เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 347 แกเลือดไหลแล้ว!
“เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหาร” ผ่านการหล่อหลอมบ่มเพาะของหมอกโลหิตมาเกือบ 20 ปี ฆ่าคนบริสุทธิ์ไป 99 คน ใน 99 คนนี้มีวันเกิดและเวลาเกิดในยามหยินทั้งหมด ในชั่วขณะที่ฆ่าคนเหล่านี้ หมอกโลหิตก็จะนำแก่นหัวใจออกมา ใช้วิชาลับทำการหลอม โหดร้ายเป็นอย่างมาก แก่นหัวใจของทุกคนเป็นส่วนที่มีจิตวิญญาณดำรงอยู่มากที่สุด นี่เท่ากับว่านำจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งมากักขังเอาไว้ ไม่สามารถหลุดพ้นได้ ไม่อาจสลัดทิ้งไปได้ตลอดกาล ตายก็ยังไม่สงบ
คนเรานั้นมีจิตวิญญาณ เพียงแต่ไม่ได้เว่อร์เหมือนในตำนานเล่าลือ จิตวิญญาณของทุกคนอยู่ในเลือดเนื้อ และจะค่อยๆ เลือนหายไปตอนตาย คนที่สามารถรวบรวมจิตวิญญาณหลังตายได้มีน้อยเพียงหยิบมือ แต่คนที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ก็จะทำให้วันเวลาที่ตนจะดำรงอยู่บนโลกใบนี้ยาวนานขึ้นเล็กน้อย
ในตอนที่เย่เทียนเฉินหลบโครงกระดูกโลหิตไม่หยุดก็กำลังใคร่ครวญว่าจะเอาชนะโครงกระดูกนี้อย่างไร ถ้าหากไม่สามารถเอาชนะโครงกระดูกนี้ได้ เขาก็ไม่อาจเข้าไปโจมตีสังหารหมอกโลหิตได้ การต่อสู้นี้เขาจะต้องแพ้แน่นอน
โครงกระดูกโลหิตกรีดร้องและคำรามไม่หยุด กระทั่งเย่เทียนเฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นของคนทั้ง 99 คนที่ถูกหมอกโลหิตสังหารอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาไม่สงบ พวกเขาโศกเศร้าเสียใจที่แม้ตายก็ยังไม่ได้ตายดี แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก ถูกหมอกโลหิตหลอมเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดในตำแหน่งหัวใจและถูกหมอกโลหิตควบคุม จนกว่าหมอกโลหิตจะตาย อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นเพียงแค่กลิ่นไอวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น หากต้องการฆ่าหมอกโลหิตยังไม่สามารถทำได้
กลิ่นอายแย่งชิงชีวิตแผ่ขยายไม่หยุด เย่เทียนเฉินมาถึงจุดที่ไม่สามารถหลบได้แล้ว เขาพบลูกประคำบนร่างกายได้อย่างฉับพลัน บนโลกนี้จะมีเทพเซียนปีศาจหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจน บางทีการใช้ของสิ่งหนึ่งสยบของอีกสิ่งหนึ่งก็อาจจะทำได้ เย่เทียนเฉินโยนสร้อยประคำที่คุณย่ามอบให้ตนออกไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงก็คือ สร้อยประคำเส้นนั้นถึงกับร้ายกาจขนาดนี้ เพียงพริบตาเดียวก็หยุดโครงกระดูกโลหิตเอาไว้ได้ ในขณะเดียวกันกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตรอบๆ ก็สลายไปไม่น้อย ทำให้หมอกโลหิตตกใจและเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว ตนเองเสียความพยายามไป 20 ปี ขาดคนที่มีวันเกิดและเวลาเกิดในยามหยินไปอีกคนหนึ่งก็จะสมบูรณ์แบบแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารก็จะไม่เหมือนตอนนี้อีก เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น ตัวเขาหมอกโลหิตเองจะสามารถควบคุมได้หรือไม่ เขาเองก็ยังไม่รู้
ความมหัศจรรย์ของสร้อยประคำนั้นเป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึง เขาเพียงต้องการลองดูสักหน่อยเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสร้อยประคำไม่เพียงแต่จะหยุดโครงกระดูกโลหิตที่บ้าคลั่งเอาไว้ได้ แต่ยังสลายกลิ่นไอแย่งชิงชีวิตที่น่าหวาดกลัวนั้นไปได้ในพริบตาด้วย ในตอนนี้เอง หมอกโลหิตย่อมไม่คิดจะทำให้ความพยายามขอตนล้มเหลว ไม่ยอมมองโครงกระดูกโลหิตที่เกือบจะสมบูรณ์ของตนซึ่งผ่านความการหลอมมาอย่างยากลำบากเป็นเวลา 20 ปีต้องพ่ายแพ้ไปต่อหน้าต่อตา เขากัดนิ้วโป้งซ้ายของตน ใช้เลือดสาดไปบนโครงกระดูกโลหิตที่ถูกหยุดเอาไว้
โฮก!
