เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 422 หลี่ชิวสุ่ยโกรธจนกระอักเลือด
ในขณะที่เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงต่อสู้กันจนจบ กระทั่งดื่มเหล้าและสาบานเป็นพี่น้องกันในท้ายที่สุด ขณะนั้นหลี่ชิวสุ่ยลอบกระตุ้นพลังภายในของตนมาตลอด คลายจุดชีพจรของตนไปทีละน้อย พลังบ่มเพาะของเถียนปอกวงอยู่ในขั้นนักรบจอมราชันขั้นต้นซึ่งแตะเข้าสู่ขั้นกลางแล้ว ส่วนการบ่มเพาะของเย่เทียนเฉินนั้น หากใช้การวัดระดับของผู้ฝึกวรยุทธมาวัดก็จะอยู่ในระดับนักรบราชันขั้นปลายระดับสูงสุด แต่จะอย่างไรก็ยังไม่สามารถทะลวงผ่านไปได้จึงมีความแตกต่างกันอยู่ การที่เขาสู้กับเถียนปอกวงได้นั้นเป็นเพราะเคล็ดวิชาพลังพิเศษอันโดดเด่นของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังใช้พลังที่ก้าวข้ามขอบเขตการต่อสู้ของตนได้ด้วย ส่วนพลังการบ่มเพาะของหลี่ชิวสุ่ยอยู่ในระดับนักรบจอมราชันขั้นกลาง แม้แต่คนโง่ก็ยังคิดได้ ผู้ที่เดินบนเส้นทางการบ่มเพาะนั้น ยิ่งขอบเขตพลังสูง ความสามารถก็ยิ่งแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นความแตกต่างในขอบเขตเล็กๆ ก็ยังแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ดังนั้นเมื่อเย่เทียนเฉินปะทะกับหลี่ชิวสุ่ย เขาจึงถูกซัดกระเด็นออกไป มือขวาถูกแช่แข็ง ดูแล้วน่าหวาดกลัวมาก
“น้องชาย รีบทำให้ไอเย็นสลายไปซะ นี่คือฝ่ามือสลายกระดูก จะลำพองใจไม่ได้!” ในตอนนี้เถียนปอกวงเองก็จริงจังขึ้นมาแล้ว เขาเป็นโจรชั่วที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่ก็เข้าใจดีว่าหลี่ชิวสุ่ยคนนี้เป็นปีศาจหญิงที่ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา ทั้งยังมีพลังการบ่มเพาะสูงส่งลึกล้ำ มีฝ่ามือสลายกระดูกที่โหดเหี้ยมแปลกประหลาด ตอนนี้เธอคลายจุดชีพจรได้แล้ว คงยากจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งใหญ่
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว เขามีความรู้สึกว่ากระดูกถูกแช่แข็งไปแล้วจริงๆ หากไม่ใช่ว่าเขาฝึกฝนกายเนื้อจนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งแตกต่างจากผู้เดินบนเส้นทางบ่มเพาะในระดับเดียวกัน อย่างน้อยคงเสียแขนขวานี้ไปแล้ว
“คนสารเลวอย่างพวกแกสองคนจะต้องตายวันนี้!” หลี่ชิวสุ่ยกล่าวเสียงต่ำด้วยท่าทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟัน บนฝ่ามือทั้งสองมีไอเย็นปกคลุม นั่นคือลมปราณแห่งความตายชนิดหนึ่ง พลังอำนาจของฝ่ามือสลายกระดูกรุนแรงโดยไม่ต้องสงสัยเลย
“พูดถึงเรื่องสารเลว จะมีใครเกินกว่าเธอหลี่ชิวสุ่ยไปได้? ดูสารรูปของเธอในตอนนี้เถอะ ไม่ใช่แค่สารเลว แต่ยังมีสภาพเหมือนหมูอีกด้วย!” เย่เทียนเฉินสะอึกครั้งหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากพูดอย่างสนุกสนาน ไม่กลัวหลี่ชิวสุ่ยแม้แต่น้อย ทำให้เถียนปอกวงตกใจจนชะงักไป ไอ้หนูนี่คิดจะทำให้หลี่ชิวสุ่ยโกรธจนระเบิดหรือไง?
