เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 438 กลับเมืองหลวงสิบสามจ้าวสวรรค์รวมตัว
เมืองหลวง เย่เทียนเฉินอยู่ในบ้านที่ตนอาศัยอยู่เพียงลำพัง นี่เป็นวันที่ 10 แล้วที่เขากลับมาถึงประเทศจีน ในเวลา 10 วันนี้เขาไม่ได้ออกไปไหน นอกจากโทรกลับไปหาหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่เพื่อบอกเธอว่าเขาไม่เป็นอะไรก็ไม่ได้โทรหาคนอื่นอีก ส่วนฉีหรูเสวี่ยและอลิซก็ยังอยู่ในบ้านตระกูลเย่ เย่เทียนเฉินก็ไม่ได้ไปสนใจ ปล่อยพวกเธอไปเถอะ ตอนนี้เขายังมีเรื่องสำคัญยิ่งกว่าที่ต้องกระทำ นอกจากค่อยๆ รักษาอาการบาดเจ็บแล้ว ในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในประเทศเป็นอย่างไรบ้าง
ในระยะนี้เย่เทียนเฉินอาศัยอยู่ในคฤหาสน์อันกว้างใหญ่ มีผู้หญิงสองคนที่สวยราวกับนางฟ้าคอยปรนนิบัติเขาตลอด ระหว่างผู้หญิงทั้งสองก็ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกัน และดูเหมือนจะไม่ได้ทะเลาะกันสักคำ ทั้งยังไม่ได้ถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างอีกฝ่ายกับเย่เทียนเฉินด้วย ต่างดูแลเย่เทียนเฉินอย่างตั้งใจ ถึงแม้ดูแล้วความสัมพันธ์จะไม่เลว แต่เย่เทียนเฉินรู้ว่าจะต้องมีสักวันที่ต้องพูดให้ชัดเจน เขาไม่อยากทำให้ใครเสียเวลา จะอย่างไรความสัมพันธ์ของเขากับผู้หญิงสองคนนี้ก็ไม่ธรรมดา หากจะกล่าวว่าตนไม่มีความรู้สึกต่อพวกเธอนั่นคงเป็นไปไม่ได้ ผู้หญิงสองคนนี้ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าคนหนึ่งก็คือเสี้ยวหยา อีกคนหนึ่งก็คือตงฟางเมิ่ง
เย่เทียนเฉิน เถียนปอกวงและตงฟางเมิ่งกลับมาเมืองหลวงด้วยกัน หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวง คนทั้งสามที่ได้รับบาดเจ็บเจียนตายย่อมต้องมาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของเย่เทียนเฉิน หากพูดถึงอาการบาดเจ็บ อาการของเย่เทียนเฉินสาหัสที่สุด หลังจากที่เขาทะลวงพลังไปถึงขอบเขตพลังพิเศษระดับจักรพรรดิแล้วก็ต้องสู้กับเสี้ยวหย่วนจนเอาชนะมาได้ และยังลงมือกับเสียม๋ออีกด้วย บังคับกระบี่ไท่อา กระบี่อวี๋ฉาง และกระบี่เซวียนหยวน ต่อให้ตอนนี้พลังภายในร่างกายจะมั่นคงประดุจเขาไท่ซานก็ยังมีความรู้สึกว่าเผาผลาญพลังไปมาก จะอย่างไรกระบี่ทั้งสามเล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในสิบกระบี่เทพบรรพกาล หากต้องการควบคุมเป็นเรื่องยากมากจริงๆ หากไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินทะลวงพลังไปถึงขอบเขตผู้มีพลังพิเศษระดับจักรพรรดิทำให้ความสามารถเพิ่มพูนขึ้นมาก คงไม่สามารถทำให้กระบี่ทั้งสามเล่มปรากฏออกมาได้ในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ และโจมตีเสียม๋อจนบาดเจ็บได้ และเป็นเพราะมีกระบี่เทพทั้งสามเล่มนี้อยู่จึงทำให้เขาทำมีพลังต่อสู้เพียงพอที่จะสู้กับเสียม๋อได้ มิฉะนั้นพลังบ่มเพาะของผู้มีพลังพิเศษระดับจักรพรรดิขั้นต้น ต่อให้รวมคงามสามารถในการต่อสู้ข้ามขั้นเข้าไปด้วยก็ยังไม่สามารถสู้กับผู้แข็งแกร่งในระดับนักรบจอมราชันขั้นปลายอย่างเสียม๋อได้
เถียนปอกวงออกไปหลังจากที่บาดแผลเริ่มดีขึ้นแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่ชอบผูกมัด รวมกับเรื่องของพรรคท่องกระบี่ที่พัวพันกันมานานจนทำให้เกือบสิ้นชีพ หากใช้คำพูดของเขากล่าวก็คือ ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาที่เมืองได้ ถ้าไม่เที่ยวเล่นให้ดีจะสมกับฉายาโจรชั่วอย่างตนได้อย่างไร? ย่อมต้องไปก่อความวุ่นวายเสียหน่อย
