เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 266 การทะลวงขอบเขตสำคัญมาก
เมื่อกลับมาถึงห้องนอนของตน เย่เทียนเฉินก็กินผลไม้ในจานอย่างมีความสุข เมื่อครู่นี้เขาให้เจ้าบิชองฟรีเซ่ตัวเล็กของน้องสาวลองกินแตงโมไปชิ้นหนึ่งแล้ว และสังเกตอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีปัญหาอะไร จึงได้มั่นใจว่าฉีหรูเสวี่ยไม่ได้วางยาอะไรในนี้ และกินได้อย่างวางใจ
เมื่อกินผลไม้ในจานหมด เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้นอนในทันที แต่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง แสงจันทร์นอกหน้าต่างยังคงสว่าง สาดส่องทะลุหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง เย่เทียนเฉินค่อยๆ เข้าสู่สภาวะสมาธิ สัมผัสถึงพลังสูงสุดของพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันของตน เขาต้องการที่จะทะลวงพลัง ต่อให้กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติของโลกจะเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังพิเศษหรือผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ หรือบางทีอาจเป็นสัตว์กลายพันธุ์ของดาวสิ้นโลกและอื่นๆ ต่างเรียกได้ว่าเป็นการบําเพ็ญเพียรอย่างหนึ่ง ในเมื่อเป็นการบำเพ็ญ ก็ไม่อาจออกห่างจากคำว่า “เต๋า” ไปได้ โดยปกติเต๋าหมายถึงกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติของโลก ในมุมมองที่กว้างยิ่งขึ้นจะหมายถึงกฎเกณฑ์แห่งจักรวาล กฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ นี่คือเต๋า
คืนนี้เย่เทียนเฉินใช้ความสามารถสูงสุดของขอบเขตจอมราชันไปแล้วสองครั้ง โดยเฉพาะการต่อสู้กับมือสังหารชุดดำที่ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งมา เย่เทียนเฉินได้แสดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาออกมา มิฉะนั้นคงไม่สามารถกำจัดมือสังหารชั้นยอดเช่นนี้ภายในเวลาสั้นๆ ได้
มือสังหารชุดดำคนนั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่แกว่งดาบไปมั่วๆ ก็สามารถระเบิดกระบวนท่าสังหารของพลังภายในที่แข็งแกร่งออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นวัสดุของด้ามดาบของเขาก็พิเศษมาก ทั้งยังมีอานุภาพเกรียงไกร หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินระเบิดพลังขั้นสูงสุดของขอบเขตจอมราชันออกมา รวบรวมไว้บนฝ่ามือขวาทั้งหมด แล้วซัดเข้าไปที่ด้ามดาบจนหัก เกรงว่าคนที่จะถูกฟันเป็นสองท่อนก็คือเย่เทียนเฉิน
และในตอนที่เย่เทียนเฉินกระโดดอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ใช้หมัดทำลายเงาดาบจนเป็นชิ้นๆ เขาก็รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างกายของตนเต็มไปด้วยพลังพิเศษขอบเขตจอมราชัน ภายในเซลล์ทุกเซลล์และเลือดทุกหยดคล้ายกับถูกพลังแทรกซึม เย่เทียนเฉินที่เคยเป็นผู้แข็งแกร่งผู้มีพลังพิเศษในระดับพระเจ้าที่ดาวสิ้นโลก ย่อมรู้ว่านี่คืออะไร นี่หมายความว่าเขาใกล้จะทะลวงไปถึงขอบเขตจักรพรรดิแล้ว แต่ในช่วงเวลานั้นเองเขากลับไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังธรรมชาติของโลกและพลังเต๋าทั้งหมดที่มีได้เลย จึงไม่สามารถทำการทะลวงได้
