เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 401 มุมมองอื่นของเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาว
“เจ้า…”
ปรมาจารย์กระบี่ถูกคำพูดที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเย่เทียนเฉินทำให้อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ในขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกแปลกใจอย่างหาใดเปรียบ ชายหนุ่มคนนี้ฉลาดและร้ายกาจถึงขั้นนี้ แม้ความสามารถการบ่มเพาะจะไม่เท่าไหร่ แต่ก็มีศักยภาพไร้ขีดจำกัด ยิ่งไปกว่านั้นบนร่างของเขายังมีกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางอยู่ด้วย นี่ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่เขาจะปราบกระบี่เซวียนหยวนให้เพิ่มขึ้น
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ปรมาจารย์กระบี่ไม่ได้หลอกเย่เทียนเฉิน นั่นก็คือ การจะได้รับการยอมรับจากกระบี่เซวียนหยวนหรือไม่ ไม่ใช่ว่าต้องมีระดับการบ่มเพาะลึกล้ำถึงขีดสุดเท่านั้น ยิ่งระดับการบ่มเพาะสูงส่งก็ยิ่งมีความเป็นไปได้มาก นี่เป็นเพียงการตัดสินจากปัจจัยด้านเดียวเท่านั้น ที่สำคัญก็คือต้องได้รับการยอมรับจากพลังแห่งเส้นทางปราชญ์และได้รับการยอมรับจากเส้นทางสวรรค์ เมื่อปีนั้นจักรพรรดิเหลือง เซี่ยอวี่ ซางทัง คนเหล่านี้ต่างก็เป็นเพียงคนธรรมดา แต่เป็นเพราะสิ่งที่พวกเขาทำล้วนเป็นเรื่องที่ทำเพื่อมนุษยชาติทั้งหมด จึงทำให้กระบี่เซวียนหยวนซาบซึ้ง ทำให้มันยอมจำนน มิฉะนั้นอาศัยเพียงคนธรรมดาพวกนี้ หากต้องการได้กระบี่เซวียนหยวนคงเป็นเพียงความฝันของคนโง่โดยไม่ต้องสงสัยเลย
“ปรมาจารย์กระบี่ ผมมีสามคำถาม หวังว่าคุณจะตอบผมอย่างซื่อสัตย์ อย่าคิดจะหลอกกัน ไม่งั้นผมก็คงช่วยคุณไม่ได้!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้า พูดด้วยท่าทีไร้พิษภัย
“หากเจ้าไม่คิดจะลองปราบกระบี่เซวียนหยวนก็อย่าได้คิดจะออกไปจากที่นี่ชั่วชีวิต ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น!” ปรมาจารย์กระบี่มองไปที่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างดุดัน
“ไม่เป็นไร ผมยังหนุ่ม เวลาหลายสิบปียังรอได้ อีกอย่าง ผมค่อยๆ หาวิธีทลายออกไปก็ได้ กลับกัน อยู่ที่นี่ก็ไม่มีอันตรายอะไร!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ
ในตอนนี้เอง ปรมาจารย์กระบี่โกรธจนทนไม่ไหว ยกมือขึ้นอยากจะตบเย่เทียนเฉิน เพียงแต่ยกมืออยู่เช่นนั้นครึ่งค่อนวันก็ยังไม่ซัดลงมา ทำเพียงเดินไปนั่งลงข้างเตาหลอม ขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ราวกับหมดความสนใจกับเย่เทียนเฉินแล้ว!
เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย ความจริงตอนแรกเริ่มเขายังสงสัยว่าปรมาจารย์กระบี่มีแผนร้ายอะไรอยู่ คิดว่าเป็นผู้อาวุโสที่ดูถูกไม่ได้คนหนึ่ง เขาสร้างกระบี่เซวียนหยวน นี่เป็นความร้ายกาจระดับใดกัน? ทำให้ผู้คนต้องนับถือ เพียงแต่ในระหว่างสนทนา ปรมาจารย์กระบี่พยายามล่อลวงให้เย่เทียนเฉินไปทำการทดสอบปราบกระบี่เซวียนหยวน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้ยินความร้อนรนในคำพูดของปรมาจารย์กระบี่ เย่เทียนเฉินจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หากว่ากันตามเหตุผล ปรมาจารย์กระบี่เป็นเพียงรอยประทับจิตวิญญาณที่อยู่ในกระบี่เซวียนหยวนเท่านั้น จะมีคนปราบกระบี่เซวียนหยวนได้หรือไม่ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับเขา ถ้างั้นทำไมเขาถึงชอบให้มีคนไปปราบกระบี่เซวียนหยวนขนาดนั้น? ในเรื่องนี้จะต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นจุดที่สำคัญที่สุดก็คือ สุดท้ายแล้วปรมาจานย์กระบี่ยังข่มขู่เขา กล่าวว่าหากเขาไม่ทดสอบปราบกระบี่เซวียนหยวน จะตบเขาให้ตายในฝ่ามือเดียว หากปรมาจารย์กระบี่มีความสามารถเหนือผู้คนจริงๆ เขาสามารถสร้างกระบี่เซวียนหยวนได้ย่อมเข้าใจกระบี่เซวียนหยวนยิ่งกว่าผู้อื่นมาก คงไม่ถูกขังเป็นรอยประทับจิตวิญญาณอยู่ในนี้มาตลอดถึงจะถูก
ทั้งสองนั่งเงียบอยู่เช่นนี้มาตลอด สุดท้ายเย่เทียนเฉินจึงนั่งขัดสมาธิ หลับตาลงเริ่มการบ่มเพาะ เขาพบว่าการบ่มเพาะในสภาวะเช่นนี้ทำให้พลังที่แท้จริงในร่างกายของตนบริสุทธิ์ขึ้นมาก มีพลังหลิงชี่จากฟ้าดินเอ่อล้นออกมาจากทั่วทุกสารทิศโดยไม่รู้ตัว ทั้งหมดโถมเข้าสู่จุดตันเถียนของเย่เทียนเฉิน เย่เทียนเฉินรับรู้ได้ว่าขอบเขตการบ่มเพาะกำลังเพิ่มขึ้นช้าๆ บางทีอาจจะทะลวงขอบเขตก็เป็นได้
จุดตันเถียนของมนุษย์ก็คือเส้นชีพจรของมนุษย์ ภายในจุดตันเถียนมีพลังภายในที่มหาศาลอยู่ ซึ่งสามารถรักษาชีวิตของคนเอาไว้ได้ และสามารถทำให้คนแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ แน่นอนว่านี่จำเป็นต้องรับรู้ถึงลมปราณในจุดตันเถียนใด้ได้ก่อน ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องใช้ออกมาให้ได้ด้วย จุดตันเถียนมีบันทึกในวิชาแพทย์แผนจีนปัจจุบัน มักจะใช้รักษาให้ผู้คน ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ คนที่ร้องเพลงเพราะมักจะใช้พลังจากจุดตันเถียน ตอนที่อาจารย์ด้านการขับร้องสั่งสอนก็จะสอนว่าต้องใช้พลังจากจุดตันเถียนนี้อย่างไร ความจริงนี่เป็นวิธีการใช้พลังที่ง่ายที่สุดเท่านั้น
ที่ผ่านมาเย่เทียนเฉินต้องการทะลวงขอบเขตไปให้ถึงขอบเขตจักรพรรดิมาโดยตลอด เพียงแต่น่าเสียดาย ในตอนที่เขาไปถึงขอบเขตจอมราชันแล้ว เขากลับหยุดชะงักไม่ก้าวหน้า ต่อให้ตอนนี้ไปถึงขั้นสูงของขอบเขตจอมราแล้วก็ไม่สามารถทะลวงพลังไปได้ เนื่องจากบนโลกใบนี้พลังหลิงชี่ที่ช่วยให้ผู้บ่มเพาะทะลวงขอบเขตไปได้แห้งเหือดไปนานแล้ว ไม่อาบ่มเพาะได้โดยสิ้นเชิง นี่เป็นสาเหตุที่ผู้คนมีสุขภาพย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ที่สำคัญก็คือพลังหลิงชี่ที่หล่อเลี้ยงร่างกายเกือบจะหายไปจากโลกนี้ทั้งหมดแล้ว
เรื่องที่เย่เทียนเฉินต้องการกระทำในตอนนี้ก็คือ ต้องการอาศัยเพียงพลังของตนทำการทะลวงขอบเขตอย่างสมบูรณ์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าวิธีนี้ของตนจะบ้าคลั่งขนาดไหน หากถูกผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นรู้เข้าคงตกใจจนคางแทบร่วง คนผู้หนึ่ง ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหน พลังของเขาก็มีขีดจำกัด ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีขอบเขตเทพราชันแล้ว หากต้องการทำลายสวรรค์ทลายปฐพีด้วยการโจมตีเดียวก็ยังต้องอาศัยพลังจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ผู้ที่อยู่ในเส้นทางการบ่มเพาะต้องรับพลังฟ้าดินไม่หยุดจริงๆ เพื่อนำมาทำให้ร่างกายของตนแข็งแกร่งขึ้น สุดท้ายในตอนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงก็จะสามารถถล่มภูเขาได้ด้วยการโบกมือเล่นๆ เพียงครั้งเดียว ถามหน่อยว่ามีจะกี่คนที่กล้าขวางพลังอำนาจเช่นนี้?
