เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 315 การต่อสู้นองเลือด
เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของหลัวเหว่ยเคอก็หยุดฝีเท้าลง หันไปมองหลัวเหว่ยเคอยิ้มๆ แล้วพูดขึ้นว่า “อย่ารังแกเด็กเลยครับ…”
“พูดได้ดีนี่ อย่ารังแกเด็กเลย…คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าประเทศจีนของพวกเราจะมีบุคคลผู้มีความสามารถแบบนายคนโผล่ออกมา ครั้งนี้พวกเราจะต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันแล้ว!” หลัวเหว่ยเคออดไม่ได้ที่จะถูกความฮึกเหิมของเย่เทียนเฉินอาบย้อม พูดออกมายิ้มๆ
“คุณคอยสนับสนุนผมกับชางหลางอยู่ด้านหลังเถอะครับคุณลุง!” เย่เทียนเฉินมองหลัวเหว่ยเคออย่างเรียบเฉยแล้วพูดขึ้น
“ไอ้หนูนี่…” หลัวเหว่ยเคอพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“คุณทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติมาชั่วชีวิต นี่ไม่ง่ายเลยทีเดียว ใช้ชีวิตไปด้วยดีเถอะครับ ไม่งั้นคงไม่มีโอกาสได้เสพสุขกับชีวิตของมนุษย์ต่อไปแล้ว…”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เย่เทียนเฉินก็ไม่รอให้หลัวเหว่ยเคอพูดอะไร เดินเข้าไปในโรงแรมฝั่งตรงข้าม เขาต้องการไปเรียกชางหลางมา สมาชิกหลักในการต่อสู้ครั้งนี้เขากำหนดเอาไว้แล้ว นั่นก็คือเขากับชางหลางสองคน ส่วนหลัวเหว่ยเคอสามารถทำการช่วยเหลือต่างๆ อยู่เบื้องหลังของพวกเขาได้ เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่มีจิตใจหยาบกระด้างและลำพองใจ เขามองออกว่าหลัวเหว่ยเคอซ่อนตัวอยู่ในเขตชายแดนมาหลายปีแล้ว จะต้องผ่านการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายอ่อนล้าบ้างแล้ว นี่เป็นคนที่ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้กับประเทศชาติ ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปเสี่ยงอันตรายด้วยกัน
หากเรื่องในครั้งนี้ไม่ผิดไปจากรายงานที่หลัวเหว่ยเคอบอก ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะมีองค์กรบางองค์กรวางแผนเรื่องในครั้งนี้เอาไว้แล้ว ถึงกับกล้ามาต่อกรกับทหารหน่วยรบพิเศษแห่งชายแดนประเทศจีน จะต้องเป็นการตัดสินใจของทางฝั่งประเทศชิบะแน่นอน และยังมียอดฝีมือแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวออกมาเคลื่อนไหวด้วย ไม่อาจดูเบาได้ การต่อสู้นองเลือดครั้งใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เย่เทียนเฉินลอบสาบานอยู่ในใจ ไม่ว่าทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบคนและหานเจี๋ยจะตายแล้วหรือไม่ก็จะทำให้ชีวิตของคนกลุ่มนี้ถูกทิ้งอยู่ในป่าหมอกดำให้ได้ เขาเป็นคนที่เมื่อทำเรื่องใดจะไม่ยอมหลงเหลืออุปสรรคในภายภาคหน้าเอาไว้ให้ตนเอง
ปังๆๆ!
เย่เทียนเฉินเคาะประตูห้องของชางหลาง ในตอนที่ชางหลางเปิดประตูออกมาพบว่ามีเย่เทียนเฉินกับคนอีกคนหนึ่งเดินเข้ามานั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “พวกแกสองคนติดต่อกันได้ยังไง?”
“พวกเราติดต่อกันแบบนี้แหละ เตรียมออกเดินทางเถอะ ไปป่าหมอกดำ!” เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในห้อง เดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วพูดขึ้น
หลัวเหว่ยเคอทำความเคารพชางหลาง ถึงแม้เขาจะเป็นสายลับระดับสูงของประเทศ แต่ชางหลางเป็นสมาชิกระดับสูงและเป็นคนที่ใกล้ชิดกับท่านหยางและผู้นำสูงสุดมากที่สุด เรียกได้ว่าชางหลางเป็นคนที่สำคัญมากคนหนึ่ง และมีเพียงเย่เทียนเฉินเท่านั้นที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ไม่รู้จักเคารพเลยแม้แต่น้อย
“เย่เทียนเฉิน ต้องการให้ฉันแนะนำแกกับหลัวเหว่ยเคอให้รู้จักกันสักหน่อยไหม?” ชางหลางถามยิ้มๆ
“ไม่ต้องหรอกครับ ตัวหลักในครั้งนี้มีผมกับคุณสองคน ส่วนที่เหลือพี่หลัวจะสนับสนุนอยู่เบื้องหลังพวกเรา” เย่เทียนเฉินดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดมือแล้วพูดขึ้น
“ได้!”