การทะลวงทุกครั้งต้องอาศัยพลังธรรมชาติที่แข็งแกร่งจึงจะสามารถทำการแทรกซึมพลังได้ ถ้าคิดจะอาศัยพลังพิเศษในร่างกายตนอย่างเดียว จะไม่เพียงพอที่จะทะลวงพลังส่วนที่จำเป็นโดยเด็ดขาด มีเพียงตอนที่พลังไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตแล้ว จะต้องดึงดูดพลังธรรมชาติเข้ามารวมกับพลังพิเศษในร่างกาย แล้วทะลวงขอบเขตการบำเพ็ญขั้นใหม่ในฉับพลัน เพิ่มพลังความสามารถขึ้นอย่างสูงและทะลวงออกไปทั้งหมดจึงจะทำได้
แต่จากพี่เย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อรับรู้ร่วมกัน นั่นคือพลังธรรมชาติของโลกถูกทำลายไปอย่างสาหัส เมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงนับพันปีจึงทำให้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติเกิดการเปลี่ยนแปลงไป หากต้องการดูดซึมพลังจากธรรมชาติของโลกเพื่อมาทะลวงขอบเขต และยืนอยู่บนจุดที่มีพลังสูงส่งยิ่งขึ้นดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากพลังงานบนโลกได้เลือนหายไปแทบจะหมดแล้ว อย่างมากก็มีเพียงสถานที่เร้นลับบางแห่งที่ไม่มีคนเหยียบย่างเข้าไป จึงจะสามารถรักษาการตกตะกอนของพลังงานเอาไว้ได้บ้าง เพียงแต่ไม่ถึงขอบเขตที่แน่ชัด หากต้องการรับพลังในที่ลึกลับของโลกเหล่านี้มาก็เป็นการยากยิ่งนัก
นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไม เมื่อโลกพัฒนามาถึงปัจจุบันจึงมียอดฝีมือที่มีพลังแข็งแกร่งอยู่น้อยมาก คนธรรมดามากมายไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ ที่สำคัญก็คือความเสียหายของโลกร้ายแรงเกินไป พลังงานในธรรมชาติที่สามารถทำให้ผู้คนตระหนักถึงกฎเกณฑ์ได้หายไปเกือบหมดแล้ว ทุกคนถูกกำหนดให้เป็นคนธรรมดาไปชั่วชีวิต
“ไม่ได้ ฉันจะต้องคิดหาวิธีทะลวงไปยังขอบเขตจักรพรรดิให้ได้ ไม่งั้นด้วยความสามารถในตอนนี้ ต่อให้หาค่ายกลเคลื่อนย้ายพบ แล้วจะเดินทางไปดาวจักรพรรดิหรือดาวสิ้นโลก อาจจะตกตายได้ จะไปพูดถึงการตามหาความเป็นอมตะและการแก้แค้นให้เพื่อนพ้องได้ยังไง?” เย่เทียนเฉินบอกตัวเองในใจ เขาไม่อาจลำพองใจได้ ในตอนที่จัดการเรื่องบนโลกนี้เรียบร้อยแล้ว ยังต้องคิดหาวิธีทะลวงความสามารถอีก จะอย่างไรเขาก็ยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าต้องกระทำ นี่คือโชคชะตาของเขา
ทีละเล็กทีละน้อย ภายในห้วงสมาธิ เย่เทียนเฉินกระตุ้นพลังพิเศษระดับสูงสุดของขอบเขตจอมราชันครั้งแล้วครั้งเล่า ทำการบ่มเพาะเลือดเนื้อและกระดูกทุกอณูในร่างกายของตน ต่อให้ตอนนี้ไม่มีทางทะลวงขอบเขตได้ เขาก็ต้องทำการเตรียมตัวทะลวง หากจะเดินทางไปยังดาวจักรพรรดิหรือกลับไปยังดาวสิ้นโลกจริงๆ นั่นเป็นโลกที่นับถือความสามารถ เป็นโลกที่คนกินคน หากคนไม่แข็งแกร่งมากพอก็ทำได้เพียงถูกฆ่าตายโดยผู้อื่นแล้ว
