เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 273 สถานการณ์เร่งด่วน
“ไม่ใช่ว่าผมข่มขู่คุณ แต่อยากให้คุณเข้าใจความจริงให้ชัดเจน ถ้าหากคุณลงมือกับเย่เทียนเฉินที่บริสุทธิ์ และยังทำลายตระกูลเย่ทั้งตระกูล เกรงว่าจะมีคนออกหน้าให้ตระกูลเย่แน่ เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลโอวหยางของคุณก็คงไม่มีช่วงเวลาที่ดี!” มู่หรงอวี๋ตูพูดเสียงขรึม
เดิมทีมู่หรงอวี๋ตูและโอวหยางเจิ้นฮว๋าก็เป็นขาวกับดำ เป็นน้ำกับไฟที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ การที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างละมุนละม่อมในตอนแรกสุดนั้น ประการแรกเป็นเพราะทั้งสองนับว่าเป็นคนที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกัน จะมากจะน้อยก็มีอารมณ์ความรู้สึกคล้ายกัน ประการที่สองเป็นเพราะเมื่ออยู่มาจนมีอายุและตำแหน่งเช่นพวกเขาแล้ว เรื่องที่ทำให้โกรธง่ายๆ นั้นมีน้อยมาก หากไม่แสดงท่าทางสุขุมก็เป็นการง่ายที่จะถูกผู้อื่นทำร้าย
ตอนนี้ในเมื่อทั้งสองต่างพูดออกมาแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง อย่างแย่ที่สุดก็ตาต่อตาฟันต่อฟัน จะอย่างไรก็ไม่มีใครกลัวใคร ด้วยวิธีการเช่นนี้บางทีอาจจะยังหาจุดสมดุลได้
“ดูท่าคุณมู่หรงอวี๋ตูจะยืนอยู่ฝั่งเย่เทียนเฉิน ต้องการช่วยเขารับมือกับตระกูลโอวหยางของผมเหรอครับ?” โอวหยางเจิ้นฮว๋าเลยถามเสียงขรึม
“ผมต้องการช่วยเย่เทียนเฉิน แต่ก็ไม่อยากให้ตระกูลโอวหยางของคุณถูกฆ่าล้าง ดังนั้นหวังเพียงว่าคุณจะใคร่ครวญให้ดี สืบหาให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” มู่หรงอวี๋ตูเอ่ยปากพูด
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เงียบไปนาน ดูเหมือนว่าโอวหยางเจิ้นฮว๋าจะกำลังใคร่ครวญอยู่ คำพูดที่มู่หรงอวี๋ตูพูด ตำแหน่งทุกอย่างที่มู่หรงอวี๋ตูมี เขาโอวหยางเจิ้นฮว๋าจำเป็นจะต้องใคร่ครวญ มู่หรงอวี๋ตูเป็นนายพลที่รอดชีวิตมาจากผืนทรายที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน ต่อให้ไม่ได้กุมอำนาจนานแล้ว แต่ประโยคหนึ่งของเขา กระทั่งผู้นำระดับสูงของประเทศก็ยังต้องให้ความสำคัญ นี่เป็นศักดิ์ศรีของนายพลชรา
“ได้ สามวัน ผมจะใช้เวลาสามวันไปตรวจสอบ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เย่เทียนเฉินก็หนีไม่พ้นความผิดที่ทำให้หลานชายของผมตาย เมื่อถึงตอนนั้นใครก็ปกป้องเขาไม่ได้!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าพูดอย่างดุดัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็จะช่วยหาหลักฐานเอง!” มู่หรงอวี๋ตูเห็นว่าโอวหยางเจิ้นฮว๋ายอมผ่อนปรนจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“ไม่จำเป็น ผมจะไปจัดการเอง!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าปฏิเสธ
“นอกจากนี้ผมคิดจะเตือนคุณสักประโยค ถึงแม้ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบปี แต่เขาไม่ใช่คนที่จัดการง่ายอย่างที่คุณคิด คุณอย่าได้แพ้ให้กับชนรุ่นหลังเชียว จะอับอายเปล่าๆ!” มู่หรงอวี๋ตูพูดยิ้มๆ
ปัง!
