เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 442 คนที่ไม่พอใจเย่เทียนเฉิน
“ข้อมูลที่พวกเรามีอยู่ในมือรู้แค่ว่า ครั้งนี้สำนักโฮคุชินอิตโตริวลอบส่งยอดฝีมือเข้ามามากมาย ความสามารถของคนเหล่านี้ไม่อ่อนแอกว่าพวกเฮยเมี่ยนเลย จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดย่อมต้องอยู่ที่เธอ ส่วนพวกเขาจะอยู่ที่ไหนนั้นกลับไม่มีใครหาพบ!” ท่านผู้นำสูงสุดมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินได้ฟังข้อมูลที่ท่านผู้นำพูดออกมาในใจก็รู้สึกตื่นตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าคราวนี้คนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะเพ่งเล็งมาที่เขา ถึงกับส่งยอดฝีมือออกมามากมาย ซึ่งฝีมือไม่ด้อยไปกว่าเฮยเมี่ยนเลย ไม่ด้อยไปกว่าขุนพลระดับทัพฟ้าแห่งประเทศจีนเลย ไอ้พวกประเทศชิบะจะให้ความสำคัญกับเขาเกินไปหรือเปล่า?
ตกลงว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับเย่เทียนเฉินขนาดนี้เป็นเพราะตำแหน่งของซาโต้สูงเกินไปหรือเปล่า? ครั้งนี้ซาโต้ถูกตนเองฆ่าทำให้เกิดผลกระทบกับสำนักโฮคุชินอิตโตริวมากมาย หรือจะกล่าวว่าการที่คนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวส่งยอดฝีมือออกมามากมายขนาดนี้จะยังมีแผนการยิ่งใหญ่อย่างอื่นอยู่อีก?
ตอนนี้เองเย่เทียนเฉินมองไปยังท่านผู้นำ รู้สึกได้ว่าชายชราคนนี้ดูเหนื่อยล้าอยู่บ้างจริงๆ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นคนอายุเกือบ 70 ปีแล้ว เรียกได้ว่าทำงานหนักทุกวัน ตอนนี้เป็นเวลาตีสามแล้วก็ยังไม่ได้นอน ไม่ง่ายเลยจริงๆ
“นี่ลุง เรื่องของสำนักโฮคุชินอิตโตริวจะมอบให้ผมไปทำหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม
“เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับเธอ แต่ยังเกี่ยวพันธ์ไปถึงเกียรติยศของประเทศด้วย ดังนั้นท่าทีของฉันก็คือ คนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวที่ลอบเข้ามาในเมืองหลวงพวกนี้จะต้องไม่มีชีวิตกลับไปแม้แต่คนเดียว จะต้องโจมตีคืนอย่างรุนแรงที่สุด!” ท่านผู้นำพูดอย่างมีมาด
“วางใจเถอะครับ ผมจะเก็บกวาดพวกมันทั้งหมดเอง!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง
“ส่วนเรื่องของตระกูลหลิง ฉันรู้ว่าเธอเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกันกับหลิงอวี่สวิ๋น หากเธอต้องการสู้กับสำนักโฮคุชินอิตโตริว ถ้างั้นเรื่องของตระกูลหลิงเธอจะยืนดูอยู่เฉยๆ หรือ?” ท่านผู้นำสูงสุดพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หือ? นี่ลุง ข่าวของคุณมาไวจริงๆ ให้ความเป็นส่วนตัวกับผมบ้างได้หรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากด้วยความหดหู่
ท่านผู้นำสูงสุดมองเย่เทียนเฉินแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ก่อนอื่น พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะตรวจสอบเรื่องส่วนตัวของเธอ นี่เป็นเรื่องที่พวกเราตรวจพบหลังจากเกิดเรื่องกับตระกูลหลิง นอกจากนี้ฉันอยากจะบอกเธอว่า ไม่ว่าเธอจะเต็มใจหรือไม่ ไม่ว่าเธอจะชอบหรือไม่ ขอให้เธอจำไว้ว่าเธอเป็นคนจีนคนหนึ่ง ในเวลาจำเป็นก็ต้องลงแรงเพื่อประเทศและประชาชน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านผู้นำเย่เทียนเฉินก็พยักหน้าอย่างจนใจ อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า
“ลุงครับ ความจริงคุณไม่จำเป็นต้องพูดเป็นทางการขนาดนี้ ทำให้ผมไม่คุ้นเคยจริงๆ อาศัยแค่ความสัมพันธ์ของพวกเราสองคน คุณสั่งมาคำเดียวก็ได้แล้ว ฮี่ๆ!”