อย่างไรก็ตามในจุดนี้ ตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลกเย่เทียนเฉินก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติแล้ว และในตอนที่เขาเดินเข้าใกล้โลงศพหินทีละก้าวเพื่อต้องการดูว่าในโลงศพหินคือกระบี่เซวียนหยวนใช่หรือไม่นั้น คำพูดของตงฟางเมิ่งก็ได้ปลุกสติของเขาอีกครั้ง คนและสรรพสิ่งทั้งหลายต่างเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะที่บ่มเพาะมาเพียงใด บ่มเพาะถึงขอบเขตพลังขั้นใด ต่อให้มีพลังถึงขอบเขตเทพราชัน เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ สามารถคว้าดาวคว้าเดือน เคารพเพียงตนเอง ก็ยังมีชีวิตอยู่ในจักรวาลนี้ ขอเพียงมีชีวิตอยู่ในจักรวาลนี้ก็จะต้องทำตาม “กฎเกณฑ์” ของมัน เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลุดพ้น ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชัน ก็เพียงมีชีวิตยาวนานกว่าคนทั่วไปเท่านั้น หากต้องการเป็นอมตะย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากโชคชะตานี้ได้
ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงมีความคิดบ้าบิ่นอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ตั้งแต่นี้ไป การบ่มเพาะของตนจะไม่อาศัยพลังฟ้าดินอีก จะไม่อาศัยพลังของจักรวาล จะอาศัยเพียงตนเองทะลวงขอบเขจไปเท่านั้น ถึงแม้จะช้ามาก เรียกได้ว่ายากลำบากอย่าหาใดเปรียบ แต่เย่เทียนเฉินพบว่าการทะลวงขอบเขตเช่นนี้จะแข็งแกร่งและหนักแน่นยิ่งกว่าการหยิบยืมพลังหลิงชี่ของฟ้าดินมาทะลวงขอบเขตมาก ขอบเขตเดียวกัน หากอาศัยพลังของตนทะลวงไปจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าการยืมพลังฟ้าดินมาทะลวงขอบเขตแน่นอน กระทั่งเรียกได้ว่าปราบปรามจนสู้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง
อาศัยพลังของตนไปทะลวงขอบเขตบ่มเพาะ ไม่หยิบยืมพลังจักรวาลฟ้าดิน นี่ไม่ใช่อะไรที่เย่เทียนเฉินจะคิดได้เพียงผู้เดียว ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเทพราชันเหล่านั้นไม่ใช่ว่าจะคิดไม่ได้ เพียงแต่เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้วก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย จึงกลายเป็นเรื่องที่ผู้บ่มเพาะหลายคนไม่กล้าจินตนาการ
“เจ้าหนูนี่มีศักยภาพไร้ขีดจำกัดจริงๆ ถึงกับรวบรวมพลังหลิงชี่ทั้งหมดในโลกเล็กๆ ใบนี้ได้ในพริบตา!”
ปรมาจารย์กระบี่มองเย่เทียนเฉินที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง ในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็สามารถรวบรวมพลังหลิงชี่ส่วนใหญ่ในโลกเล็กๆ ที่ว่างเปล่าแห่งนี้ได้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมาด้วยความแปลกใจ ในตอนที่เย่เทียนเฉินปรากฏตัวขึ้นมา ปรมาจารย์กระบี่ก็รู้แล้ว เขาอยู่ในโลกเล็กๆ ซึ่งอยู่ในความว่างเปล่าอันผิดปกติแห่งนี้มาหลายพันปีแล้ว ภายในเวลาหลายพันปีนี้มียอดฝีมือทั้งสิ้นหกคนเข้ามา ต้องการที่จะปราบกระบี่เซวียนหยวน แต่ล้วนต้องเลือดสาดกระจายทั่วฟ้า มีจุดจบที่ความพ่ายแพ้ล้มเหลว
หากต้องการกล่าวถึงจักรพรรดิเหลือง เซี่ยอวี่ และซางทังที่เคยครอบครองกระบี่เซวียนหยวน นั่นก็เป็นเพียงการครอบครองและใช้ประโยชน์เท่านั้น เป็นคนละเรื่องกับการปราบโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเรียกได้ว่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครปราบกระบี่เซวียนหยวนได้เลย ไม่มีใครได้ครอบครองมันอย่างแท้จริง
สิ่งที่เย่เทียนเฉินแตกต่างจากยอดฝีมือหกคนก่อนหน้านี้ก็คือ พลังบ่มเพาะของเขาต่ำกว่าพวกนั้น แต่บนร่างของเขามีกระบี่ไท่อาและกระบี่อวี๋ฉางอยู่แล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 กระบี่เทพบรรพกาลเช่นเดียวกับกระบี่เซวียนหยวน หากไม่ใช่เพราะกระบี่สองเล่มนี้ ด้วยความสามารถในการบ่มเพาะในปัจจุบันของเย่เทียนเฉินคงไม่มีโอกาสได้เข้ามาในความว่างเปล่าอันแปลกประหลาดที่อยู่ในตัวกระบี่เซวียนหยวนเช่นนี้ ยอดฝีมือหกคนก่อนหน้านี้ต่างก็เป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่ง หลังจากที่มาถึงความว่างเปล่าอันแปลกประหลาดนี้ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ เชื่อมั่นว่าจะใช้ความแข็งแกร่งจากพลังบ่มเพาะของตนปราบกระบี่เซวียนหยวนได้ จึงใช้พลังเข้าปราบ เพียงแต่น่าเสียดาย พวกเขาทั้งหมดต่างถูกพลังแห่งเส้นทางปราชญ์ของกระบี่เซวียนหยวนฆ่าตาย ตกอยู่ในจุดจบที่เลือดเนื้อแหลกเหลว
อ้าก…ตู้ม!
