เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 418 ประชันปัญญาและความกล้าหาญ
หลี่ชิวสุ่ยถูกเย่เทียนเฉินตบจนหน้าบวมเป็นหมู สภาพน่าอนาจจนทนมองไม่ได้ เถียนปอกวงและตงฟางเมิ่งก็ยังพากันตกตะลึง ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถือโอกาสนี้สั่งสอนหลี่ชิวสุ่ย เกรงว่าชื่อเสียงของหลี่ชิวสุ่ยที่เป็นปีศาจสาวและไม่มีใครกล้าหาเรื่องคงต้องถูกเย่เทียนเฉินทำลายจริงๆ แล้ว
แต่เถียนปอกวงก็ไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะแสดงได้เหมือนมาก พูดได้กินใจ แต่เถียนปอกวงยังคงต้องการสู้ด้วยดาบตัดฟืน ต้องการให้เย่เทียนเฉินเอาชนะเขาให้ได้ เย่เทียนเฉินไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงลงมือเต็มที่ เขาไม่เป็นเพลงดาบและเพลงกระบี่ซึ่งเป็นวรยุทธโบราณอะไรเลย รวมกับที่เพลงดาบว่องไวของเถียนปอกวงมีชื่อเสียงโด่งดังในโลกวรยุทธโบราณมาก เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ ได้ที่ไหนกัน
เคร้ง!
เคร้ง!
เคร้ง!
ประกายดาบเงากระบี่ปะทะกัน เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงต่อสู้พัวพัน ครั้งนี้เย่เทียนเฉินเปลี่ยนวิธีการโจมตีแล้ว ดูเหมือนจะโจมตีเต็มกำลัง เมื่อเห็นว่าเถียนปอกวงฟันดาบมาที่ตน ต่อให้รู้ว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บแต่เย่เทียนเฉินก็ยังไม่หลบ ฟาดฝันกระบี่เข้าไปต่อสู้ ต้องการทำให้เถียนปอกวงบาดเจ็บไปด้วยกัน ส่วนตนก็พยายามใช้พลังอ่อนโยนในร่างกายฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ด้วยวิธีนี้จะสามารถเอาชนะเถียนปอกวงได้
ตู้ม!
ปัง!
เคร้ง!
พลั่ก!
การต่อสู้ดำเนินไปหลายสิบกระบวนท่า เย่เทียนเฉินถูกอัดจนกระเด็นออกไป บนร่างมีบาดแผลจากดาบหลายแห่ง ทั้งยังถูกเถียนปอกวงใช้เท้าถีบออกมาและถูกหมัดต่อยไปหลายครั้ง สภาพย่ำแย่เป็นอย่างมากจริงๆ ตั้งแต่ได้มาเกิดใหม่บนโลกใบนี้ เขายังไม่เคยน่าอนาจขนาดนี้มาก่อน ตงฟางเมิ่งที่ได้เห็นรู้สึกทนไม่ไหว เธอรู้ว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนปากแข็ง ตอนนี้เพื่อที่จะช่วยเธอยังคงพยายามไม่หยุด ไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย พยายามจัดการกับเถียนปอกวงอีกครั้ง
“แม่งเอ้ย ไอ้หนูอยากตายรึไง? คิดจะลากฉันไปตายด้วยกันรึไง?” ดาบตัดฟืนในมือของเถียนปอกวงฟันขวางไปที่คอของเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินมองเถียนปอกวง พูดด้วยสายตาไม่พอใจ “ถูกแกเอาเปรียบอีกแล้ว แต่แกจะโง่เกินไปแล้ว เพลงกระบี่ของฉันลึกล้ำขนาดนี้ ทำไมแกถึงดูไม่ออก ฉันไม่ได้คิดจะลากแกไปตายด้วยกัน แต่ต้องการฆ่าแก!”
