เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 340 การจากไปของแม่ของเสี้ยวหยา
“แม่ วางใจเถอะค่ะ ลูกดูแลตัวเองได้ แม่ไม่ต้องกังวล แม่จะไม่เป็นอะไร จะต้องไม่เป็นอะไร…” เสี้ยวหยาร้องไห้เหมือนกับถังน้ำตา พูดอย่างสะอึกสะอื้น
“เด็กโง่ เป็นผู้หญิงก็ต้องแต่งงาน ต้องหาที่พึ่งพิง การเจอกับคนที่ดีต่อลูกหลายวัน ดีต่อลูกหลายเดือน หรือดีต่อลูกหลายปีนั้นง่ายมาก แต่ถ้าต้องการหาคนที่ดีกับลูกไปตลอดชีวิตเป็นเรื่องยากจริงๆ ถ้าหากลูกรักคนคนหนึ่งเข้าจริงๆ ก็ต้องหวงแหนและรักษาไว้ให้ดี!” แม่ของเสี้ยวหยาในตอนนี้เป็นดั่งดวงอาทิตย์ก่อนจะลับจากฟ้า ราวกับเธอไม่เป็นอะไรเลย กระทั่งคำพูดก็ไม่มีการสั่นไหว เพียงแต่นี่เป็นลักษณะของคนที่ใกล้จะตาย
เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ถูกทำให้หวั่นไหวง่ายๆ แต่ตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงอารมณ์เศร้าโศก เมื่อเห็นท่าทางเสียใจแบบนั้นของเสี้ยวหยา ในใจของเขาก็ยิ่งเสียใจ ผู้หญิงคนนี้เหมือนกับผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งในดาวสิ้นโลกมาก ตอนนี้เธอเสียใจแบบนี้เขาจะไม่เสียใจได้อย่างไร? มองไปยังแม่ของเสี้ยวหยาอีกครั้ง เพื่อลูกสาวของตน ถึงช่วงเวลาที่ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้วก็ยังคิดเพื่อลูกสาว เขาจะไม่ซึ้งใจได้อย่างไร?
“เทียนเฉิน…น้า…น้ารู้ว่าทำให้เธอลำบากใจ แต่น้าอยากได้ยินคำตอบของเธอ…” แม่ของเสี้ยวหยาใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังมองไปยังเย่เทียนเฉิน หากเป็นยามปกติเธอคงไม่มีท่าทางแบบนี้ แม่ของเสี้ยวหยาเดิมทีก็เป็นคนดีมาก คิดถึงคนอื่นอยู่ตลอด แต่ตอนนี้ เพื่อความสุขของลูกสาว เพื่อให้เธอมีที่พึ่งพิง เธอจำเป็นต้องทำแบบนี้ ความรักของแม่ยิ่งใหญ่จริงๆ
“คุณน้าครับ คุณวางใจเถอะ ขอเพียงมีผมอยู่ จะไม่ยอมให้เสี้ยวหยาได้รับความเจ็บปวดและความอยุติธรรมแม้แต่ครึ่งส่วน!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเย่เทียนเฉิน แม่ของเสี้ยวหยาก็วางใจลงไม่น้อย ค่อยๆ นอนลงไปบนเตียงไอซียู บนใบหน้าเผยรอยยิ้มยินดีออกมา ลูบศีรษะของลูกสาวตน มุมปากก็พึมพำว่า “แบบนี้น้าก็วางใจแล้ว วางใจแล้ว…วางใจ…แล้ว…”
คำพูดเพิ่งจะถูกกล่าวออกมา มือของแม่ของเสี้ยวหยาก็ตกลง ทั่วทั้งห้องไอซียูอันหนาวเหน็บได้ยินเพียงเสียงร้องไห้ของเสี้ยวหยา เย่เทียนเฉินอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนเธอเงียบๆ ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว อยู่เป็นเพื่อนเธอแบบนั้นตลอดจนฟ้าสว่าง
ในตอนที่พ่อของเสี้ยวหยามาถึงก็เป็นบ่ายวันต่อมาแล้ว ภรรยาที่อยู่กินกับเขามาหลายสิบปี ตอนนี้จากไปแล้ว พ่อของเสี้ยวหยาย่อมต้องรู้สึกเสียใจ เพียงแต่เขาเข้มแข็งกว่าเสี้ยวหยา จะอย่างไรก็เป็นผู้ชาย เขารู้ว่ายังมีลูกสาวให้ดูแล
สามวันเต็มๆ ที่เย่เทียนเฉินอยู่ข้างกายเสี้ยวหยาตลอด ไม่เพียงแต่เพราะเขารับปากแม่ของเสี้ยวหยาไว้ว่าจะดูแลเสี้ยวหยาไปชั่วชีวิต แต่ยังเป็นเพราะเขาไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้เสียใจ ต้องการให้เธอยืนหยัดขึ้นมาได้โดยเร็วที่สุด ในช่วงนี้เย่เทียนเฉินทำได้เพียงโทรศัพท์กลับไปหาหลัวเยี่ยน บอกเรื่องสถานการณ์ในตอนนี้ของตนให้เธอฟังเพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วง จากนั้นก็ปิดเครื่อง อยู่ข้างกายเสี้ยวหยาเงียบๆ จนกระทั่งแม่ของเสี้ยวหยาทำพิธีศพเรียบร้อย เสี้ยวหยายืนร้องไห้อยู่หน้าหลุมฝังศพ เย่เทียนเฉินก็ยังอยู่ด้านหลังเธอ
