เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 339 ความรักของแม่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เมื่อต้องพบกับการทรุดหนักของอาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินก็รู้สึกอับจนหนทาง เขาสามารถหาจางอีเต๋อซึ่งเป็นเซียนแพทย์เทวะได้แล้ว ผู้มีพลังพิเศษคนนี้เป็นผู้มีพลังพิเศษในสายรักษาที่หาได้ยาก เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีวิชาแพทย์สูงส่งที่สุดในโลกใบนี้แล้ว ถ้าหากกระทั่งเขาก็ไม่มีวิธีช่วยชีวิตแม่ของเสี้ยวหยา เกรงว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ชิ้นส่วนของยาหลงสุ่ยนั้นเสี้ยวหยาได้มอบให้แม่กินไปหมดแล้ว ประการแรกเป็นเพราะประสิทธิภาพหลังจากกินยาไม่มากนัก ประการที่สองเป็นเพราะเดิมทีเศษของยาหลงสุ่ยนั้นไม่สมบูรณ์ ประสิทธิภาพของยาที่แฝงอยู่มีไม่มาก รวมกับที่เก็บเอาไว้สิบปีแล้วทำให้ประสิทธิภาพของยาแทบจะไม่มี หากมียาที่สมบูรณ์และนำไปมอบให้แม่ของเสี้ยวหยากินอาจจะสามารถยืดชีวิตออกไปได้อีกหลายสิบปี เพียงแต่น่าเสียดายที่ทำได้แค่พูดเท่านั้น อย่างน้อยบนโลกใบนี้ก็ไม่สามารถหายาหลงสุ่ยเม็ดที่สองออกมาได้อีก เนื่องจากกระทั่งหญ้าหลงสุ่ยก็ไม่มี จะไปหายาหลงสุ่ยมาได้จากที่ไหนกัน?
“นี่…ผู้อำนวยการหลิน ขอร้อง ขอร้องล่ะค่ะ คุณจะต้องช่วยแม่ของหนู ขอร้อง…” เสี้ยวหยาทำอะไรไม่ถูก น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่าอาการป่วยของแม่จะเลวร้ายลงเร็วขนาดนี้ มาถึงขั้นที่ไม่สามารถช่วยรักษาได้แล้ว
ผู้อำนวยการหลินชะงัก มองไปยังเย่เทียนเฉิน ท่าทางลำบากใจอยู่บ้าง เนื่องจากสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง อาการป่วยของแม่ของเสี้ยวหยาช่วยเหลือไม่ได้แล้ว เซลล์มะเร็งแพร่ไปทั้งร่าง ต่อให้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้มาก็ไม่สามารถช่วยแม่ของเธอได้ เสี้ยวหยาขอร้องให้ช่วยแบบนี้ นี่เพียงทำให้คนอื่นรู้สึกปวดใจและรู้สึกเศร้าใจเท่านั้น แต่ยังคงไม่มีพลังที่จะช่วยเหลือ มีบางเรื่องที่พลังของมนุษย์ไม่สามารถทำได้ จะอย่างไรก็ไม่สามารถสู้กับลิขิตฟ้า
นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเย่เทียนเฉินจึงมีความตั้งใจแรงกล้าที่จะไล่ตามความลับของชีวิตยืนยาว ดูเหมือนว่าผู้บ่มเพาะทุกคนล้วนต่อสู้กับสวรรค์ เพราะเหตุใดทุกครั้งที่ยกระดับขอบเขตความสามารถได้จึงต้องมีทัณฑ์สวรรค์ ต้องพบกับสายฟ้าจากสวรรค์ นั่นเป็นเพราะมนุษย์ต้องต่อสู้กับสวรรค์ หากไม่เชื่อฟังอำนาจของสวรรค์ย่อมได้รับการโจมตีเป็นการตอบแทน อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านประสบการณ์มาได้แล้วและเหยียบย่างสู่ขอบเขตสวรรค์แล้ว ก็จะยืนอยู่เหนือเส้นทางสวรรค์ กลายเป็นผู้ควบคุม หลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งความเป็นความตาย เพียงแต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ มีกี่คนที่สามารถทำได้กัน?