โทรศัพท์ถูกวางสายไปแล้ว โอวหยางเจิ้นฮว๋าวางสายโทรศัพท์ไปโดยตรง มู่หรงอวี๋ตูกลับยิ้มเล็กน้อย หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอย่างสบายใจ เขารู้ว่าเขาทำสิ่งที่รับปากเย่เทียนเฉินเอาไว้สำเร็จแล้ว อย่างน้อยก็มีเวลาสามวัน ภายในสามวันนี้ตระกูลโอวหยางจะไม่ลงมือกับเย่เทียนเฉินและตระกูลเย่ และสามวันนี้นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับเย่เทียนเฉิน ถึงแม้ความกดดันจะมากมาย แต่เขาก็จะลองดูสุดชีวิต หลังจากที่กำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้ว ก็ค่อยกลับมาเผชิญหน้ากับตระกูลโอวหยาง
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่โอวหยางเจิ้นฮว๋าวางโทรศัพท์ไปแล้วก็ขมวดคิ้ว ใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วจึงพูดกับบอดี้การ์ดที่อยู่เบื้องหน้าว่า “ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องการตายของเฟยอวิ๋นสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นส่งคนไปติดตามเย่เทียนเฉินให้ฉันด้วย และจับตาดูตระกูลเย่ให้ดี รอคำสั่งของฉัน!”
“ครับ!”
โอวหยางเจิ้นฮว๋าคิดไม่ถึงเลยว่า ในตอนที่เขาเตรียมจะให้คนไปจับคนทั้งหมดของตระกูลเย่กลับมา ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะเป็นคนฆ่าโอวหยางเฟยอวิ๋นหลานชายของตนหรือไม่ ก็จะทำให้ตระกูลเย่ได้เห็นดีกัน ในตอนนี้เองมู่หรงอวี๋ตูจะถึงกับโทรมาหาเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ายืนอยู่ฝั่งเย่เทียนเฉิน เรื่องนี้ทำให้โอวหยางเจิ้นฮว๋าจำเป็นต้องใคร่ครวญให้ดี จะอย่างไรตำแหน่งฐานะทั้งหมดของมู่หรงอวี๋ตูก็มากเพียงพอที่จะพูดเช่นนี้กับเขา ถึงแม้เขาโอวหยางเจิ้นฮว๋าจะไม่กลัวอะไร ต่อให้เป็นบุคคลระดับสูงของประเทศก็ไม่อาจแตะต้องตระกูลโอวหยางของเขาง่ายๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลโอวหยางจะทำทุกสิ่งที่ต้องการได้ตามใจ มีเรื่องราวมากมายที่ต้องใส่ใจกับหลักฐานให้ดี
หลังจากผ่านการใคร่ครวญของโอวหยางเจิ้นฮว๋าแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามู่หรงอวี๋ตูพูดได้ไม่ผิด ก่อนที่จะตรวจสอบเรื่องราวให้กระจ่างชัด พูดได้แค่ว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งที่เป็นคนฆ่าโอวหยางเฟยอวิ๋นหลานชายของเขา หากตนฆ่าเย่เทียนเฉินและทำลายตระกูลเย่ทั้งหมด เกรงว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ระหว่างโลกเบื้องหน้ากับเบื้องหลัง ซึ่งจะไม่เป็นผลดีกับตระกูลโอวหยางของเขา ดังนั้นโอวหยางเจิ้นฮว๋าจึงต้องใคร่ครวญรอบด้าน และตัดสินใจจะส่งคนไปตรวจสอบหลักฐาน ยิ่งไปกว่านั้นยังให้เวลามู่หรงอวี๋ตูสามวัน หลังจากสามวันแล้วไม่ว่าจะมีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนฆ่าโอวหยางเฟยอวิ๋นอย่างชัดเจนหรือไม่ เขาก็จะลงมือจัดการกับเย่เทียนเฉิน และจะฆ่าล้างตระกูลเย่ทั้งตระกูล แข็งกร้าวเป็นอย่างมาก