ชางหลางพยักหน้า นับวันเขายิ่งรู้สึกว่าเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจหยั่งถึงขึ้นเรื่อยๆ ในยามปกติจะรู้สึกเรื่อยเฉื่อยไปบ้าง กระทั่งรู้สึกไม่เอาไหน แต่เมื่อทำเรื่องบางอย่างขึ้นมากลับมีตรรกะ มีความกล้าที่จะก้าวไปเบื้องหน้าตรงๆ ไม่ว่าเบื้องหน้าจะมีใครอยู่ หรือจะมีอันตรายอะไรอยู่ แต่ก็ยังก้าวไปด้านหน้า
“งั้นก็ดี พวกเราไปหยิบอาวุธกัน เผื่อเอาไว้ในกรณีที่มีการต่อสู้ครั้งใหญ่!” หลัวเหว่ยเคอเอ่ยปากพูด
“ผมต้องการแค่มีดเล่มหนึ่งเท่านั้น!” เย่เทียนเฉินพูด
“นี่…ได้ครับ!” หลัวเหว่ยเคอแปลกใจ จากนั้นจึงพยักหน้า ชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถลึกล้ำจนเขาเองก็มองไม่ออก แต่กลับมีความเชื่อใจมาก เชื่อใจว่าเย่เทียนเฉินจะสามารถจัดการเรื่องในครั้งนี้ได้
เวลาประมาณห้าทุ่ม เย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอขับรถที่ใช้าำหรับบนเขาคันหนึ่งออกไปจากเมืองชายแดน มุ่งหน้าตรงไปที่ป่าหมอกดำ ถ้าหากมีคนรู้เข้าว่าสามคนนี้ไปป่าดึกดำบรรพ์กลางดึกจะต้องตกใจอย่างแน่นอน ต้องทราบว่าภายในป่าหมอกดำ ไม่เพียงแต่จะมีสัตว์ดุร้ายและอันตรายที่ยังไม่รู้อีกจำนวนมาก อีกทั้งเนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่มีลักษณะเฉพาะ เส้นทางขรุขระง่ายที่จะทำให้หลงทาง ถ้าหากหลงทางอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์ ไม่มีทั้งน้ำและอาหาร ไม่ต้องเจอเรื่องอันตรายก็หิวตายได้แล้ว
ระหว่างทางเย่เทียนเฉิน ชางหลาง และหลัวเหว่ยเคอ ทั้งสามต่างปรึกษากันหลายเรื่อง เรื่องในครั้งนี้ร้ายแรงเป็นอย่างมาก แม้ทั้งสามคนล้วนเป็นยอดฝีมือระดับสูงแต่ก็ไม่กล้าลำพองใจเลยแม้แต่น้อย จะอย่างไรนี่เป็นเรื่องที่มีการวางแผนล่วงหน้ามาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมียอดฝีมือแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริวของประเทศชิบะอยู่ด้วย อีกฝ่ายจะต้องคาดเดาได้ว่าจะมีคนตามไปช่วยเหลือที่ค่าย เป็นไปได้มากว่าจะมีการลอบโจมตีพวกเขา
เวลาเที่ยงคืน รถสำหรับขึ้นเขาก็ไปถึงชายป่าหมอกดำ ตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้ว อุณหภูมิรอบๆ เริ่มลดลงทำให้รู้สึกหนาวไปถึงกระดูก แต่สำหรับเย่เทียนเฉิน ชางหลางและหลัวเหว่ยเคอที่เป็นชาแข็งแรงแล้วนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่นับเป็นอะไรได้
ป่าวหมอกดำเป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในแถบชายแดน มีลักษณะภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ มีพื้นที่ลักษณะต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบหรือภูเขาขรุขระ หรือจะเป็นภูเขาสูงลำน้ำใสล้วนมีทั้งหมด ดังนั้นทางประเทศจึงยากที่จะควบคุมดูแล สถานที่แห่งหนึ่งที่กระทั่งเรดาร์ก็ยากที่จะตรวจจับทำให้รู้สึกหงุดหงิดจริงๆ
เย่เทียนเฉินลงรถแล้วมองไปรอบๆ เขาใช้พลังพิเศษแห่งการรับรู้ออกมา พบว่ารอบๆ นั้น นอกจากสัตว์ร้ายและนกที่กำลังทำงานจับเหยื่อของตนไปเงียบๆ แล้ว ก็ไม่มีการสั่นสะเทือนของพลังพิเศษของใครเลย ท่าทางคนกลุ่มนี้จะซ่อนตัวได้ดีมาก ทำให้คนอื่นยากที่จะค้นพบ ถ้าหากต้องการหาพวกเขาให้พบจะต้องเข้าไปในป่าลึกถึงจะทำได้