เสียงกรีดร้องราวกับออกมาจากความโกรธแค้นของวิญญาณก็มิปาน โครงกระดูกสีแดงเลือดนั้นขยายใหญ่ขึ้นไม่น้อยกว่า 10 เท่าในพริบตา ก้มตัวมองเย่เทียนเฉินจากด้านบน เหมือนกับโครงกระดูกที่เต็มไปด้วยเลือดตกลงมาจากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาเพียงข้างเดียวก็เกือบจะใหญ่กว่าตัวเย่เทียนเฉินแล้ว ความกดดันเช่นนั้น ความน่ากลัวเช่นนั้น ไม่ต้องพูดก็เข้าใจดี ถ้าหากคนธรรมดาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงถูกทำให้ตกใจจนสลบไปแล้ว และทำได้เพียงถูกโครงกระดูกโลหิตกลืนกิน
“อ๊าก!”
เสียงคำรามดังลั่นสั่นสะเทือนท้องฟ้า โครงกระดูกสีแดงเลือดถูกหมอกโลหิตใช้เลือดสาด พริบตาเดียวก็ใหญ่โตหาใดเปรียบ ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตก็เข้มข้นขึ้นมาก กดข่มสร้อยสร้อยประคำที่ส่องแสงเอาไว้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว กระบวนท่าโหดเหี้ยมของหมอกโลหิตไม่สามารถดูถูกได้เลยแม้แต่น้อย
ความจริงแล้วคนธรรมดาจำนวนมากต่างคิดว่าอธรรมไม่สามารถเอาชนะธรรมะได้ นี่เป็นหลักการที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ไปตลอดกาล แต่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินที่ได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังพิเศษในขอบเขตพระเจ้าค่อยๆ เข้าใจถึงหลักการอย่างหนึ่งอย่างลึกซึ้ง นั่นก็คือประโยคนี้ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง นี่เป็นเพียงคำปลอบใจที่คนในฝ่ายธรรมะเหล่านั้นมอบให้ตนเท่านั้น คนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ เพราะในตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากับอำนาจมืดอันโหดเหี้ยมและแข็งแกร่งก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงหาคำปลอบใจให้จิตวิญญาณของตนเท่านั้น
เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โครงกระดูกโลหิตที่มีกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันอันน่าหวาดกลัวกดข่มสร้อยประคำที่ส่องแสงเส้นนั้นลง เย่เทียนเฉินตกตะลึง หมัดทั้งสองกำแน่นเตรียมจะลงมือ ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวก็จะมีอันตรายที่จะถูกฆ่าได้ จำเป็นต้องลงมือโจมตีถึงจะถูก เขาไม่ได้เรียกกระบี่ไท่อา ถึงแม้กระบี่ไท่อาจจะสันไม่หยุด ต้องการที่จะช่วยเป็นกำลังให้เขา แต่เขารู้ว่ากระบี่ไท่อาต้องเก็บไว้ใช้ในตอนที่หมอกโลหิตลงมือ มิฉะนั้นหากใช้กระบี่ไท่อาตอนนี้ พลังภายในของตนจะสูญเสียมากเกินไป เมื่อถึงตอนนั้นคงจะถือกระบี่ไท่อาไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฆ่าหมอกโลหิตเลย?