เวลาสามวันก็เป็นการไว้หน้ามู่หรงอวี๋ตูแล้ว และนับว่าเขาโอวหยางเจิ้นฮว๋าได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาโอวหยางเจิ้นฮว๋าไม่ใช่คนที่เอาแต่ถือหางพรรคพวกของตัวเองจนไม่แยกแยะถูกผิด หลังจากสามวันไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ เขาก็จะฆ่าเย่เทียนเฉิน ดังนั้นการที่พูดว่าให้เวลาสามวันก็เพียงเพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลโอวหยางของเขาเท่านั้น ไม่ได้จะบอกว่าเขาโอวหยางเจิ้นฮว๋ากลัวอะไร
แต่สิ่งที่โอวหยางเจิ้นฮว๋าไม่รู้ก็คือ เวลาสามวันนี้ก็เพียงพอสำหรับเย่เทียนเฉินแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นบางทีเขาคงจะกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้แล้ว และกลับมายังเมืองหลวง หันมารับมือกับตระกูลโอวหยาง ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เย่เทียนเฉินจะสามารถกำจัดตระกูลเซวียนเยวี๋ยนได้อย่างสะดวกราบรื่นหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะอย่างไรความสามารถของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็แข็งแกร่ง ไม่แน่ว่าเย่เทียนเฉินไปมณฑลชวนในครั้งนี้อาจจะไม่รอดกลับมาก็เป็นได้!
“หึ เย่เทียนเฉิน มู่หรงอวี๋ตูให้ความสำคัญกับแกขนาดนี้ ฉันกลับอยากจะเห็นจริงๆ ว่า ตระกูลเย่ผลิตชนรุ่นหลังออกมายังไงกันแน่ ถึงกับมีความกล้าและห้าวหาญขนาดนี้เชียว!” โอวหยางเจิ้นฮว๋าปาถ้วยชาที่อยู่ข้างกายจนแหลกละเอียด แค่นเสียงเย็นออกมาครั้งหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น
วันนั้นทั้งวัน เย่เทียนเฉินล้วนอยู่ในคฤหาสน์ ไม่ได้ไปที่อื่น ดื่มชาแล้วทานอาหารว่างอย่างสบายอกสบายใจ เพียงแต่ตอนกลางวันได้โทรไปหาเสี้ยวหยาครั้งหนึ่ง บอกว่าตอนจะออกไปเที่ยวสักหลายวัน หลายวันนี้คงไม่ได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย นอกจากนั้นก็ได้โทรไปหาฉินเหยาเยว่ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาด้วย