“แม่คะ แม่วางใจเถอะ หยาเอ๋อร์จะอยู่ให้ดี จะไม่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วงและผิดหวัง แม่อยู่บนสวรรค์ก็ต้องมีความสุขนะคะ!” เสี้ยวหยาสะอึกสะอื้น ดวงตาทั้งสองบวมแดง น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด
เย่เทียนเฉินเดินมาหน้าหลุมฝังศพของแม่ของเสี้ยวหยา นำดอกไม้สดช่อหนึ่งวางไว้ด้านบน หลังจากโค้งคำนับอย่างจริงจังแล้วก็มองไปยังเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้นว่า “หยาเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ ให้คุณน้าอยู่อย่างสงบสักหน่อย ฉันคิดว่าถ้าคุณน้าเห็นเธอยืนหยัดขึ้นมาได้จะต้องมีความสุขแน่นอน!”
เสี้ยวหยาเงยหน้าขึ้นมองเย่เทียนเฉิน ในสายตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความปราบปลื้มใจ ในตอนที่เธอพูดคุยกับแม่ มีหลายครั้งที่พูดถึงเย่เทียนเฉินอยู่บ่อยๆ ในคำพูดของเธอทำให้แม่ฟังออกว่าเธอหลงรักเย่เทียนเฉินโดยไม่รู้ตัวแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจอกับการต่อสู้นองเลือดในซอยลึก เย่เทียนเฉินปกป้องเธอ สังหารคนที่ล้อมโจใตีจนออกไปได้ ประสบการณ์ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันนี้ทำให้เสี้ยวหยาไม่อาจลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต และทำให้เสี้ยวหยารู้สึกว่าเย่เทียนเฉินเป็นผู้ชายที่ควรค่าที่จะมอบชีวิตให้ เขาจะใช้ทั้งชีวิตมาคุ้มครองเธอ
“อืม!” เสี้ยวหยาพยักหน้าอย่างแน่วแน่
ในวันนั้นตอนกลางคืน พ่อของเสี้ยวหยาก็ไปจากเมืองหลวง กลับไปยังที่ทำงาน แต่ละคนก็มีความโศกเศร้าของตัวเอง พ่อของเสี้ยวหยาก็มีความโศกเศร้าเช่นเดียวกัน แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป คนตายก็ตายไปแล้ว คนอยู่ก็ควรจะเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ยิ่งขึ้น มิฉะนั้นกระทั่งคนตายก็คงไม่อาจสงบใจ
เย่เทียนเฉินไม่ให้เสี้ยวหยากลับไปที่บ้านของตัวเอง แต่ให้ตามเขากลับมาที่คฤหาสน์ด้วยกัน ในตอนที่เย่เทียนเฉินพาเสี้ยวหยากลับมา อู๋เสวี่ยและหูหลงก็กลับมาที่คฤหาสน์แล้ว และรออยู่นานแล้ว
“พี่ใหญ่!” เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินพาเสี้ยวหยาเข้ามา อู๋เสวี่ยกับหูหลงก็รีบตะโกนเรียก
“อืม หยาเอ๋อร์ เธอขึ้นไปดูข้างบนก่อนเถอะ ฉันจะหารือกับพวกเขาสักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
เสี้ยวหยาพยักหน้า ถึงแม้เธอจะบอกกับตัวเองว่าให้เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่ทำให้พ่อต้องเป็นห่วง ไม่ทำให้แม่ที่อยู่บนสวรรค์ต้องเป็นห่วง แต่ใครจะลืมการจากไปของครอบครัวจริงๆ ได้บ้าง? นี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเยียวยาถึงจะเดินออกมาจากความเศร้าโศกได้
เมื่อเห็นเสี้ยวหยาเดินขึ้นไปชั้นสอง อู๋เสวี่ยและหูหลงก็ยิ้มขึ้นมา ให้ความรู้สึกราวกับว่าเย่เทียนเฉินไปล่อลวงน้องสาวตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น เย่เทียนเฉินที่ได้เห็นก็รู้สึกอับจนคำพูดจนซัดสองคนนี้ไปคนละหมัด