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ คนกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา ทุกคนจะต้องระวังให้มาก!” เย่เทียนเฉินมองไปเบื้องหน้าครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
ไฟฉายพกพาทั้งสามกระบอก ตัวเย่เทียนเฉินเองไม่ต้องใช้ก็ได้เนื่องจากเขาทำเพียงส่งพลังพิเศษของตนไปที่ดวงตาก็สามารถมองสิ่งต่างๆ ในยามค่ำคืนได้เหมือนกับตอนกลางวัน อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากให้ใช้พลังพิเศษของตนให้มากเกินไป เพราะเขาเองก็ไม่กล้าดูเบายอดฝีมือแห่งสำนักดาบโฮคุชินอิตโตริว เป็นไปได้มากว่าจะมีการต่อสู้เป็นตาย หากไม่รักษาพลังเอาไว้ย่อมไม่ได้ รวมกับที่มีชางหลางและหลัวเหว่ยเคอตามมาด้วย พวกเขาสองคนมีความสามารถไม่น้อยไปกว่าเย่เทียนเฉินเลย ถ้าหากรอบๆ มีการเคลื่อนไหวอะไรพวกเขาก็สามารถพบได้ในทันที
เพิ่งจะเดินไปด้านหน้าไม่ถึงสองพันเมตร ชางหลางที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดพลันหยุดฝีเท้าลง เย่เทียนเฉินและหลัวเหว่ยเคอเห็นชางหลางหยุดลงก็หยุดนิ่งไม่ยอมขยับ ภายในป่าหมอกดำแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีอันตรายจากศัตรูเท่านั้น แต่ยังมีกับดักและสัตว์ร้ายอยู่ด้วย เช่นพวกเสือหรืองูหลามเป็นต้น จำเป็นจะต้องระวัง
แซ่ก!
ด้านหน้ามีการเคลื่อนไหว เหมือนกับมีอะไรบางอย่างกำลังต่อสู้และไม่ได้ส่งเสียงออกมาดังนัก นั่นเป็นเสียงที่พื้นถูกเสียดสี
ฟุ่บ!
ชางหลางเดินเข้าไปคนแรก รวดเร็วเป็นอย่างมาก รวดเร็วดุจสายฟ้า การเคลื่อนไหวของเย่เทียนเฉินและหลัวเหว่ยเคอก็ไม่ช้า ตามกันไปติดๆ ในตอนที่พวกเขาสามคนเดินเข้าไปดูก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเย็นยะเยือก พบว่ามีงูหลามตัวใหญ่ที่ใหญ่พอๆ กับถังน้ำกำลังอ้าปากกลืนคนที่ใส่ชุดลายพรางคนหนึ่งลงไป คนที่สวมชุดลายพรางคนนั้นลำไส้ทะลักออกมาแล้ว แต่ยังมีลมหายใจอยู่ มือทั้งสองใช้มีดแทงเข้าไปที่บริเวณปากของงูหลามตัวนั้น แต่เมื่อดูจากสภาพการณ์แล้วไม่ถึงหนึ่งนาทีคนสวมชุดลายพรางคนนี้คงถูกกลืนไปแน่ รอบด้านมีศพอยู่ศพหนึ่ง อนาถจนทนมองไม่ได้ แขนขาถูกกินไปแล้ว สมองก็ถูกงูหลามกินไปด้วย
ตุบ!
ชางหลางและเย่เทียนเฉินยังไม่ทันได้ลงมือ หลัวเหว่ยเคอก็เป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไป ต่อยออกไปด้วยความรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ปะทะลงไปที่หัวของงูหลามตัวนั้น หัวของงูหลามตัวนั้นถูกกดลงที่พื้นในทันที ดวงตาทั้งสองปรากฎเปลวไฟสีแดงก่ำออกมา สะบัดหางกวาดไปทางหลัวเหว่ยเคอ
หลัวเหว่ยเคอเป็นคนที่ผ่านสงครามมานับร้อยและทำภารกิจอยู่รอบๆ ป่าหมอกดำแห่งนี้มาโดยตลอด รู้จักกันการรับมือกับสัตว์ร้ายเหล่านี้ดี ตีงูต้องตีตรงจุดเจ็ดชุ่น แบบนั้นถึงจะเอาชีวิตมันได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ดังนั้นหลัวเหว่ยเคอจึงพลิกตัวขึ้นหลบหางของงูหลาม ในเมื่อขวามีมีดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น แทงเข้าไปในตำแหน่งเจ็ดชุ่นของูหลามตัวใหญ่อย่างแม่นยำ
ฟ่อ!