“พวกเราจะพยายามเต็มที่ แต่พวกคุณก็ยังต้องเตรียมใจให้แก่ผู้ป่วยนะครับ!” ผู้อำนวยการหลินก็สิ้นไร้หนทางเช่นกัน มีเย่เทียนเฉินอยู่ ไม่ต้องพูดว่าเขาจะพยายามเต็มที่แล้วเลย แต่เขาไม่มีความสามารถจริงๆ และไม่มีหนทางอะไรด้วย ทำได้เพียงทอดถอนใจแล้วเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด
เย่เทียนเฉินก็ไม่พูดอะไรมาก ทำเพียงดึงเสี้ยวหยาเข้าสู่อ้อมกอด ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือกอดเสี้ยวหยาเอาไว้แน่น ให้เธอรู้สึกถึงที่พึ่งพิง ไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยว ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรหรือทำอะไรล้วนเสียแรงเปล่า บางครั้งลิขิตฟ้าก็ยากจะต้านทาน ในยามที่ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านสวรรค์ก็ทำได้เพียงยอมรับ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินยิ่งตั้งใจแน่วแน่ว่าในความคิดต่อต้านสวรรค์ ชีวิตของคนคนหนึ่งอยู่ได้เพียงหลายสิบปี ถ้าหากไม่ฉกฉวยเอาไว้ให้ดี มิใช่ว่าจะมีชีวิตเสียเปล่าหรือ?
เกิดแกเจ็บตายดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่สามารถหลุดพ้นได้ ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวในความตายของตน แต่ยังต้องเผชิญกับการเห็นญาติมิตรตายไปทีละคนอีกด้วย ส่วนตนเองก็ทำได้เพียงมองโดยไร้ซึ่งพลัง นั่นยังน่าเศร้ายิ่งกว่าตัวเองตายไปนับร้อยเท่า เย่เทียนเฉินไม่อยากรู้สึกแบบนี้ ญาติมิตรในดาวสิ้นโลกตายไปหมดแล้ว ตอนนั้นเขาไม่แข็งแกร่งมากพอ ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้จึงทำให้เกิดเรื่องของการโจมตีจากสัตว์อสูร ในโลกนี้เย่เทียนเฉินคิดว่าไม่อยากให้เกิดความเสียใจแบบนี้อีก เขาต้องแข็งแกร่ง ต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ต่อให้ต้องต่อต้านสวรรค์ก็ต้องปกป้องญาติมิตรของตนให้ได้
หนึ่งคืนเต็มๆ ที่เสี้ยวหยาร้องไห้สะอึกสะอื้น ต่อให้ร้องจนไม่มีแรง ฟุ้บไปในอ้อมกอดของเย่เทียนเฉินก็ยังมีน้ำตาไหลออกมา สำหรับเสี้ยวหยาแล้วแม่คือฟ้าของเธอ วันนี้ฟ้าถล่มลงมาแล้ว แม่ที่เลี้ยงดูเธอมายี่สิบกว่าปียังไม่ทันได้เสพสุขกับความกตัญญูของลูก ยังไม่ทันได้เห็นตนแต่งงานมีลูกก็จากไปแล้ว ชีวิตคนเรามีแค่ครั้งเดียว ตายไปก็ไม่สามารถมีชีวิตได้อีก จินตนาการได้เลยว่า ในยามที่ครอบครัวคนหนึ่งจากไป ภายหลังคุณคิดอยากจะพบก็ไม่อาจพบได้อีก คุณจะมีอารมณ์เช่นไร? เกรงว่าต่อให้เป็นคนเลือดเย็นก็ยังต้องหลั่งน้ำตา
เย่เทียนเฉินกอดเสี้ยวหยาอยู่ตลอด นั่งอยู่หน้าห้องไอซียูอยู่ตลอดจนฟ้าสว่าง ในระหว่างนี้เย่เทียนเฉินไม่ขยับเขยื้อน เสี้ยวหยาร้องไห้หนักมากจนสะลึมสะลือขึ้นมา เนื่องจากร่างกายรับไม่ไหวจึงหมดสติไปแล้ว เขาไม่อยากรบกวนผู้หญิงคนนี้ เมื่อเห็นท่าทางร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความโศกเศร้าของเสี้ยวหยา ร้องไห้จนเหมือนกับมนุษย์น้ำตา ในใจของเย่เทียนเฉินก็ไม่อาจรับได้ ตั้งแต่เล็กเขาเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อแม่ ตลอดเวลาที่อยู่บนดาวสิ้นโลกจนเติบใหญ่กลายมาเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตระดับพระเจ้า เรียกได้ว่าคอยปกป้องความสงบสุขมาโดยตลอด มีเพื่อนสนิทที่เหมือนกับครอบครัว มีคนที่ร่วมเป็นร่วมตายไปกับเขา มีผู้หญิงที่ตามจีบเขา คนเหล่านี้ก็คือครอบครัวของเขา เพียงแต่ในคืนที่ถูกสัตว์อสูรระดับสูงโจมตี ทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปหมด ทุกคนตายไปหมดแล้ว กลายเป็นความเจ็บปวดตลอดกาลของเย่เทียนเฉิน เป็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจสลัดทิ้ง
ในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะทำให้เย่เทียนเฉินคิดว่า สิ่งที่เห็นในตอนนี้ก็คือความตายของแม่ของเสี้ยวหยา ไร้ความสามารถที่จะช่วยเหลือ ทำได้เพียงโศกเศร้าจนน้ำตาร่วง เช่นนั้นหากมีวันหนึ่งที่พ่อแม่และน้องสาวของตัวเองแก่ตัวไปหรือ ตนก็จะต้องส่งพวกเขาไปจากโลกมนุษย์ทีละคนด้วย? ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีครอบครัวที่อบอุ่น มีความสัมพันธ์พี่น้อง มีความรักใส่ใจจากพ่อแม่ เย่เทียนเฉินย่อมไม่ยินยอมที่จะให้ภาพแบบนี้เกิดขึ้น เช่นนั้นวิธีเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็คือ ตามหาความลับของการมีชีวิตยืนยาว!