ตู้ม!
หลี่ชิวสุ่ยตบฝ่ามือไปยังศีรษะของเย่เทียนเฉิน กลิ่นอายแห่งความตายของฝ่ามือสลายกระดูกเอ่อล้นออกมา ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง มีความรวดเร็วเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีพลังอำนาจสูงส่งจนทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อ อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะนั้นเอง เถียนปอกวงจับเอวเย่เทียนเฉินแล้ววิ่งหนีด้วยความรวดเร็วประดุจสายฟ้า มีเคล็ดวิชาเทพท่องของเถียนปอกวงอยู่ หากคิดจะทำร้ายพวกเขาเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมในตอนที่เถียนปอกวงต้องเผชิญกับการไล่ฆ่าของยอดฝีมือที่แท้จริงแล้วยังหนีไปได้อย่างปลอดภัยไร้อันตราย เคล็ดวิชาเทพท่องมีประโยชน์มากจริงๆ
ตู้ม!
ตู้ม!
ตู้ม!
ฝ่ามือที่โจมตีออกไปไม่โดนอีกฝ่าย หลี่ชิวสุ่ยย่อมรู้สึกไม่พอใจ เธอเป็นปีศาจสาวที่ไม่ว่าใครพูดถึงก็ต้องหน้าถอดสี คนธรรมดาได้เห็นล้วนรู้สึกขลาดเขลา ไหนเลยจะกล้าหยอกล้อเธอแบบนี้ มีเพียงเถียนปอกวงที่กล้าคิดจะมีสัมพันธ์กับเธอ ส่วนเย่เทียนเฉินก็ตบเธอจนหน้าบวมเป็นหมู ความแค้นนี้ยังไม่ได้รับการระบาย ถ้าอีกฝ่ายไม่ตายก็จะไม่ยอมหยุด ดังนั้นฝ่ามือทั้งสองของหลี่ชิวสุ่ยจึงโจมตีออกไปอย่างต่อเนื่อง ทุกฝ่ามือที่ซัดออกไปมีพลังอำนาจอันน่าหวาดกลัว ไม่ว่าจะโจมตีถูกกำแพงหินหรือจะโจมตีถูกพื้นล้วนเกิดรอยประทับฝ่ามือเป็นรอยลึก กระทั่งปรากฏรอยฝ่ามือที่คละเคล้าไปด้วยเลือด เถียนปอกวงและเย่เทียนเฉินที่ได้เห็นตกใจยิ่งนัก ปีศาจสาวคนนี้โหดเหี้ยมหาใดเปรียบจริงๆ ฝ่ามือสลายกระดูกก็รับมือไม่ง่ายเลย ใครก็ไม่กล้ารับฝ่ามือนี้ง่ายๆ
“เถียนปอกวง เย่เทียนเฉิน พวกแกสองคนร่วมกันทำเรื่องต่ำช้า เป็นเรื่องน่าขันคับฟ้าแห่งโลกของวรยุทธโบราณจริงๆ!” เสียงอันโหดเหี้ยมราวกับวิญญาณของหลี่ชิวสุ่ยดังก้องไปทั่วทั้งห้อง การโจมตีจากฝ่ามือทั้งสองของเธอก็ไม่ได้หยุดแม้แต่ชั่วขณะ
“พวกเรามีอุดมการณ์เดียวกัน!” เถียนปอกวงกล่าวเสียงดัง
“พวกเรานับถือฝีมือของอีกฝ่าย!” เย่เทียนเฉินแสร้งพูดด้วยท่าทีมีคุณธรรม
หลี่ชิวสุ่ยโกรธจนทนไม่ไหว พูดด้วยท่าทีโมโหว่า “เย่เทียนเฉิน แกร่วมฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกกับตงฟางเมิ่งศิษย์น้องเล็กของฉันไปแล้ว แกเป็นผู้ชายของเธอ ถือว่าแกได้เข้าพรรคสุสานโบราณแล้ว นี่เป็นความจริงที่แกไม่อาจปฏิเสธได้ ตอนนี้แกถึงกับสาบานเป็นพี่น้องกับโจรชั่วอย่างเถียนปอกวง เป็นเรื่องน่าตลกจริงๆ ฉันว่านะ ตั้งแต่นี้ไป พรรควรยุทธโบราณพรรคอื่นๆ ไม่เพียงแต่จะไล่ฆ่าโจรชั่วเถียนปอกวง แต่ยังไล่ฆ่าแกด้วย ฉันอยากจะเห็นจริงๆ ถึงตอนนั้นแกตายยังไงคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ!”