“ฆ่าฉัน? อะฮ่า ไอ้หนู แกคิดว่าลูกพี่เถียนอย่างฉันจะหลอกง่ายรึไง เพลงกระบี่หลายกระบวนท่าของแกเมื่อกี้ ไม่ต้องบอกว่าจะฆ่าฉันเลย ขนาดแตะต้องฉันก็ยังทำไม่ได้ แกจะขี้เกียจเกินไปแล้ว รับปากมาเป็นลูกน้องฉันซะ แล้วฉันจะสอนเพลงดาบว่องไวให้แก รับประกันเลยว่าเป็นเพลงดาบที่รวดเร็วที่สุดบนโลกนี้ ไม่มีใครสู้ได้!” เถียนปอกวงพูดด้วยความมั่นใจ
“หึ แกมาเป็นลูกเลี้ยงของฉันก็ไม่เลว…”
เย่เทียนเฉินพลิกตัวขึ้นจากพื้น มือขวาถือกระบี่เซวียนหยวนพุ่งเข้าไปยังเถียนปอกวงด้วยความรวดเร็ว รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีเขาก็ไม่เป็นเพลงดาบอะไรอยู่แล้ว ทำได้เพียงอาศัยสิ่งที่เคยได้เห็นได้ยินก่อนหน้านี้เท่านั้น ดูว่าจะใช้จัดการเถียนปอกวงได้หรือไม่
“น่าสนใจ ฉันชอบความดื้อรั้นของแกนะไอ้หนู ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนแกเอง…”
พลั่ก!
ขาขวาของเถียนปอกวงยันลงบนกำแพงด้านหลัง ส่งแรงบินทะยานไปกลางอากาศ ดาบตัดฟืนในมือขวาปะทะกับกระบี่เซวียนหยวนของเย่เทียนเฉินจนเกิดเสียงปะทะกันดังขึ้น จากนั้นทุกครั้งที่เถียนปอกวงใกล้จะฟันถูกเย่เทียนเฉินก็จะผ่อนมือ กำลังหยอกล้อเย่เทียนเฉินอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เถียนปอกวงคิดว่าเย่เทียนเฉินคนนี้น่าสนใจ ทั้งๆ ที่ความสามารถและพลังบ่มเพาะสู้ตนไม่ได้ เพลงดาบเพลงกระบี่ก็ใช้ไม่ได้ แต่ยังปากแข็งว่าจะเอาชนะตน จุดประสงค์เพราะต้องการช่วยผู้หญิงที่สวยราวนางฟ้าที่อยู่ด้านหลังตนแน่นอน เขารู้สึกแปลกใจขึ้นมาบ้างแล้ว อยากเห็นว่าเย่เทียนเฉินจะมีศักยภาพมากขนาดไหน
เคร้ง!
เย่เทียนเฉินโยนกระบี่เซวียนหยวนลงพื้นอย่างฉับพลัน หันไปตะโกนว่า “ไม่สนุกเลย ไม่สนุก ไม่สู้แล้ว ไม่สู้แล้ว…”
ภาพนี้ทำให้เถียนปอกวงมึนงง ตงฟางเมิ่งที่นอนอยู่บนเตียงหินที่คอยดูสถานการณ์อยู่ตลอดก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินกำลังจะเล่นลูกไม้อะไรอีก
“ทำไมไม่สู้แล้ว? สู้ต่อไปสิ ฉันยังสนุกไม่พอเลย ครั้งนี้แกยังไม่แพ้นะ?” เถียนปอกวงถามเรียกความสนใจ
“นี่มันสนุกรึไง? ฉันสู้ไปหลายกระบวนท่าขนาดนั้นแล้ว เพลงกระบี่สิบอักษรของฉันก็ยังไม่บรรลุ ดังนั้นแกสู้ในเงื่อนไขที่ดีกว่าฉัน สู้กันไปแบบนี้ไม่ยุติธรรม แกชนะเพราะได้เปรียบ แต่ก็ยังชนะ นับว่าแกชนะแล้ว พอแล้วล่ะ!” พระองค์พูดอย่างไม่สบอารมณ์
เถียนปอกวงนำดาบตัดฟืนไปสะพายที่หลัง เดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน พูดอย่างรู้สึกสนใจขึ้นเรื่อยๆ “งั้นไอ้หนู แกบอกมาว่าจะแข่งอะไรกัน วันนี้ฉันจะทำให้แกยอมพูดว่ายอมแพ้ออกมาจากใจให้ได้ ก็ยังคงเอาตามนั้น ขอเพียงแกเอาชนะฉันได้แม้แต่ครึ่งกระบวนท่า ฉันก็จะปล่อยผู้หญิงของแกไป เป็นไง?”
เย่เทียนเฉินมองไปที่เถียนปอกวง ใช้สายตาสงสัยมองไป จากนั้นจึงเอ่ยปาก “แกนี่นะ ถึงจะหน้าตาหล่อสู้ฉันไม่ได้ ฝีมือก็สู้ฉันไม่ได้ แต่ก็ไม่ละทิ้งหลักการของลูกผู้ชาย ดีกว่าพวกลูกคุณหนูคุณนายพวกนั้นอีก เพียงแต่น่าเสียดาย วันนี้ฉันอยู่ในสภาพไม่พร้อม ไม่งั้นเรามานัดวันประลองกันใหม่เถอะ!”