เดิมทีตงฟางเมิ่งก็ต้องการกลับไปที่บ้าน ตระกูลตงฟางของเธอเป็นตระกูลในโลกวรยุทธโบราณของประเทศจีน หากพูดถึงอำนาจของตระกูลอาจเทียบกับตระกูลของซูเฟยเฟยและหลิงอวี่สวิ๋นไม่ได้ แต่ตระกูลตงฟางเป็นตระกูลในโลกวรยุทธ หากไม่ได้เป็นตระกูลใหญ่ที่ทรงอิทธิพลในโลกการเมืองและเศรษฐกิจย่อมไม่กล้ามาหาเรื่อง เมื่อใคร่ครวญถึงอาการบาดเจ็บของเย่เทียนเฉิน และเดิมทีเสี้ยวหยาก็ไม่มีพลังบ่มเพาะแม้แต่น้อย หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นคงแย่จริงๆ แล้ว รวมกับที่ตงฟางเมิ่งเองก็ได้รับบาดเจ็บ การฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกยังไม่สมบูรณ์มาจนถึงตอนนี้ เอาแต่หน่วงอยู่ในขอบเขตที่เกือบสมบูรณ์ จะทำอย่างไรก็ไม่อาจสำเร็จไปถึงขั้นสุดท้ายได้ ตงฟางเมิ่งรู้สึกหดหู่มาก คิดหาวิธีทะลวงพลังมาโดยตลอด
ก๊อกๆๆ!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากนอกประตูห้องนอนของเย่เทียนเฉิน เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หลังจากที่ได้โคจรพลังรักษาตัวมาสิบกว่าวัน อาการบาดเจ็บของเขาก็ไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงนี้เย่เทียนเฉินยังทำให้พลังในขอบเขตจักรพรรดิของตนมั่นคงขึ้น ทำให้มัน แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตอนที่อยู่ในช่องว่างอันแปลกประหลาดของกระบี่เซวียนหยวน เย่เทียนเฉินได้ตระหนักรู้ในเรื่องของเส้นทางการบ่มเพาะมากขึ้นอีกขั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เขาก็เหมือนกับผู้เดินบนเส้นทางการบ่มเพาะคนอื่นๆ นั่นก็คือขอเพียงมีโอกาสในการทะลวงขอบเขตพลังให้สูงยิ่งขึ้น เขาก็จะทะลวงพลังโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย โดยไม่รู้เลยว่าการทะลวงพลังแบบนี้ บางทีอาจจะทำให้ความสามารถแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ ทำให้ไปถึงขอบเขตการบ่มเพาะที่สูงขึ้นจริงๆ แต่การทะลวงขอบเขตแต่ละระดับในช่วงก่อนๆ ที่เกิดต่อเนื่องโดยไม่ทำให้ขอบเขตการบ่มเพาะมั่นคง จะทำให้เกิดการสั่งสมข้อบกพร่องไปเรื่อยๆ เมื่อถึงตอนนั้น หากต้องการจะแก้ไขก็ไม่สามารถทำได้แล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาถึงไม่รีบทะลวงขอบเขต ความมุมานะจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เขายังได้รู้อะไรอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือคำอธิบายที่ปรมาจารย์กระบี่บอกให้ฟังเกี่ยวกับความหมายของชีวิตยืนยาว เย่เทียนเฉินเองก็รู้ว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในจักรวาลแห่งนี้มีผู้แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นมาก มีผู้แข็งแกร่งระดับเทพราชันที่ไร้คู่ต่อสู้ในจักรวาล เพียงแต่บพวกเขาก็ไม่ได้มีชีวิตยืนยาว ไม่มีใครที่มีเรื่องเล่าขานว่าเป็นผู้อมตะจริงๆ ทำให้เขาคิดไปถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง ดังนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ในตอนที่เย่เทียนเฉินจะทะลวงขอบเขตพลัง เขาจะไม่อาศัยพลังของจักรวาลแห่งนี้โดยเด็ดขาด เขาจะอาศัยพลังของตัวเองเท่านั้น การที่เขาทะลวงขอบเขตจากระดับจอมราชันไปถึงระดับจักรพรรดิได้เช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นอย่างแท้จริง ต่อให้เผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิเช่นเดียวกัน หรือต่อให้เป็นยอดฝีมือในระดับจักรพรรดิขั้นกลาง เย่เทียนเฉินก็มั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องใช้สภาวะการต่อสู้ข้ามขั้นก็จะเอาชนะเขาได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงปรมาจารย์กระบี่ ลอบในใจสัญญากับตัวเองว่า ถ้าหากมีโอกาสไปดาวจักรพรรดิ จะต้องช่วยเขาตามหาภรรยาและลูกสาวให้ได้!
