนเฉินกระโดดขึ้น จากนั้นจึงทะลวงกรงเล็บไปจับลำคอของชายสวมเสื้อสีดำ ชายในเสื้อยืดสีดำมีปฏิกิริยาว่องไวมาก โยนกล้องมองกลางคืนในมือซ้ายทิ้งไป ในขณะเดียวกันก็บุกเข้าไปหาเย่เทียนเฉิน ในสถานการณ์เช่นนี้หากต้องการจะหนี เกรงว่าคงจะถูกเย่เทียนเฉินกำจัดเสียก่อน
เพียงแต่น่าเสียดาย เมื่อเย่เทียนเฉินลงมือก็ใช้ความสามารถขั้นสูงสุดของพลังพิเศษขอบเขตจอมราชันออกมาทันที ในตอนที่ชายสวมเสื้อยืดสีดำหยุดมือลง บริเวณลำคอของเขาก็ถูกมือขวาของเย่เทียนเฉินบีบเอาไว้แล้ว ทั้งสองยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่อย่างเดียวกัน โชคดีที่ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่มาก เก่งก้านก็แข็งแรงมากพอ ไม่เช่นนั้นคงถูกชายร่างใหญ่ทั้งสองกดทับจนหักไปแล้ว
“แกเก่งดีนี่!” ชายสวมเสื้อยืดสีดำมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“บอกมาเถอะ ฉันไม่อยากฆ่าแก ขอแค่แกพูดความจริงกับฉัน!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่เทียนเฉินไม่อาจสัมผัสได้ถึงไอสังหารใดๆ จากบนร่างของชายสวมเสื้อยืดสีดำคนนี้เลย คนคนนี้คงจะเป็นแค่คนเบิกทางเท่านั้น ตกลงแล้วเป็นใครกันแน่ที่ต้องการจับตามองตน เย่เทียนเฉินยังคงรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง จะเป็นตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ที่ต้องการกำจัดตนหรือเปล่า? หรือจะบอกว่าเป็นโอวหยางเฟยอวิ๋น หรือไม่ก็คนของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงที่ลึกลับคนนั้น?
“ฉันไม่รู้ แกฆ่าฉันเถอะ!” ขายสวมเสื้อยืดสีดำกล่าวเสียงแข็ง
“ฉันไม่อยากฆ่าแกเพราะวันนี้ฉันฆ่าคนไปเยอะแล้ว แต่ก็อย่าได้บีบบังคับฉันนัก ยิ่งไปกว่านั้นฉันเชื่อว่าแกไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แค่ต้องการมาจับตาดูก็เท่านั้น!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
ชายสวมเสื้อยืดสีดำชะงักไปครู่หนึ่ง คิดว่าเย่เทียนเฉินพูดไม่ผิดเลย ตนเองได้รับคำสั่งให้มาจับตาดูเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้บอกให้ลงมือกับตระกูลเย่ แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญก็สามารถลงมือฆ่าเย่เทียนเฉินได้เช่นกัน นั่นเพื่อกำจัดความคิดของคุณหนู กล่าวคือ ทั้งสองตระกูลไม่ได้มีความแค้นลึกล้ำอะไรต่อกัน ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
“ฉันเป็นคนของตระกูลหลิง นายท่านหลิงส่งฉันมาจับตาดูแก!” ชายสวมเสื้อยืดสีดำเอ่ยปาก
“ตระกูลหลิง? พ่อของหลิงอวี่สวิ๋นส่งแกมาหรือ?” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น
“ถูกต้อง ท่านบอกว่าไม่อาจปล่อยให้แกไปมาหาสู่กับคุณหนูได้ ดังนั้น…”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของชายสวมเสื้อยืดสีดำ เย่เทียนเฉินก็เข้าใจกระจ่าง กล่าวคือพ่อของหลิงอวี่สวิ๋นมีอคติต่อเย่เทียนเฉิน คิดว่าเย่เทียนเฉินยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นเขยของเขา ไม่เหมาะสมกับลูกสาวของเขา ดังนั้นจึงได้ขัดขวางทุกทาง
สำหรับหลิงอวี่สวิ๋นแล้วเย่เทียนเฉินกลับไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น แต่เกิดเป็นคนต้องมีความทะเยอทะยาน ผู้อาวุโสตระกูลหลิงจะดูถูกกันเกินไปแล้ว ตนเองยังไม่ได้ล่วงเกินเขา เขาก็ดูถูกตนเช่นนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจากที่หลัวเยี่ยนกล่าว ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ตระกูลหลิงและตระกูลเย่ไม่เลวเลย ถึงแม้จะไม่ได้ไปมาหาสู่กันหลายปี ก็ไม่ถึงกับต้องปล่อยให้ตระกูลหลิงดูถูกตระกูลเย่ขนาดนี้หรอก?