“เปลี่ยนวันงั้นเหรอ? น้องชาย แกคิดจะล้อฉันเล่นรึไง? ถ้าเปลี่ยนวันแล้วฉันจะไปหาแกได้ที่ไหนล่ะ?” เถียนปอกวงเกาหัวด้านหลังของตนแล้วเอ่ยขึ้น
“ฉันเย่เทียนเฉิน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยผิดคำพูด ขอเพียงรอให้ฉันอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพลงดาบว่องไวอะไรของแกนี่ ฉันพูดได้ประโยคเดียวเลยว่า สู้ฉันไม่ได้!” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“ไอ้หนู ฝีมือสู้ฉันไม่ได้ก็สู้ฉันไม่ได้สิ ทำไมต้องหาข้ออ้างมากมายด้วย ฉันว่าแกมาสู้กับฉันอีกซัก 100 กระบวนเถอะ หรือจะบอกว่ายอมแพ้ออกมาก็ได้ มาบอกว่าสภาพไม่สมบูรณ์อะไรกัน ผู้ที่เดินบนเส้นทางบ่มเพาะมีวันที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ด้วยรึไง? ไม่ต้องมาปากแข็ง มาเป็นลูกเลี้ยงของฉันดีๆ ซะ ฉันจะถ่ายทอดเพลงดาบว่องไวและเคล็ดวิชาเทพท่องให้แก รับมรดกต่อจากฉัน!” เถียนปอกวงพูดแล้วหัวเราะ
“เถียนปอกวง ฉันว่านะ แกท่องยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ จะยังไงก็มีชื่อเสียงว่าเป็นโจรชั่ว ดูแล้วสมองคงไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ แกคิดดู ประการแรก ตอนนี้เพลงกระบี่สิบอักษรของฉันยังไม่สมบูรณ์ ประการที่สอง ผู้หญิงของฉันถูกแกสกัดจุดชีพจรเอาไว้ นอนอยู่บนเตียงโน้น ฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ แกคิดว่าฉันจะตั้งใจสู้กับแกได้รึไง? แต่ฉันคนนี้เป็นคนตรงๆ แกชนะแล้ว ต่อให้ชนะเพราะเปรียบฉันก็ยอมรับ!” เย่เทียนเฉินทำท่าประมาณว่า แกเถียนปอกวงนับว่าชนะฉันแล้ว และชนะด้วยวิธีขี้โกง ไม่ได้สู้กันด้วยพลังที่แท้จริง
เถียนปอกวงชะงักไป คิดว่าเจ้าหมอนี่พูดได้มีเหตุผลอยู่บ้างจึงเอ่ยปากขึ้น “งั้นแกคิดจะทำยังไง? ทำยังไงแกถึงจะตั้งใจสู้กับฉัน?”
“แน่นอนว่าต้องคลายจุดชีพจรให้ผู้หญิงของฉันซะ ทำแบบนั้นก็จะไม่มีความกังวล สู้กับแกได้จนถึงที่สุด!” เย่เทียนเฉินถือโอกาสกล่าวตามน้ำ
“ได้!”
พลั่ก!
พลั่ก!
เสียงสองเสียงดังขึ้น จุดชีพจรบนร่างของตงฟางเมิ่งถูกคลายออก เธอลงมาจากเตียงหิน มองไปยังเย่เทียนเฉิน ในดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะดูเหลาะแหละ แต่เพื่อช่วยตนเขาเสียสละไปมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เย่เทียนเฉินยังถูกขังอยู่ในโลงศพหินหลายวันหลายคืน ตอนที่ตงฟางเมิ่งพยายามเปิดฝาโลง เธอจึงค่อยพบว่า ผู้ชายคนนี้เข้ามาอยู่ในใจของเธอโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นคนสำคัญไปแล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่เย่เทียนเฉินรู้สึกดีใจ ตงฟางเมิ่งเองก็เตรียมจะลงมือจัดการเถียนปอกวงไปด้วยกัน ตงฟางเมิ่งกลับพบว่าบนร่างของเธอไม่สามารถโคจรพลังภายในได้ ไม่แตกต่างอะไรจากคนธรรมดาเลย เธอชะงักไปทั้งร่าง ในใจคิดว่า คงไม่ใช่ว่าเถียนปอกวงคลายถูกชีพจรให้เธอเคลื่อนไหวได้แต่ยังคงปิดผนึกจุดชีพจรพลังภายในบนร่างของเธอหรอกนะ? ต้องทราบว่าหากพลังในร่างกายของผู้เดินบนเส้นทางบ่มเพาะถูกสกัดกั้น ก็จะไม่ต่างอะไรไปจากคนธรรมดา จนกระทั่งตงฟางเมิ่งได้สติกลับมา เย่เทียนเฉินก็พุ่งไปยังเถียนปอกวงอีกครั้ง เขาเองก็คิดว่าตนหลอกให้เถียนปอกวงคลายจุดชีพจรให้ตงฟางเมิ่งได้แล้ว ถ้าเขากับตงฟางเมิ่งร่วมมือกัน หากต้องการกำจัดเถียนปอกวงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