ตอนนี้เอง ในสถานที่แห่งหนึ่งของเมืองหลวงที่ดูเหมือนจะมีน้อยคนรู้จัก บนตึกสูงสี่สิบแปดชั้นแห่งหนึ่ง ชายอายุประมาณสามสิบกว่า สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสบายๆ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เอน มีลมแรงพัดขึ้นมา ถือแก้วเหล้าอยู่หนึ่งแก้ว ด้านหลังของเขามีหญิงงามสูงเพรียวยืนอยู่สองคน ทุกคนต่างแต่งกายรัดรูป ถ้าหากมีใครกล้าลวนลามพวกเธอ จะต้องตายแน่นอน เนื่องจากหญิงงามทั้งสองคนนี้ต่างเป็นมือสังหารที่แข็งแกร่งอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงผู้ชายสิบคนเลย ต่อให้เป็นผู้ชายร้อยคนก็ไม่ใช่คู่มือของพวกเธอ
ชายอายุประมาณสามสิบคนนี้จิบเหล้าไปอึกหนึ่ง มองไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวง มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา ในช่วงเวลาหลายปีมานี้เขาได้มาถึงระดับสูงแล้ว มีฐานะที่สำคัญมากมาย แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร มีฐานะและเบื้องหลังอย่างไร เขาชอบความรู้สึกที่คอยควบคุมแผ่นดินอยู่เบื้องหลังเช่นนี้มาก เดิมทีคิดว่าตนเป็นยอดฝีมือที่เหงาหงอยเพียงลำพัง ไม่มีอะไรน่าสนุกอีกต่อไป แต่การปรากฏตัวของเย่เทียนเฉินทำให้เขาเกิดความสนใจขึ้นอีกครั้ง คนที่เคยถูกเขาเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าและเป็นได้แค่เนื้อปลาที่เขาทำอะไรก็ได้ตามใจ ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมอง เขารู้สึกเกิดความสนุกขึ้นมามากจริงๆ
“คุณชาย เพิ่งจะได้รับข่าวมาว่าเย่เทียนเฉินไปที่เทียนซ่างเหรินเจียน สั่งสอนนายท่านรองของพรรคคุณชายแล้วค่ะ!” มือสังหารหญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินมาเบื้องหน้าแล้วกล่าวรายงานด้วยความเคารพ
“อ้อ? ดูท่าเขาคงจะตรวจสอบเรื่องเมื่อปีนั้นแล้ว ก็ดี ให้เขาตรวจสอบไปเถอะ ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อย หวังว่าเขาคงไม่ทำให้ฉันผิดหวัง!” ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากพูด
“ถ้างั้นคุณชายจะจัดการไป๋อู่ยังไงคะ เย่เทียนเฉินไม่ได้ฆ่าเขา บางทีเขาอาจจะทรยศพวกเราแล้วก็ได้!” มือสังหารสาวสวยเอ่ยปากถาม
“แต่ไหนแต่ไรไป๋อู่ก็ไม่เคยเห็นฉันมาก่อน เขาก็เป็นแค่เครื่องมือที่ฉันใช้ประโยชน์เพื่อควบคุมดูแลพรรคคุณชายเท่านั้น เมื่อปีนั้นฉันเพิ่งจะออกมาทำเรื่องเรื่องแรก ก็ใช้ประโยชน์จากความโง่ของเย่เทียนเฉินแล้ว ทำให้มันไปเห็นหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ ก่อให้เกิดความครึกโครมขึ้นในเมืองหลวง แต่ต่อให้เป็นการเล่นไปตามใจชอบ สิ่งที่ทำให้ฉันคิดไม่ถึงก็คือเย่เทียนเฉินจะไม่ตาย คนของตระกูลหลิ่วช่างมีความสามารถในการอดทนสูงจริงๆ ในเมื่อตอนนี้เย่เทียนเฉินต้องการจะตามหาฉัน ถ้างั้นฉันก็จะเล่นเป็นเพื่อนเขาสักหน่อย ดูซิว่าเขาเปลี่ยนเนื้อตัดกระดูกมาแล้วจะร้ายกาจขนาดไหน!”
“ถ้างั้นตกลงจะฆ่าหรือเปล่าคะ?”