“เย่เทียนเฉิน ตายแล้วรึไง?” ด้านนอกมีเสียงเย็นชาดังแว่วมาไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นตงฟางเมิ่ง
“เปล่า ยังมีชีวิตอยู่ดี ยังหายใจอยู่ เข้ามาสิ!” เย่เทียนเฉินตอบกลับไป
ประตูห้องถูกผลักให้เปิดออก ตงฟางเมิ่งถือบะหมี่ผัดซอสถ้วยหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก มองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างเย็นชา วางบะหมี่ผัดซอสลงด้านข้าง พูดอย่างเรียบเฉยว่า “กินสิ อีกเดี๋ยวฉันจะกลับแล้ว!”
“กลับแล้ว? กลับไปไหน?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“ก็กลับบ้านของตัวเองน่ะสิ จะให้อยู่ที่นี่ไปตลอดหรือไง?” ตงฟางเมิ่งกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินมองเวลา อย่างน้อยตอนนี้ก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว เสี้ยวหยาใกล้จะเลิกคาบเรียนด้วยตัวเองแล้ว ตงฟางเมิ่งบอกว่าจะไป นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ต้องการให้ตนรั้งเธอไว้เหรอ?
“ดึกขนาดนี้แล้ว อย่าเพิ่งไปเลย…ถ้าจะไปก็ไปพรุ่งนี้เถอะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดครึ่งแรกของเย่เทียนเฉิน ความจริงในใจของตงฟางเมิ่งก็รู้สึกดีใจมาก ไหนเลยจะรู้ว่าประโยคหลังจะทำให้ตงฟางเมิ่งต้องโมโห เย่เทียนเฉินคนนี้จะรั้งเธอไว้ที่ไหนกัน ยังไงก็ต้องการให้เธอไปพรุ่งนี้ เจ้าหมอนี่…อีคิวต่ำจริงๆ!
“กินเถอะ กินเสร็จแล้วก็ไปล้างจานเอง ฉันไปล่ะ!” ตงฟางเมิ่งส่งถ้วยให้เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินรับถ้วยมา มองบะหมี่ในถ้วย พลันต้องรู้สึกเอือมระอา พบว่าบะหมี่ในถ้วยแห้งแข็งและไม่มีน้ำซุป จะบอกว่าเป็นบะหมี่ผัดซอสก็ไม่เหมือน ที่สำคัญก็คือยังเห็นเส้นบางส่วนที่ยังไม่สุก ทำให้เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะยู่ปากแล้วถามว่า “นี่…นี่มันอะไร?”
ตงฟางเมิ่งมองท่าทีของเย่เทียนเฉิน จ้องมองชายตรงหน้าอย่างดุดัน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เสี้ยวหยาไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง เธอใกล้จะสอบแล้วไม่มีเวลามาทำให้นายหรอก ก่อนไปบอกว่านายชอบกินบะหมี่ผัดซอส ฉันก็เลยทำแทน…ใช่แล้ว นายจะกินหรือเปล่าล่ะ!”
“เอ๋? นี่คือบะหมี่ผัดซอสเหรอ? น้ำซุปล่ะ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“บะหมี่ผัดซอสต้องมีซุปด้วยเหรอไง?” ตงฟางเมิ่งเองก็ถามด้วยท่าทีจริงจัง
“…”
“เอาล่ะ ฉันแพ้!” สุดท้ายเย่เทียนเฉินก็ทอดถอนใจออกมา
ตอนนี้เอง ตงฟางเมิ่งมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร หมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป เพิ่งจะเดินไปถึงประตู เย่เทียนเฉินก็กินบะหมี่ผัดซอสเข้าไปคำหนึ่งจากนั้นจึงคายออกมาแล้วเอ่ยถามว่า “ตอนที่อยู่พรรคสุสานโบราณเธอไม่กินข้าวหรือไง? เป็นคนป่าเหรอ?”