ฉึกๆๆ … ตอนนี้ข้อมือและขาของเย่เทียนเฉินถูกกระบี่แทงเข้าไปหลายครั้ง ดีที่เถียนปอกวงยังสนใจในตัวเขาอยู่บ้าง คิดว่าเขาน่าสนุกจึงไม่ได้ลงมือสังหาร มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงส่งตัวเองไปตายอีกครั้งแล้ว
“โอย เจ็บ นี่เธอกำลังล้อฉันเล่นรึไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปยังตงฟางเมิ่งแล้วถามด้วยความไม่พอใจ
ตงฟางเมิ่งพยายามส่ายหน้าให้เย่เทียนเฉิน อยากบอกเย่เทียนเฉินจริงๆ ว่าถึงแม้จุดชีพจรของตนจะคลายออก สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระแล้ว แต่พลังภายในกลับถูกปิดผนึก ภายในเวลาเวลาสั้นๆ คงไม่มีใครมาคลายจุดชีพจรให้เธอได้ ต้องอาศัยทำด้วยตัวเอง แต่ต้องการเวลานาน เห็นได้ชัดว่าเถียนปอกวงไม่มอบโอกาสนี้ให้เธอ หลอกให้เถียนปอกวงคลายจุดชีพจรให้ตนได้ เย่เทียนเฉินก็นับว่าฉลาดมากแล้ว
ตอนนี้เอง เถียนปอกวงเดินไปเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินด้วยความลำพองใจ ย่อตัวลงพูดด้วยน้ำเสียงเจือเสียงหัวเราะ “ไอ้หนู แกฉลาดจริงๆ ศักยภาพก็ไม่เลว ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย มาเป็นลูกบุญธรรมของฉันซะ ฉันไม่เพียงแต่จะไม่แตะต้องผู้หญิงของแก แต่ยังจะถ่ายทอดเพลงดาบว่องไวและเคล็ดวิชาเทพท่องให้ด้วยเป็นไง?”
“หึ แกสิลูกฉัน พูดจาไม่เป็นคำพูด ไม่ใช่บอกว่าจะปล่อยผู้หญิงของฉันไปรึไง? เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์”
“ฮ่าๆๆๆ ไอ้หนู แกคิดว่าฉันเถียนปอกวงท่องยุทภพมานานหลายปีขนาดนี้จะเป็นคนปัญญาอ่อนรึไง? ด้วยปัญญาอย่างแกยังคิดจะมาหลอกฉันอีก ผู้หญิงสองคนนี้เป็นลูกศิษย์ของพรรคสุสานโบราณทั้งคู่ ฝีมือการบ่มเพาะย่อมไม่ต่ำต้อย ฉันคลายจุดชีพจรให้ผู้หญิงคนนี้หมด แกกับเธอก็ร่วมมือกันจัดการฉันล่ะสิ ฉันคงรับไม่ไหว ดังนั้นฉันจึงคลายจุดชีพจรให้เธอขยับได้ แต่พลังภายในถูกปิดผนึกไว้ทั้งหมด ใช้การไม่ได้ ตอนนี้เธอเป็นแค่คนธรรมดา ช่วยแกไม่ได้หรอก!” เถียนปอกวงหัวเราะด้วยความลำพองใจ
ฟิ้ว!
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว มือขวาจับกระบี่เซวียนหยวนบนพื้นแล้วพุ่งเข้าใส่เถียนปอกวงโดยไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง เถียนปอกวงคิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถูกตนอัดจนกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่มีความสามารถจะเอาชนะตนได้ยังพุ่งเข้ามาอีก ชั่วขณะนั้นเขาถูกเย่เทียนเฉินบีบบังคับจนต้องถอยเข้าไปในมุมกำแพง
“หนีไปสิ ยังมัวตะลึงอะไรอยู่!” เย่เทียนเฉินใช้กระบี่ฟาดฟันไปยังเถียนปอกวงพลางตะโกนบอกกับตงฟางเมิ่ง
………………