“งั้นเหรอ? เธอคิดว่าฉันเย่เทียนเฉินคนนี้จะกลัวรึไง? ฉันจะบอกเธอให้ ฉันเย่เทียนเฉิน กระทำเรื่องใดล้วนมีหลักการของตัวเองมาโดยตลอด จะไม่ยอมถูกคนอื่นผูกมัด ต่อให้เป็นพระเจ้าก็ไม่สามารถมาชี้นิ้วสั่งฉันได้!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่พอใจ
“งั้นก็ดี งั้นฉันจะส่งพวกแกสองคนไปสวรรค์เอง!”
ทันใดนั้น มือทั้งสองของหลี่ชิวสุ่ยสั่นสะท้าน ภายในห้องหินที่มีขนาดไม่ใหญ่แห่งนี้ฟุ้งกระจายไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายจากฝ่ามือสลายกระดูก ทำให้เถียนปอกวงและเย่เทียนเฉินตกใจจนชะงักไป ผู้หญิงคนนี้ราวกับเสียสติไปแล้ว ระเบิดความสามารถออกมาจนทำให้พวกเขาทั้งสองรู้สึกถึงความอันตราย
หากจะบอกว่า ถ้าเย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงร่วมมือกันจะสามารถกดดันหลี่ชิวสุ่ยได้แล้วล่ะก็ ในตอนแรกพวกเขาสองคนก็มีความคิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้เมื่อดูแล้วกลับรู้สึกไม่แน่ใจ หลี่ชิวสุ่ยในตอนนี้ระเบิดพลังออกมาทั้งหมด ต้องการฆ่าพวกเขาสองคนโดยไม่สนใจว่าจะต้องแลกกับอะไร นี่คือช่วงเวลาอันตราย เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงไม่กล้าแตะต้อง
ตู้มๆๆ!
ในเวลาชั่วพริบตา หลี่ชิวสุ่ยออกกระบวนท่ามาอีกครั้ง มีไอเย็นยะเยือกพุ่งออกมาจากนิ้วทั้งสิบของเธอ ไอเย็นนั้นถูกยิงไปทั่วทุกที่ กระทั่งอากาศก็ถูกแช่แข็ง ความว่างเปล่ายังถูกฉีกขาด เป็นพลังลมปราณสีเทาแห่งความตาย เถียนปอกวงและเย่เทียนเฉินตื่นตะลึงหาใดเปรียบ รีบพากันหลบโดยพลัน ปราณดัชนีสีเทาโจมตีถูกกำแพงหิน ทำให้กำแพงหินที่แข็งจนไม่มีอะไรเทียบกลายเป็นรูโหว่ เป็นช่องสีดำที่ไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจริงๆ
“พวกแกหนีไม่รอดหรอก…ดัชนีเก้าหยินสลายกระดูก!”