“นายสิเป็นคนป่า นายเป็นเทพหรือไงล่ะ?” ตงฟางเมิ่งพูดอย่างดุดัน
“งั้นเธอเคยเห็นใครกินข้าวตอนสี่ทุ่มหรือเปล่า? ตอนเที่ยงกินข้าวกลางวันไป ตอนนี้ฉันหิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย!” เย่เทียนเฉินบ่นออกมาอย่างหดหู่
“จะกินไม่กิน เจ้าโง่!” ตงฟางเมิ่งพูดอย่างเย็นชา
เมื่อเห็นแผ่นหลังของตงฟางเมิ่ง เย่เทียนเฉินก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เขาเองก็รู้สึกถึงบรรยากาศระหว่างตงฟางเมิ่งและเสี้ยวหยา เพียงแต่ที่ผ่านมาผู้หญิงทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร ก็อยู่กันไปแบบนี้ แต่ยังไงก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่ต้องพูดให้ชัดเจน เขาต้องการให้ตงฟางเมิ่งอยู่ต่อ จะอย่างไรนี่ก็เป็นผู้หญิงคนที่สองที่เขามีความสัมพันธ์ชายหญิงด้วยหลังจากได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ ถึงแม้ตงฟางเมิ่งจะเย็นชาไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงเลวร้ายอะไร จะมากจะน้อยก็ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมากมายและก็มีความรู้สึกอยู่บ้าง แต่หากรั้งให้ตงฟางเมิ่งอยู่ เช่นนั้นเสี้ยวหยาล่ะ? จะช้าจะเร็วก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่ต้องไป ในเมื่อตงฟางเมิ่งมีบ้านของตัวเอง เธอก็ต้องกลับไป งั้นก็ให้เธอกลับไปเถอะ
หลังจากกินบะหมี่ผัดซอสเสร็จแล้วเย่เทียนเฉินก็ยังไม่รู้ว่ามือซ้ายของตงฟางเมิ่งที่เดินออกไปแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงตลอด มือของเธอเต็มไปด้วยแผลถูกลวก ตงฟางเมิ่งไม่เคยทำอาหาร บะหมี่ผัดซอสเป็นอาหารจานแรกที่เธอทำ แล้วยังไปดูมาจากอินเตอร์เน็ต ทำจนถึงสี่ทุ่มถึงจะทำเสร็จ ไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่ทุกสิ่งนี้เย่เทียนเฉินกลับไม่รู้
บางทีบะหมี่ผัดซอสนี้อาจจะไม่อร่อย บางทีอาจจะทำเพื่อความรู้สึกของตงฟางเมิ่ง หรือบางทีหากไม่กินบะหมี่ผัดซอสก็คงไม่มีอย่างอื่นที่กินได้อีก เย่เทียนเฉินจึงกินลงไปทั้งหมด หลังจากกินเสร็จก็หยิบโทรศัพท์มือถือด้านข้างขึ้นมา ต่อสายไปหาอู๋เสวี่ย เพียงไม่นานก็รับสาย!
“ไงอู๋เสวี่ย!”
“พี่ใหญ่ คุณกลับมาแล้วเหรอ?”
“อืม วันนี้ตอนเที่ยงคืนให้กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์มารวมตัวกันที่คฤหาสน์ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว!” เย่เทียนเฉินพูดเสียงเข้ม
“ครับ!”
ตอนเที่ยงคืน เสี้ยวหยากลับมาแล้ว วันนี้เหนื่อยมาก มีทั้งการสอบและการเรียน เย่เทียนเฉินไม่ได้บอกเธอว่าตงฟางเมิ่งไปแล้วเพราะกลัวว่าเสี้ยวหยาจะคิดมาก เสี้ยวหยาเองก็นึกว่าตงฟางเมิ่งหลับไปแล้ว หลังจากกลับมาจึงล้างจานแล้วเข้าไปหลับในห้องของตัวเอง เย่เทียนเฉินคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดี เขาจะได้พูดคุยกับสมาชิกของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์
กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์นับว่าเป็นกลุ่มอำนาจของตัวเอง เป็นกลุ่มอำนาจแรกที่เย่เทียนเฉินก่อตั้งขึ้นมา สมาชิกในกลุ่มทุกคนล้วนสามารถสู้ได้กับคนนับ 100 ต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ความสามารถแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สิ่งที่ขาดไปในตอนนี้ก็คือความสามัคคี แน่นอนว่าเมื่อผ่านวันเวลาต่างๆ ไปนาน ระหว่างพวกเขาก็จะกลายเป็นเพื่อนที่ดี กลายเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน
เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปหากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มครึ่ง สมาชิกของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ต่างมารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินเดินมา ทุกคนก็ยืนตัวตรง ไม่มีใครพูดแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครขยับมั่วซั่วแม้แต่คนเดียว ตะโกนด้วยความเคารพอย่างพร้อมเพียงว่า “พี่ใหญ่!”
………………………………