“เอาแบบนี้แล้วกัน แกกลับไปบอกนายท่านหลิงว่าว่างๆ ฉันจะไปคุยกับเขาที่ตระกูลหลิงสักหน่อย เรื่องของหนุ่มสาว ผู้ใหญ่อย่าได้วุ่นวายให้มากเกินไปนัก!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“แก…”
“ยังไม่ไปอีก หรือต้องการให้ฉันฆ่าแก?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา
เมื่อปล่อยชายสวมเสื้อยืดสีดำไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็รู้สึกหดหู่จริงๆ เดิมทีเขาเป็นคนที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองตนอย่างไร เช่นเดียวกับที่คำโบราณได้กล่าวไว้ เดินทางของตนเองไปซะ แล้วทำให้คนอื่นรู้สึกกล้ำกลืน เพียงแต่การมีคนดูถูกตน ก็ทำให้ไม่พอใจมากจริงๆ
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ เย่เทียนเฉินก็เปิดตู้เย็นออก ปรากฏว่ามีจานผลไม้อยู่ไม่ต่างจากที่เขาคาด การที่ฉีหรูเสวี่ยอยู่ที่ตระกูลเย่ก็มีข้อดีเช่นนี้เอง ชอบทำเรื่องเล็กๆ อย่างเตรียมผลไม้อะไรแบบนั้น จะอย่างไรนี่ก็เป็นงานอดิเรกของเธอ และมันก็กลายเป็นอาหารมื้อดึกของเย่เทียนเฉินทั้งหมด
เพิ่งจะหยิบแตงโมขึ้นมาชิ้นหนึ่งเตรียมจะกินเข้าไป ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินก็ชะงัก คิดไปถึงครั้งที่แล้วที่ตนท้องเสียทั้งคืน ครั้งนี้ฉีหรูเสวี่ยจะแกล้งตนหรือเปล่า? ไม่ได้แล้ว จะต้องระมัดระวังเข้าไว้ เมื่อคิดถึงตรงนี้เย่เทียนเฉินก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย จากนั้นจึงเดินมาที่ห้องสัตว์เลี้ยง ที่นี่เย่เชี่ยนเหวินเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง เป็นสุนัขสุนัขพันธุ์บิชองฟรีเซ่ที่น่ารักคาวาอี้มาก และเป็นลูกรักของเย่เชี่ยนเหวิน ยามปกติจะไม่ยอมให้เย่เทียนเฉินไปแตะโดยเด็ดขาด ด้วยเกรงว่าเย่เทียนเฉินจะทำอะไรไม่ดีจนมันตาย!
เย่เทียนเฉินถือจานผลไม้เดินไปยังห้องสัตว์เลี้ยง จากนั้นจึงนำแตงโมที่อยู่ในมือชิ้นนั้นโยนลงไปให้บิชองฟรีเซ่ตัวเล็ก ให้มันทดสอบให้ตนสักหน่อยว่า ฉีหรูเสวี่ยวางยาไว้ในผลไม้นี้หรือไม่ ถ้าหากว่าเย่เชี่ยนเหวินรู้เข้า เกรงว่าคงตะโกนลั่นไปทั่วคฤหาสน์แน่ ฮ่าๆ!
……….