เอี๊ยด!
เวลาตีห้าแล้ว ประตูห้องไอซียูเปิดออกอีกครั้ง ศาสตราจารย์ชรากลุ่มหนึ่งพากันเดินออกมา ล้วนส่ายหน้า พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว ผู้ป่วยมะเร็งในปัจจุบันนี้เป็นปัญหาที่รับมือได้ยากที่สุด เกือบร้อยปีมาแล้วที่ไม่สามารถรับมือได้ จนถึงตอนนี้ยังคงรับมือไม่ได้ ผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมดทำได้เพียงรอความตาย ประโยคนี้เป็นความจริงไม่มีเท็จ เพียงแต่ชีวิตที่เหลืออยู่จะมากน้อยแตกต่างกันไปเท่านั้น ผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายคนอยู่ได้หลายปี แต่นั้นไม่ใช่เรื่องดีอะไร กลับกลายเป็นว่าต้องรับความทรมาณไปอีกหลายปีเท่านั้น
“คุณชายเย่ ผู้ป่วยไม่ไหวแล้ว เธอต้องการเจอลูกสาว…” ผู้อำนวยการหลินเดินมาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแล้วพูดเสียงเบา
เย่เทียนเฉินไม่ได้เอ่ยปาก เสี้ยวหยาลืมตาขึ้นแล้ว ทั่วทั้งตัวดูคล้ายกับวิญญาณ น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด ดูแล้วอาการหนักมากจริงๆ ทั้งยังทำให้ผู้คนต้องปวดใจ
“หยาเอ๋อร์…” เย่เทียนเฉินกลัวว่าเสี้ยวหยาจะรับความจริงนี้ไม่ไหว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเรียกเสียงเบา
“เทียนเฉิน ฉันไม่เป็นไร นายพูดถูกแล้ว สิ่งที่ควรเผชิญก็ต้องเผชิญ แม่ของฉันไม่อยากเห็นฉันมีสภาพแบบนี้!” เสี้ยวหยาฝืนเช็ดน้ำตาที่ห่างตาแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินพยักหน้า ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของเสี้ยวหยาเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึง ผู้หญิงจิตใจดีบริสุทธิ์คนนี้ ในตอนนี้เข้มแข็งขึ้นแล้ว เนื่องจากเธอรับรู้ถึงความรับผิดชอบของตน รู้ว่าแม่ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว เธอไม่อาจปล่อยให้แม่จากไปโดยไม่วางใจและโศกเศร้า ในตอนนี้ ตอนที่พ่อไม่อยู่ เธอจำเป็นต้องรับภาระนี้
“ฉันจะเข้าไปเป็นเพื่อนเธอ ให้คุณน้าจากไปอย่างวางใจและเบิกบานใจ!” เย่เทียนเฉินรู้ถึงสาเหตุที่เสี้ยวหยาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขึ้นมาจึงเอ่ยปากขึ้น
เสี้ยวหยาเดินนำหน้าสุด เย่เทียนเฉินเดินตามไปด้านข้าง ผู้อำนวยการหลินก็เดินตามหลังเข้าไป หมอของโรงพยาบาลแห่งเมืองหลวงพยายามเต็มที่แล้ว ทันทีที่เกิดเรื่องผู้อำนวยการหลินเรียกรวมผู้เชี่ยวชาญที่เฉพาะทางที่สุดที่มีทั้งหมดมาทันทีและไปช่วยเหลือฉุกเฉิน เมื่อต้องพบกับผู้ป่วยที่เซลล์มะเร็งแพร่ไปทั่วทั้งร่างแบบนี้ หากไม่ใช่ว่าพวกเขาช่วยเหลือได้เร็วคงสิ้นใจไปนานแล้ว คงทำให้เสี้ยวหยาไม่ได้เห็นแม้แต่ใบหน้าครั้งสุดท้ายของแม่