ทันใดนั้นเอง เย่เทียนเฉินตะโกนเสียงดัง กางแขนทั้งสองออก รวบรวมพลังหลิงชี่รอบๆ มาที่ตัวเขาแล้วระเบิดพลังทั้งหมดออกมา ไม่ได้ดูดซับไปแม้แต่น้อย ทำให้ปรมาจารย์กระบี่ตกใจจนขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าเจ้าหมอนี่ดูไม่เหมือนคนโง่ หรือจะปัญญาอ่อน? โอกาสบ่มเพาะที่ดีขนาดนี้ โอกาสในการทะลวงขอบเขตแบบนี้ ถึงกับไม่ต้องการเลยหรือ?
ต้องทราบว่าในหมู่ผู้บ่มเพาะไม่มีใครที่ไม่ต้องการรวบรวมพลังหลิงชี่ของฟ้าดิน เพราะพลังหลิงชี่เป็นสิ่งที่บำรุงพลัง ทำให้ผู้บ่มเพาะได้รับผลประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่จะทะลวงขอบเขต พลังหลิงชี่นี้ยิ่งมาก็ยิ่งดี ไม่ต้องกลัวว่าจะมากเกินไป กลัวก็แต่จะน้อยเกินไป แต่เย่เทียนเฉินกลับไม่ต้องการแม้แต่น้อย ไม่ดูดซับแม้แต่น้อย สำหรับผู้บ่มเพาะคนหนึ่งแล้ว ถ้าไม่เป็นเรื่องปัญญาอ่อนโง่งมแล้วจะเป็นอะไรไปได้? สมองมีปัญหารึไง?
“เจ้าหนู สมองมีปัญหารึไง? รวบรวมพลังหลิงชี่มากมายขนาดนั้น เจ้าสามารถเพิ่มขอบเขตบ่มเพาะได้เลย อย่างน้อยก็ทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นจนอยู่ในระดับที่ไม่อาจเทียบได้กับตอนนี้ เจ้าถึงกับสลายพลังหลิงชี่ไปทั้งหมดเชียวหรือ?” ปรมาจารย์กระบี่ทนไม่ไหว มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์
เย่เทียนเฉินมองไปที่ปรมาจารย์กระบี่ ดึงพลังบริสุทธิ์ในร่างกายกลับมาที่จุดตันเถียนช้าๆ จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วน มีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็ต้องตาย ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการกลายเป็นเศษฝุ่นได้ เส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวนี้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครเสาะหาได้สำเร็จ นี่มันเพราะอะไรกัน? เพราะว่าต่อให้พวกเขาจะแข็งแกร่งอย่างไรก็ใช้พลังของจักรวาล เมื่อสูญเสียการสนับสนุนจากพลังเหล่านี้ไป การบ่มเพาะของพวกเขาก็จะลดลงมาก ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนก็มีชีวิตอยู่ในจักรวาลและใช้ทุกสิ่งทุกอย่างของจักรวาล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเคารพกฎเกณฑ์ของจักรวาล ส่วนผม ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่ใช้พลังของจักรวาลแม้แต่น้อย จะใช้พลังของตัวเองทะลวงขอบเขตและบ่มเพาะ ถ้างั้นก็ไม่ต้องเคารพ “กฎเกณฑ์” ที่จักรวาลกำหนดมาแล้ว ผมก็คือผม จะต้องมีสักวันที่จะเดินสู่เส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวที่แตกต่างออกไป!”
…………………..