หลังจากที่จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เย่เทียนเฉินก็จะรอจนถึงเที่ยงคืน แล้วเดินทางไปยังป่าไผ่บริเวณชานเมืองทิศใต้ ก่อตั้งกลุ่มอำนาจของตนเองขึ้นมา แล้วรีบเดินทางไปที่มณฑลชวน หลังจากที่จัดการเรื่องของตระกูลเซวียนเยวี๋ยนแล้ว ก็จะรีบกลับมาที่เมืองหลวงเพื่อรับมือกับตระกูลโอวหยาง ยิ่งไปกว่านั้นจะจับตัวการที่อยู่หลังม่านออกมาให้ได้ ถึงเวลาที่ควรจะเริ่มปฏิบัติการแล้ว เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้กลุ่มอำนาจและตระกูลใหญ่ต่างๆ คิดว่าตนรังแกได้ง่าย และสามารถเหยียบย่ำตระกูลเย่ได้ตามใจเหมือนเมื่อก่อนอีก
เวลาประมาณห้าทุ่ม เย่เทียนเฉินออกไปจากบ้านตระกูลเย่อย่างเงียบๆ คืนนี้ก็ทะเลาะกับฉีหรูเสวี่ยมาทั้งวัน เดิมทีฉีหรูเสวี่ยต้องการจะกลับไป ไหนเลยจะรู้ว่าแม่จะบอกว่าต้องการสอนฉีหรูเสวี่ยทำอาหารอย่างหนึ่ง เรียกให้ฉีหรูเสวี่ยอยู่ต่ออีกวัน เย่เทียนเฉินมองออกว่าการทำอาหารนี้เป็นเรื่องโกหก แม่ต้องการให้ตนกับฉีหรูเสวี่ยสานสัมพันธ์กันถึงจะเป็นเรื่องจริง เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาในตอนนี้ไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น
ก่อนเย่เทียนเฉินขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไปจากบ้านตระกูลเย่ เขาได้จัดวางค่ายกลปัญจลักษณ์เอาไว้รอบๆ ขอเพียงมีคนที่มีไอสังหารเข้ามาใกล้ ค่ายกลก็จะถูกกระตุ้นให้ทำงาน นี่เป็นวิธีการที่เย่เทียนเฉินใช้ปกป้องครอบครัวของตน ถึงแม้เฮยเมี่ยนจะรับปากแล้วว่าจะส่งคนมาคุ้มครองครอบครัวของตน แต่อย่างไรเย่เทียนเฉินก็ยังไม่วางใจ
เที่ยงคืน เย่เทียนเฉินมาถึงป่าไผ่แห่งหนึ่งบริเวณชานเมืองทางทิศใต้ของเมืองหลวงตรงเวลา เมื่อเห็นเขาขับรถมอเตอร์ไซค์มา หูหลงที่รออยู่ที่นั่นนานแล้วก็วิ่งเข้ามาทันที ในตอนที่เย่เทียนเฉินเห็นหูหลงก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป เพราะหูหลงมีหน้าตาบวมช้ำ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ยิ่งไปกว่านั้นหากพูดถึงความสามารถหูหลงแล้วก็นับว่าไม่อ่อนแอเลย เพียงแต่ยังเยาว์อยู่บ้าง ขาดประสบการณ์การต่อสู้จริงเท่านั้น
“พี่ใหญ่…” หูหลงเอ่ยปากเรียก มีท่าทางกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“เกิดอะไรขึ้นกับแก?” เย่เทียนเฉินมองไปยังสภาพบนใบหน้าหูหลงแล้วถามขึ้น
“เอ้อ อย่าไปพูดถึงเลย ในหมู่คนกลุ่มนี้มีคนก่อเรื่องน่ะครับ…” หูหลงพูดอย่างโมโห
เย่เทียนเฉินมองหูหลง คิดไปถึงใบหน้าดั้งเดิมของเขา มิน่าล่ะอู๋เสวี่ยถึงต้องการให้เขามาดูสักหน่อย ท่าทางในหมู่คนเหล่านี้จะมีคนที่ไม่ค่อยฟังคำสั่ง หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือก่อเรื่อง
“ไปเถอะ เดินไปคุยไป!” เย่เทียนเฉินมองไปยังบริเวณที่มีแสงไฟเบื้องหน้าแล้วพูดขึ้น
“ครับ!”
หูหลงเดินไปพลางเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้เย่เทียนเฉินฟังไปพลาง เดิมทีหลังจากที่อู๋เสวี่ยได้รับคำสั่งจากเย่เทียนเฉินก็เริ่มประกาศหายอดฝีมือจำนวนหนึ่งไปทุกช่องทาง แน่นอนว่าในหมู่ยอดฝีมือเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะต้องมีฝีมือดี แต่ยังต้องมีระเบียบวินัยอีกด้วย นอกจากนั้นไม่อาจรับคนที่เลวทรามจนเกินไป อู๋เสวี่ยประกาศผ่านความสัมพันธ์เดิมๆ ของตน ติดต่อไปยังคนจำนวนหนึ่ง ในหมู่คนเหล่านี้มียอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ มีทหารหน่วยรบพิเศษที่ปลดประจำการออกไปแล้ว ทั้งยังมีผู้มีพลังพิเศษอีกด้วย เรียกได้ว่าการรับสมัครของอู๋เสวี่ยในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ไม่เสียทีที่เคยเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งของเมืองหลวง มีความคิดและวิธีการอยู่บ้าง
ไหนเลยจะรู้ว่าจะมีคนไม่พอใจ ได้ยินว่าคนที่ต้องการความจงรักภักดีจากพวกเขาเป็นแค่วัยรุ่นอายุยี่สิบปีคนหนึ่งเท่านั้น จึงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจและรู้สึกว่าถูกหลอกเข้าแล้ว จึงผิดหวังอย่างรุนแรง พวกตนต่างก็เป็นบุคคลชั้นยอดในกองทัพ ในพรรควรยุทธโบราณ หรือกระทั่งในโลกของผู้มีพลังพิเศษ สามารถเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่มีความสามารถแข็งแกร่ง ตอนนี้ไม่คิดว่าจะต้องถูกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งชี้นิ้วสั่ง ในใจพลันรู้สึกรับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
มีคนจํานวนหนึ่งก่อเรื่องขึ้นมา ไม่ว่าหูหลง อู๋เสวี่ย หลินตวน และเปาเทียนหลงทั้งสี่คนจะเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง ช่วยอะไรไม่ได้เลย โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณคนหนึ่งในนี้ที่ชื่อว่าหวังเจี๋ย มีฝีมือและความสามารถที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ในตอนที่มาถึงที่นี่ก็ประลองกับคนอื่นๆ อย่างโอหัง คนคนนี้ร้ายกาจมากจริงๆ ไม่มีใครเป็นคู่มือของเขาได้เลย
หลังจากที่อู๋เสวี่ยและคนอื่นๆ มาถึงที่นี่ เมื่อก่อเรื่องขึ้นมาแล้วหวังเจี๋ยย่อมได้เป็นผู้นำ ไม่เพียงแต่จะไม่เชื่อฟังคำพูดของพวกอู๋เสวี่ย แต่ยังด่าเย่เทียนเฉินอีกด้วย เมื่ออู๋เสวี่ยโกรธก็ลงมือ เพียงแต่ฝีมือของหวังเจี๋ยไม่อ่อนแอเลย เรียกได้ว่าสูสีกันกับอู๋เสวี่ย เมื่อต่อสู้กันหวังเจี๋ยก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนอู๋เสวี่ยก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ย่อมไม่สามารถสยบหวังเจี๋ยได้
“ความสามารถของหวังเจี๋ยคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ แล้วเขายังพาคนมาอีกสองคนด้วย ล้วนแต่มีฝีมือไม่อ่อนแอ คนคนนี้เป็นผู้นำในการก่อเรื่อง ส่วนคนอื่นๆ ก็ก่อเรื่องตามขึ้นมา สยบไว้ไม่อยู่แล้ว!” หูหลงพูดอย่างรู้สึกผิด
อู๋เสวี่ยเป็นคนที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาทั้งสี่ กระทั่งเขาก็ยังไม่สามารถสยบหวังเจี๋ยไว้ได้ ตอนนี้จะต้องวุ่นวายแน่นอน โดยเฉพาะหลังจากที่หวังเจี๋ยสู้กับอู๋เสวี่ยแล้ว ก็พูดจายโสโอหังออกมาว่า ถ้าหากที่นี่มีคนที่สามารถเอาชนะเขาหวังเจี๋ยได้ เขาหวังเจี๋ยก็จะติดตามเย่เทียนเฉินไปชั่วชีวิต ถ้าหากไม่มีใครเป็นคู่มือของเขาหวังเจี๋ยได้ เช่นนั้นก็ขี้โม้ให้มันน้อยๆ หน่อย อย่าทำให้เขาเสียเวลา
“ไปเถอะ ไปดูสักหน่อย มีคนก่อเรื่องก็ดีแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
…………..