หลี่ชิวสุ่ยส่งเสียงคำรามราววิญญาณออกมาอีกครั้ง มือทั้งสองแปรเปลี่ยนไปอยู่ในสภาพกรงเล็บ ปรากฏกระดูกสีขาวขึ้นชัดเจน คล้ายกับไม่มีเลือดเนื้ออย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เลือดสดๆ หยดออกมา ดูอำมหิตหาใดเปรียบ หากคนธรรมดาได้มาเห็นภาพนี้คงตกใจตายไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ฝ่ามือทั้งสองของหลี่ชิวสุ่ยขยายใหญ่ขึ้นจนคล้ายกับเหลือเพียงกระดูกอย่างไรอย่างนั้น
“หวา ฝ่ามือนี้เหมือนโดนหมากัดเลย!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความตกตะลึง
“ช่างมันเถอะ ถ้ามือคู่นี้ช่วยชักว่าวให้ฉัน ฉันคงกระอักเลือดใส่หน้าเธอแน่!” เถียนปอกวงพูดขึ้นอย่างลามก
“พวกแกไปตายซะ!” ตงฟางเมิ่งระเบิดโทสะออกมา ถูกเย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงทำให้โมโหจนแทบกระอักเลือดแล้วจริงๆ สะบัดกรงเล็บลงไปจนกลิ่นอายดำมืดแผ่กระจาย กลิ่นอายแห่งความตายพุ่งทะยานท่วมฟ้า
“ซวยแล้ว กันไม่ได้ ฝ่ามือสลายกระดูกนี้โหดเหี้ยมจริงๆ แล้วตอนนี้ยังถูกยัยนี่เร่งเร้าจนถึงขอบเขตสูงสุดแล้วด้วย ถ้าไปโดนมันต้องตายแน่!” เถียนปอกวงขมวดคิ้วพูด
“หนีเถอะ ไม่งั้นก็ได้แต่รอความตาย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยท่าทีตกตะลึง
เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงสาบานเป็นพี่น้องกันด้วยความบังเอิญ คนหนึ่งคือโจรชั่วเถียนปอกวง มีชื่อเสียงเหม็นเน่า ไม่ว่าจะไปที่ไหนในโลกวรยุทธโบราณล้วนมีคนตามฆ่า เดิมทีก็เป็นคนพึ่งพาไม่ได้อยู่แล้ว แล้วอีกคนล่ะ? อีกคนคือเย่เทียนเฉินที่กลับมาเกิดใหม่จากดาวสิ้นโลก มีนิสัยราวกับเทพสังหารและอันธพาลทั้งสองด้าน ไม่ใช่คนที่ชอบถูกบังคับ กระทำการตามใจ คุณเป็นพรรควรยุทธโบราณแล้วยังไงล่ะ? ต่อให้พรรควรยุทธโบราณทั้งหมดเห็นเขาเป็นศัตรูและไล่ตามฆ่า เย่เทียนเฉินก็ยังกระทำตามความคิดของตัวเองอยู่ดี หากพูดตามคำพูดของเขาก็คือ แม้แต่พระเจ้าข้ายังไม่เคารพ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย
ทั้งสองสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว ทำให้โลกวรยุทธโบราณต้องสั่นสะท้านจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องที่ทำให้ผู้คนเย้ยหยันมากขนาดไหน ดูจากบทสนทนาไร้สาระที่ออกมาจากปากพวกเขาทั้งสองในตอนนี้ได้เลย!