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินเตรียมจะใช้ “หมัดพี่ชายสุดหล่อ” ของตน สร้อยประคำเส้นนั้นพลันส่องแสงออกมา นั่นเป็นแสงที่ไม่รุนแรงและไม่ใช่แสงที่ทำลายโครงกระดูกโลหิตได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา แต่มันอ่อนโยนเป็นอย่างมาก แสงนั้นยิงออกมารัดโครงกระดูกโลหิตที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ ความสงบและความอ่อนโยนสกัดการเคลื่อนไหวของโครงกระดูกโลหิตเท่านั้น ไม่ได้มีกระบวนท่าโจมตีอะไร และไม่ได้ทำลายมัน เพียงแค่รัดไว้เท่านั้น
โครงกระดูกโลหิตที่ถูกแสงสีทองรัดอยู่ดิ้นและคำรามด้วยความโกรธไม่หยุด มีหลายครั้งที่เกือบจะสลัดหลุดจากแสงสีทองนั้นได้ แต่ในที่สุดก็แค่เกือบจะสลัดได้เท่านั้น ทำให้เย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตสองคนที่มองอยู่ด้านล่างพากันขมวดคิ้ว จนถึงตอนนี้การต่อสู้ระหว่างโครงกระดูกโลหิตและสร้อยประคำก็ไม่ใช่อะไรที่พวกเขาทั้งสองจะควบคุมได้ นี่เป็นการเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง หนึ่งธรรมะหนึ่งอธรรม แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่มีใครแพ้ใครชนะ เพียงแค่ต่อต้านกันไม่หยุด โครงกระดูกโลหิตไม่สามารถสลัดออกจากกันรัดของแสงสีทองของสร้อยประคำได้ สร้อยประคำก็ไม่สามารถทำให้โครงกระดูกโลหิตหายไปได้โดยสิ้นเชิง นี่คือการสะท้อนกันที่แท้จริง ถ้าหากธรรมะยังดำรงอยู่แล้วอธรรมไม่สามารถเอาชนะได้ ถ้าเช่นนั้นบนโลกใบนี้คงไม่มีความโหดเหี้ยมไปนานแล้ว นั่นเป็นเพียงคำปลอบใจตัวเองของคนที่ยืนอยู่ฝ่ายธรรมะยามเผชิญหน้ากับพลังอำนาจอันโหดเหี้ยมแข็งแกร่งจนไม่สามารถรับมือได้เท่านั้น
ฉัวะ!
โครงกระดูกโลหิตย่อมไม่ยินยอมที่จะถูกสร้อยประคำกดข่มเอาไว้ ถึงแม้มันจะไม่มีร่างกายเป็นของตนเอง แต่กลิ่นอายสังหารอันบ้าคลั่งเช่นนั้นผ่านการหล่อหลอมมา 20 ปี ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ดาบใหญ่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้น โครงกระดูกสีแดงเลือดถือดาบใหญ่โลหิตเล่มนั้นอยู่ใน มือพริบตาเดียวก็ฟันลงไปบนแสงสีทองที่รัดตนเองเอาไว้ แต่กลับไม่มีประไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ดาบโลหิตสลายไปในพริบตา กระทั่งกลิ่นอายแย่งชิงชีวิตที่อยู่บนตัวดาบก็สลายไปในพริบตา ไม่สามารถทำลายแสงสีทองนั้นได้แม้แต่น้อย ส่วนแสงสีทองก็ไม่ได้โจมตีโครงกระดูกโลหิต นี่ทำให้โครงกระดูกโลหิตยิ่งโกรธขึ้นมา ดูเหมือนสร้อยประคำจะต้องการกักขังมันไว้เช่นนี้ ไม่ยินยอมที่จะลงมือทำลายมัน
“เคล็ดวิชาโครงกระดูกสังหารของแกถูกหยุดไว้แล้ว ต่อไปคงจะเป็นเวลาตัดสินแพ้ชนะของพวกเรา!” เย่เทียนเฉินมองหมอกโลหิตแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“คิดไม่ถึงว่าในตัวของแกจะมีของแบบนี้อยู่ด้วย ไม่งั้นวันนี้แกจะต้องตายแน่นอน!” หมอกโลหิตพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ เรื่องที่ดูเหมือนบังเอิญ ความจริงส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย
ฟิ้วๆ !
ชั่วขณะนั้น เย่เทียนเฉินและหมอกโลหิตต่างเคลื่อนไหวแล้ว ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวพร้อมกัน ทั้งสองพุ่งใส่กัน การต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองยืดเวลาออกไปนานมากแล้ว ไม่อยากจะปล่อยให้เวลายืดออกไปมากกว่านี้อีก ต้องการกำจัดอีกฝ่ายในเวลารวดเร็วที่สุด เย่เทียนเฉินลงมือเต็มกำลัง หมอกโลหิตก็ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมา แต่ก็ไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ในเวลาเพียงสั้นๆ ต่อไปจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก
วูบ!