โครม!
หางของงูหลามตัวใหญ่สะบัดถูกต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งทำให้ต้นไม้ใหญ่หักลง ในขณะเดียวกันหลัวเหว่ยเคอก็ใช้มีดในมือขวาแทงเข้าไปที่จุดเจ็ดชุ่นของงูตัวนี้
ฟ่อ!
เสียงร้องดังขึ้น งูหลามถูกมีดแทงเข้าไปที่จุดเจ็ดชุ่น พลันนั้นจึงเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา ร่างกายอันใหญ่โตโจมตีไปรอบๆ ไม่หยุด โจมตีถูกต้นไม้ใหญ่หลายต้นและยังทำให้เกิดฝุ่นควันฟุ้งไปทั่วทั้งท้องฟ้า ชางหลาง เย่เทียนเฉิน และหลัวเหว่ยเคอสามคนที่ได้เห็นต่างก็ตกตะลึง สัตว์ร้ายที่ดุร้ายขนาดนี้ หากคนธรรมดาเข้ามาในป่าหมอกดำและพบกับมันจะต้องตายจริงๆ แล้ว ไม่มีทางช่วย
ไม่กล่าวไม่ได้ว่าหลัวเหว่ยเคอแข็งแกร่งมากจริงๆ ในตอนที่งูหลามตัวใหญ่ส่งเสียงร้องเขาก็กระโดดขึ้นและโจมตีไป ใช้หมัดโจมตีปะทะเข้าไปที่หัวของมันอย่างรุนแรงอีกหลายครั้งติดต่อกัน โจมตีจนฟันของมันร่วง มีเลือดไหลออกมาจากปาก ชางหลางและเย่เทียนเฉินต่างก็ตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าหลัวเหว่ยเคอคนนี้จะแข็งแกร่งจริงๆ งูหลามตัวใหญ่ถูกเขากำจัดไปเช่นนี้เอง ประสบการณ์ในการรับมือกับงูหลามมีมากมายจริงๆ
ตู้ม!
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง หลัวเหว่ยเคอถูกงูหลามตัวใหญ่กัด เขาถอยออกไปหลายก้าว งูหลามตัวใหญ่ถือโอกาสนี้หนีไป เคลื่อนไหวเร็วมากจนจนหยุดไม่ทัน
“แย่แล้ว!” หลัวเหว่ยเคอตะโกนเสียงดัง คิดจะไล่ตามไปแต่ทุกที่ล้วนมีแต่ความมืดไม่เห็นร่องรอยของงูหลามตัวใหญ่แล้ว และไม่ได้ยินเสียงเลื้อยหนีของมันด้วย
“เป็นอะไรไป?” ชางหลางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“งูประเภทนี้เรียกว่างูหลามโลหิต โดยปกติจะใช้ชีวิตอยู่กับแม่ เรียกได้ว่างูตัวนี้เป็นงูเล็ก ยังมีงูตัวใหญ่อยู่ข้างหลังมัน ด้วยนิสัยของงูโลหิต เมื่อแม่ตั้งท้องสำเร็จและคลอดลูกออกมาก็จะฆ่างูตัวอื่น แม่งูโลหิตจะบ้าคลั่งมากที่สุด ตัวใหญ่หาใดเปรียบ ร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อ ดังนั้นถ้าปล่อยงูตัวนี้ไปพวกเราจะต้องยุ่งยากครั้งใหญ่แน่ ความอาฆาตแค้นของงูโลหิตรุนแรงมาก” หลัวเหว่ยเคอขมวดคิ้วพูด
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเหว่ยเคอ ชางหลางและเย่เทียนเฉินต่างก็ตกใจจนชะงักไป พวกเขารู้ว่าหลัวเหว่ยเคออยู่ที่ชายแดนมาหลายปีและจะไม่พูดโกหกโดยเด็ดขาด เขามีวิธีการรับมือกับสัตว์ร้ายพวกนี้ งูหลามตัวนั้นต้องตายแน่แล้ว แม่งูจะต้องมาแก้แค้นแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะยุ่งยากครั้งใหญ่แล้ว