“ว้าว ลูกพี่รวดเร็วจริงๆ เปลี่ยนคนอีกแล้ว!” อู๋เสวี่ยหัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้น
“ผมล่ะอิจฉาพี่ใหญ่จริงๆ ข้างกายมักจะมีสาวงามไม่ขาดมือ น่าอิจฉาเกินไปแล้ว!” หูหลงก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์
“พวกแกสองคนอย่ามาพูดจามั่วซั่วกับฉัน แม่ของหยาเอ๋อร์เพิ่งจะเสีย อารมณ์ของเธอไม่ดี พวกแกใครก็อย่าไปแกล้งเธอล่ะ ไม่งั้นอย่ามาหาว่าฉันไม่เกรงใจ!” เย่เทียนเฉินชกหมัดเข้าด้วยกันแล้วพูดขึ้น
อู๋เสวี่ยและหูหลงพากันแลบลิ้นออกมา ไม่กล้าพูดจามั่วซั่วอีก เห็นได้ชัดว่าพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินจริงจังมาก ใครก็ไม่อยากกินมัดของเย่เทียนเฉิน
สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกหดหู่ใจมากก็คือ ในตอนที่ยังไม่ได้ก่อตั้งกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ขึ้นมา เขาคิดว่าอู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ยเป็นคนที่เคร่งขรึมจริงจังเหมือนกับทหารเลือดเหล็ก ทำตามคำสั่งอย่างเข้มงวด ไหนเลยจะรู้ว่าคนพวกนี้ติดตามตนได้ไม่นาน ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ขึ้นมาก็ยิ่งดูพึ่งพาไม่ได้ ดูท่าทางคนที่เป็นพี่ใหญ่มีนิสัยอย่างไร พี่น้องที่เป็นผู้ติดตามก็ไม่ต่างกัน
“พวกเรารู้แล้วครับพี่ใหญ่!” อู๋เสวี่ยเอ่ยปากพูด
“ตอนที่ฉันไม่อยู่พวกแกไปไหนกัน?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“พี่ใหญ่ ถึงแม้คฤหาสน์ใหญ่มาก แต่พวกเราพี่น้องก็อยู่กันด้านในก็ยังไม่ชินนัก อีกอย่างคุณมักจะพาสาวงามกลับมา คงไม่ค่อยสะดวกใช่ไหมครับ ดังนั้นพวกเราจึงคิดครู่หนึ่งแล้วย้ายออกมาทั้งหมด” หูหลงหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“พวกแกล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย? คฤหาสน์นี้จ่ายไปกี่ร้อยล้านเพื่อซื้อมา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสระว่ายน้ำมีห้องฟิตเนสอะไรต่างๆ เนื้อที่ก็มีหลาย พัน ถึงแม้ตัวคฤหาสน์จะไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นคฤหาสน์สองชั้น มีห้องแปดห้อง จะให้ฉันหาผู้หญิงเจ็ดคนเข้ามาอยู่หรือไง?” เย่เทียนเฉินมองอู๋เสวี่ยและหูหลงอย่างไม่พอใจแล้วพูดขึ้น
“ฮี่ๆ นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะ…” อู๋เสวี่ยหัวเราะแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินส่ายหน้า ขี้เกียจจะมาพูดกับสองคนนี้แล้ว ตอนนี้สถานการณ์ยังคงเคร่งเครียด อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่ขวางหน้าเย่เทียนเฉินก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง แต่ก่อนหน้านั้นเขาจำเป็นต้องจัดการกับการแก้แค้นของสำนักโฮคุชินอิตโตริวก่อน ดังนั้นจึงให้หูหลงและอู๋เสวี่ยนั่งลง พูดคุยถึงการปฎิบัติการในครั้งนี้อย่างจริงจัง
“ก่อนหน้านี้หลายวัน ที่ฉันไปจากเมืองหลวง เพราะว่าไปที่ป่าหมอกดำบริเวณชายแดนมา ที่นั่นฉันได้สู้กับซาโต้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของสำนักโฮคุชินอิตโตริว…” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูด
“อะไรนะ? สำนักโฮคุชินอิตโตริว?”