“แม่คะ แม่ แม่ไม่เป็นไรคะ?” เสี้ยวหยาเดินไปข้างเตียงไอซียู มองแม่แล้วถามด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้แม่ของเสี้ยวหยาอ่อนแอถึงขีดสุดแล้ว สวมใส่เครื่องช่วยหายใจ ใบหน้าขาวซีดจนทำให้ผู้คนต้องตกใจ ลมหายใจติดขัดมาก อาจจะขาดห้วงไปได้ทุกเวลา
เมื่อเห็นลูกสาวเดินเข้ามา ด้านหลังยังมีเย่เทียนเฉินตามมาด้วย แม่ของเสี้ยวหยาก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่มุมปาก มือขวาอันสั่นเทาค่อยๆ ดึงเครื่องช่วยหายใจออก ต้องการที่จะพูดกับลูกสาวซักหลายประโยค
“แม่ แม่ใส่ไว้เถอะ แม่ต้องไม่เป็นไร…” เสี้ยวหยาห้ามแม่เอาไว้ ตอนนี้สิ่งที่สามารถยืดชีวิตแม่ได้ก็มีเพียงเครื่องช่วยหายใจนี้แล้ว
“หยาเอ๋อร์ สภาพร่างกายของแม่…ตัวแม่…ย่อมรู้ตัวเองดี ให้แม่พูดซักหน่อยเถอะ แม่จะได้วางใจ!” แม่ของเสี้ยวหยาพยายามฝืนร่างกายของตนแล้วพูดขึ้น
“แม่…” เสี้ยวหยาอดกลั้นจนถึงขีดสุดและอดทนอยู่นานมากแล้ว แต่ยังไม่สามารถระงับอารมณ์โศกเศร้าในใจของตนได้ น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจต้านทาน เมื่อคิดว่าหากแม่จากไปครั้งนี้แล้วจะไม่ได้เจออีกชั่วชีวิตก็ไม่อาจควบคุมความเจ็บปวดและโศกเศร้าได้จริงๆ
แม่ของเสี้ยวหยามองเสี้ยวหยาที่โถมตัวมาข้างเธอ ลูบผมของลูกสาวตนด้วยความรักใคร่ ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นเธอที่คอยหวีผมให้ลูก แต่หลังจากนี้ไปเธอไม่สามารถหวีผมให้ลูกสาวได้อีก สุดท้ายแม่ของเสี้ยวหยามองไปที่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นว่า “เทียนเฉิน เธอเป็นเด็กดีคนหนึ่ง น้ารู้ว่าเธอดีต่อหยาเอ๋อร์มาก น้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องเธอ ได้หรือเปล่า?”
“น้าพูดมาเถอะครับ ขอเพียงผมทำได้ ผมจะต้องทำแน่นอน!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง
“แม่…” เสี้ยวหยากัดริมฝีปากล่างของตน ไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมา เธอไม่อยากให้แม่จากไปโดยไม่มีความสุข
“หยาเอ๋อร์ชอบเธอมาก น้าไม่รู้ว่าเธอชอบหยาเอ๋อร์หรือเปล่า แต่ยังไง ไม่ว่าพวกเธอจะเดินไปด้วยกันได้หรือไม่ น้าหวังเพียงว่าเธอจะดีต่อหยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์เป็นเด็กที่รู้เรื่องรู้ความ มีหลายครั้งที่พูดถึงเธอต่อหน้าน้า ความคิดของลูกสาวน้า น้ารู้ดี หยาเอ๋อร์ชอบเธอ ดังนั้นน้าอยากจะมอบหยาเอ๋อร์ให้เธอ บางทีนี่อาจจะเป็นคำขอร้องที่มากเกินไป แต่คนเป็นแม่ต้องย่อมต้องการให้ลูกสาวของตัวเองมีความสุข จะได้หรือเปล่า?” แม่ของเสี้ยวหยาถึงกับลุกขึ้นนั่งแล้วพูดออกมาราวกับตะเกียงก่อนสิ้นแสง
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ของเสี้ยวหยา เสี้ยวหยาก็ร้องไห้ออกมา เย่เทียนเฉินก็รู้สึกซาบซึ้งมาก บนโลกนี้ความรักของแม่ยิ่งใหญ่ที่สุด ต่อให้มาถึงช่วงเวลาแห่งความตาย แม่ก็ยังคิดเพื่อลูกของตน อยู่หรือตายล้วนทำเพื่อลูกสาว