“ฆ่าไปเถอะ เหลือไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากนี้ส่งคนไปฆ่าโอวหยางเฟยอวิ๋นด้วย ฉันอยากจะดูสักหน่อยว่าเย่เทียนเฉินจะต่อต้านการโจมตีพร้อมกันของตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังทั้งสองตระกูลอย่างตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางได้หรือเปล่า” ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวหันหลังให้มือสังหารสาวสวยทั้งสองคนอยู่ตลอด พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่กลับเจือไปด้วยความสนุก
“ค่ะ!” มือสังหารสาวสวยพยักหน้า
จากข่าวที่พวกเขาได้รับมา ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนส่งคนออกไปลงมือแล้ว และต้องการฆ่าเย่เทียนเฉิน กระทั่งต้องการฆ่าล้างตระกูลเย่ ซึ่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลใหญ่ที่อยู่ในมณฑลชวน ที่พวกเขาไม่ได้มาโจมตีอย่างบ้าคลั่งเป็นเพราะเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง มีเรื่องราวมากมายที่ต้องใช้แผนการ แต่ใครต่างก็รู้ว่า ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่ซ่อนตัวอยู่นั้นแข็งแกร่งมาก เมื่อลงมืออย่างจริงจัง ก็จะต้องโจมตีอย่างหนักหน่วงราวพายุคลั่ง สำหรับตระกูลเย่แล้วไม่อาจขวางได้อย่างแน่นอน
เย่เทียนเฉินเองก็รู้ว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแข็งแกร่งและบ้าอำนาจมาก ส่งจดหมายมาฉบับหนึ่งก็สามารถทำลายเขตคฤหาสน์ทั้งเขตได้ ส่งมือสังหารชุดดำมาคนหนึ่ง แต่กลับมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งห้าวหาญอยู่ด้วย สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนการฆ่าไก่โดยใช้มีดฆ่าโคของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเท่านั้น ตามที่มือสังหารชุดดำที่ตายไปคนนั้นบอก ในตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีคนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอยู่คนหนึ่ง คนผู้นั้นแข็งแกร่งจนถึงขั้นวิปลาส และลงมือน้อยมาก เป็นเขาที่อัดพลังอันมหาศาลเข้ามาในจดหมาย คนคนนี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นคู่ต่อสู้และอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนของเย่เทียนเฉิน
“น่าสนุกจริงๆ เย่เทียนเฉิน ฉันต้องขอบคุณจริงๆ ที่มีคู่ต่อสู้อย่างแกปรากฏตัวขึ้น อย่าได้ทำให้ฉันผิดหวังเป็นอันขาด ถ้าหากสู้ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางไม่ได้ จะมาสู้กับฉันได้ยังไง?” ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นในตนเอง
เช้าตรู่วันต่อมา เย่เทียนเฉินถูกเสียงตะโกนอย่าโมโหปลุกให้ตื่น เป็นเสียงตะโกนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเสียงคำรามของสิงโตเสียอีก ต่อจากนั้นเขาได้ยินเสียงเคาะประตูที่แทบจะทำให้ประตูพัง เย่เชี่ยนเหวินตะโกนอยู่ด้านนอกว่า “พี่ ออกมาเดี๋ยวนี้ พี่ให้บิชองฟรีเซ่ของหนูกินแตงโมใช่ไหม?”
เย่เทียนเฉินหาวออกมาครั้งหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาวก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป จากนั้นจึงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ใช้หมอนและผ้าห่มปิดศีรษะของตนเอาไว้แล้วนอนกรนต่อไป ต่อให้เย่เชี่ยนเหวินจะเคาะประตูอยู่ด้านนอกอย่างไร หรือจะตะโกนเรียกอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเปิดประตู เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนเขาให้บิชองฟรีเซ่กินแตงโมเย็นๆ ชิ้นนั้นเพื่อขัดขวางแผนร้ายของฉีหรูเสวี่ย ตอนนี้บิชองฟรีเซ่เกิดเรื่องแล้ว เย่เชี่ยนเหวินเดาได้ว่าเขาเป็นคนทำ ดังนั้นจึงได้มาถามหาความผิด
หากเปิดประตูออกไปตอนนี้ไม่ถูกน้องสาวโมโหใส่ก็แปลกแล้ว และยังต้องถูกตำหนิจากหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และฉีหรูเสวี่ยอีก จะทำทำไมล่ะ? สู้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรยังดีซะกว่า
เย่เชี่ยนเหวินอยู่นอกประตูห้องนอนของเย่เทียนเฉิน อย่างน้อยก็เคาะประตูไปครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว และยังใช้เท้าถีบประตูอย่างแรงอีกด้วย แต่เย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ชายก็ไม่โผล่หัวออกมา จึงโกรธจนหน้าเล็กๆ แดงก่ำ ถีบประตูอย่างรุนแรงอีกครั้ง จากนั้นจึงพูดกับหลัวเยี่ยนที่อยู่ชั้นล่างว่า “แม่คะ พี่ทำเกินไปแล้วจริงๆ จะต้องเป็นเขาที่ทำให้บิชองฟรีเซ่เกิดเรื่องแน่นอน เพราะกลัวความผิดเลยไม่กล้าออกมา หึ!”
“ลงมากินข้าวก่อนเถอะ อย่าไปสนใจพี่เขาเลย!” หลัวเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มพลางส่ายหน้า
“น้องเชี่ยนเหวิน จะต้องเป็นไอ้บ้านั่นแน่นอน ถ้าไม่ใช่เขาที่กินจานผลไม้ที่พี่วางไว้ในตู้เย็นแล้วจะเป็นใคร!” ฉีหรูเสวี่ยเองก็พูดขึ้นแล้วมองไปยังชั้นบนอย่างไม่สบอารมณ์
……………….