“หนีไม่รอดหรอก ฉันจะทำให้พวกแกสองคนกลายเป็นกองเลือด แล้วกินเนื้อของพวกแก ดื่มเลือดของพวกแก!” หลี่ชิวสุ่ยตวัดกรงเล็บทั้งสอง เธอกลายเป็นปีศาจสาวไปแล้วจริงๆ เส้นผมปลิวไสว ใบหน้าอำมหิต โหดเหี้ยมประดุจวิญญาณร้าย มือซ้ายขวางอยู่บริเวณกำแพงที่พังทลาย ไม่ให้เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงหนีไปได้
“ผู้หญิงคนนี้พอโหดขึ้นมาแล้วน่ากลัวจริงๆ เธอคงไม่ทำให้ตัวเองธาตุไฟเข้าแทรกจนตายใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินเห็นภาพนี้ยังคงถามออกมาอย่างสงบ
“ฉันว่าอาจจะเป็นไปได้ แต่เธอบอกว่าจะดื่มเลือดของพวกเรากินเนื้อของพวกเรา คำพูดนี้จะมากเกินไปหรือเปล่า ถ้ากินเนื้อแก่ๆ ของฉันเถียนปอกวงเข้าไปคงทรมานแย่!” เถียนปอกวงเองก็พูดด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย
เมื่อได้ยินบทสนทนาของเถียนปอกวงและเย่เทียนเฉินอีกครั้ง หลี่ชิวสุ่ยก็โกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมา สองคนนี้น่ารังเกียจเกินไปแล้ว จะต้องฆ่าให้ได้ เมื่อคิดว่าเธอหลี่ชิวสุ่ยฝึกฝนฝ่ามือสลายกระดูกจนถึงขั้นเก้า ความสามารถในการบ่มเพาะก็ไปถึงระดับนักรบจอมราชันขั้นกลางแล้ว กระทั่งเกือบเข้าสู่ขั้นปลายด้วยซ้ำ ปั่นป่วนได้ทั้งโลกวรยุทธโบราณ ขอเพียงไม่พบกับยอดฝีมือระดับสูงของพรรควรยุทธโบราณทั้งหลายก็เรียกได้ว่าเธอไม่มีคู่ต่อสู้ที่เอาชนะไม่ได้ มีความสามารถในการปกป้องตัวเองมากพอ ดังนั้นจึงบุกมาแย่งชิงคัมภีร์ดรุณีหยกไปจากอาจารย์ เดิมทีคิดว่าจะไม่มีปัญหาอะไร มีความมั่นใจในความสามารถของตนมาก ไหนเลยจะรู้ว่าต้องมาพบกับเย่เทียนเฉินและตงฟางเมิ่งในอุโมงค์น้ำแข็ง ตั้งแต่นั้นก็ดูเหมือนเธอจะเริ่มโชคร้าย ตอนนี้ยังไม่ได้คัมภีร์ดรุณีหยก กลับต้องมาเจอการสบประมาทเหยียดหยามอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เธอหลี่ชิวสุ่ยโชคร้ายถึงขั้นสุดจริงๆ คิดแล้วก็แทบกระอักเลือด
“ตาย!”
เสียงตะโกนดังขึ้น หลี่ชิวสุ่ยสะสมพลังฝ่ามือสลายกระดูกจนถึงขั้นสูงสุดซึ่งก็คือขั้นเก้า เส้นผมของเธอโบกสะบัด เสื้อผ้าปลิวไสว สีหน้าขาวซีด มือทั้งสองกลายเป็นกรงเล็บ มีเลือดสดๆ ไหลหยดออกมา มีกระดูกขาวโผล่ทะลุขึ้นมา ดูแล้วคล้ายกับจะธาตุไฟเข้าแทรก ตวัดกรงเล็บไปยังเย่เทียนเฉินและเถียนปอกวง
ในตอนนี้เถียนปอกวงและเย่เทียนเฉินต่างขมวดคิ้ว ถึงปากจะพูดจากันอย่างสบายอกสบายใจ แต่เมื่อกรงเล็บขวาของหลี่ชิวสุ่ยโจมตีลงมาจริงๆ ทั้งสองก็ยังมีสีหน้าหนักอึ้ง รีบกระตุ้นพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมาต่อต้าน!
“หมัดอัสนีสวรรค์!”
“เพลงดาบว่องไว!”
เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงตะโกนออกมา เย่เทียนเฉินต่อยหมัดออกไป ส่วนเถียนปอกวงฟาดฟันปราณดาบออกไปจากดาบผ่าฟืน ล้วนมุ่งโจมตีไปยังมือขวาที่มีกระดูกโผล่ออกมาของหลี่ชิวสุ่ย…