มีดในมือขวาของหมอกโลหิตยืดยาวขึ้นในชั่วพริบตา กลายเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ราวกับจะกีดขวางทุกสิ่งทุกอย่างยิ่ง ไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินยังได้รู้มาจากปากของหลินตวนอีกด้วยว่า กระบี่อวี๋ฉางเป็นกระบี่ที่ไม่ด้อยไปกว่าพลังอำนาจของกระบี่ไท่อาเลย บางทีอาจกล่าวได้ว่า กระบี่เทพบรรพกาลทั้ง 10 เล่มไม่มีใครอ่อนแอกว่าใคร เพียงแค่ขอบเขตการควบคุมแตกต่างกันเท่านั้น เดิมทีกระบี่อวี๋ฉางก็เป็นกระบี่ที่ต่อต้านสวรรค์ เป็นกระบี่ของคนที่มีนิสัยทรยศ มันใช้เพื่อลอบสังหารจักรพรรดิ กระบี่เช่นนี้เรียกได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้ามันจะมีเพียงคำเดียว นั่นก็คือฆ่า
เย่เทียนเฉินเองก็คิดไม่ถึงว่าอาวุธที่หมอกโลหิตถืออยู่ในมือครั้งนี้จะเป็นกระบี่อวี๋ฉาง มิน่าล่ะกระบี่เล่มนี้ถึงปะทะกับกระบี่ไท่อาได้โดยไม่เสียหายโดยสิ้นเชิง ที่แท้ก็เป็นหนึ่งในสิบกระบี่บรรพกาลเหมือนกัน ไม่ว่าใครก็ไม่อ่อนแอกว่าใคร เกรงว่าคงมีกระบี่เทพในระดับเดียวกันเท่านั้นถึงจะสามารถปะทะกันเช่นนี้ได้ หากเป็นอาวุธอื่นๆ เกรงว่าจะถูกทำลายไปนานแล้ว
ตู้ม!
หมอกโลหิตถือกระบี่อวี๋ฉางอยู่ในมือ ในตอนที่เผชิญหน้ากับเย่เทียนเฉิน พริบตาเดียวมันก็ยืดยาวขึ้น มีบรรยากาศกีดขวางทุกสิ่งทุกอย่างเอ่อล้นออกมา เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เผชิญหน้ากับกระบี่เช่นนี้เขายังไม่หลบ แต่โจมตีออกไปหมัดหนึ่ง
ตู้ม!
ตู้ม!
เลือดสองสายอาบย้อมบนร่างของหมอกโลหิตและเย่เทียนเฉิน พุ่งกระฉูดออกมาจากแต่ละฝ่าย มุมปากของหมอกโลหิตก็มีเลือดสดๆ ไหลออกมา เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อเย่เทียนเฉินต้องเผชิญหน้ากับกระบี่อวี๋ฉางจะยังปะทะเข้ามาโดยไม่หลบเลี่ยง ในตอนที่เขาใช้กระบี่แทงเข้าไปบริเวณหน้าอกซ้ายของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินก็ซัดหมัดปะทะเข้ามาบนหน้าอกของเขากระทั่งหมัดทะลุ เลือดสดๆ พุ่งออกมา
“แกเลือดไหลแล้ว!” เย่เทียนเฉินมองหมอกโลหิตแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่สนใจอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าอกซ้ายของตนแม้แต่น้อย
“งั้นเหรอ? ขอแค่เพียงพอที่จะฆ่าแก นี่ไม่นับเป็นอะไรได้…”
หมอกโลหิตตะโกน ทั้งร่างเคลื่อนไปด้านหน้าต่อไป โจมตีโดยไม่สนใจชีวิตของตน ในตอนที่เขาแทงกระบี่ไปยังเย่เทียนเฉิน คิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องหลบ ไหนเลยจะรู้ว่าเย่เทียนเฉินจะไม่ได้หลบแต่กับซัดหมัดเข้ามาปะทะเขา ดังนั้นการโจมตีนี้เขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่าเย่เทียนเฉิน