“ซาโต้?”
อู๋เสวี่ยและหูหลงตื่นตกใจจนส่งเสียงออกมา พวกเขาสองคนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสำนักโฮคุชินอิตโตริวมาแน่นอน นี่เป็นสำนักที่ไม่ต่างอะไรกับสำนักเส้าหลินของจีน แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ส่วนซาโต้ที่มีฐานะเป็นสิบผู้อาวุโสแห่งสำนักโฮคุชินอิตโตริว บางทีคนธรรมดาอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อซาโต้มาก่อน แต่ในหมู่ยอดฝีมือดูเหมือนจะไม่มีใครไม่รู้จักคนนี้
“พี่ใหญ่ ถ้างั้นผลแพ้ชนะเป็นยังไง?” อู๋เสวี่ยทนไม่ไหวรีบเอ่ยถามออกมา
เมื่อเห็นอู๋เสวี่ยและหูหลงรู้สึกแปลกใจและอยากรู้อยากเห็น เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้พูดอะไร ถอดเสื้อยืดบนร่างของตนออก ในตอนที่อู๋เสวี่ยและหูหลงเห็นบาดแผลที่ไหล่ทั้งสองและท้องของเย่เทียนเฉินก็ต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก ความสามารถของเย่เทียนเฉินนั้นพวกเขารู้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาจากความตายก็ยิ่งลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ถึงกับมีสภาพแบบนี้ได้ ช่างทำให้ผู้คนยากจะจินตนาการจริงๆ
“บางทีซาโต้อาจจะแข็งแกร่งมาก แต่เห็นพี่ใหญ่กลับมาแล้ว งั้นคุณควรจะฆ่าซาโต้ไปแล้ว!” หูหลงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผิดแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันฆ่าซาโต้ แต่ฉันเกือบจะถูกซาโต้ฆ่า ความสามารถของเขา ต่อให้ฉันระเบิดพลังทั้งหมดก็ไม่แน่ว่าจะฆ่าเขาได้ หลังจากที่เขาใช้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันที่ประเทศชิบะพัฒนาขึ้น ขอบเขตความสามารถก็เพิ่มมากขึ้นหลายระดับในเวลาเพียงพริบตา ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ฉันทำได้เพียงตกอยู่ในฐานะที่ถูกอัดเท่านั้น เกือบจะไม่ได้เห็นพวกแกแล้ว!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน อู๋เสวี่ยและหูหลงก็ตื่นตะลึง ในใจอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน ซาโต้คนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ กระทั่งพี่ใหญ่เย่เทียนเฉินลงมือเต็มที่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้ และยังเกือบจะตายอยู่ในป่าหมอกดำอีกด้วย จะไม่ให้พวกเขาสองคนตกใจได้อย่างไร?
แน่นอนว่าคำพูดของเย่เทียนเฉินมีส่วนที่เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ด้วย ระหว่างเขากับซาโต้เรียกได้ว่าไม่สามารถแบ่งแยกแพ้ชนะได้ ระหว่างการต่อสู้ เขาบีบบังคับให้ซาโต้กลืนยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลันเข้าไปกำใหญ่ หลังจากนั้นขอบเขตความสามารถของซาโต้ก็พัฒนาขึ้นขั้นใหญ่ๆ ในพริบตา เขาอัดเย่เทียนเฉินอย่างรุนแรงด้วยสภาพที่ได้เปรียบ แต่เย่เทียนเฉินยังคงใช้วิชา “เนตรประกายทอง” ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาสังหารอันรุนแรงทำให้ซาโต้บาดเจ็บ ถ้าไม่ใช่เพราะซาโต้ใช้ยาปรับเปลี่ยนพันธุกรรมฉับพลัน เผาผลาญพลังชีวิตของตนจนมีร่างกายที่คล้ายจะไม่ตาย ซาโต้ก็คงถูกเนตรประกายทองฆ่าไปแล้ว