“อย่ามาพูดถึงความสัมพันธ์กับฉันเลย ฉันจะกล้าสั่งเธอเหรอ? ประโยคต่อไปของเธอคงจะพูดว่าด้วยความสัมพันธ์กับฉันเลื่อนขั้นให้พ่อของเธอสักหลายคันได้หรือเปล่า ใช่ไหมล่ะ?” ท่านผู้นำมองเย่เทียนเฉินได้อย่างทะลุปรุโปร่งพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
เย่เทียนเฉินแลบลิ้นออกมา ใจคิดว่าขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดจริงๆ เพียงแค่ตนคิดท่านผู้นำก็มองออก ชายชราเช่นนี้ทำให้ผู้คนต้องรู้สึกนับถือจริงๆ ล้อเล่นกับพวกเขาให้น้อยหน่อยจะดีกว่า ท่านผู้นำกล่าวได้ถูกต้อง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าก่อนหน้านี้คุณจะเคยเป็นใคร แลเถึงแม้อาจจะช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้
แต่เพื่อตระกูลเย่ของตนเอง เย่เทียนเฉินยังคิดจะใช้โอกาสนี้หาผลประโยชน์เล็กน้อย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกันหมด แม้ผู้ที่เดินบนเส้นทางการบ่มเพาะไม่สนใจเรื่องอำนาจเงินทอง แต่คนธรรมดาหวังได้ตำแหน่ง หวังจะมีอำนาจ กระทั่งพ่อของเย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นี่เรียกว่าสภาพแวดล้อมส่งผลต่อผู้คน เทียบกับคนบนโลกในปัจจุบันแล้ว เมื่อเกิดมาก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีพลังหลิงชี่จึงไม่สามารถบ่มเพาะได้ รวมกับที่ได้รับการสั่งสอนและใส่ความคิดบางอย่างเข้าไปให้ตั้งแต่เด็กทำให้ไม่มีความคิดที่จะเดินบนเส้นทางบ่มเพาะอีก
“ฮี่ๆ ลุงครับ จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้ ผมเคารพคุณมากนะ…”
“เย่เทียนเฉิน แกจะทำอะไร ออกห่างจากท่านผู้นำซะ…”
ในตอนที่เย่เทียนเฉินยังไม่ทันพูดจบ เฮยเมี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เอ่ยปากขัดขึ้นมา เนื่องจากในขณะที่เย่เทียนเฉินพูดก็เดินไปข้างกายท่านผู้นำ ใช้มือขวากอดไหล่ท่านผู้นำไว้ราวกับเป็นพี่น้องแสนดีอย่างไรอย่างนั้น นี่ทำให้เฮยเมี่ยนทนมองไม่ได้ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา
ท่านผู้นำโบกมือเป็นสัญญาณไม่ให้เฮยเมี่ยนทำอะไรบุ่มบ่าม เขาเข้าใจเย่เทียนเฉินคนนี้เป็นอย่างดี อ่อนไปก็ไม่ได้แข็งไปก็ไม่รับ ทำได้เพียงใช้ไม้อ่อนไม้แข็งผสานกันถึงจะกระตุ้นคนคนนี้ได้ และด้วยความคุ้นชินบางอย่างของเย่เทียนเฉินย่อมไม่สามารถนำกฎเกณฑ์ของทหารมาใช้กับเขาได้ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินจะเคยเป็นทหาร แต่เขาที่เป็นทหารก็เรียกได้ว่าไม่ได้มาตรฐานเอาซะเลย ท่านผู้นำได้อ่านแฟ้มข้อมูลของเย่เทียนเฉินนานแล้ว และอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้ายิ้มๆ
“ในเมื่อเธอพูดเองว่าต้องการจัดการพวกสำนักโฮคุชินอิตโตริว ฉันก็จะตัดสินใจส่งขุนพลระดับทัพฟ้าหลายคนไปร่วมงานกับเธอ ซึ่งฉันอยากจะรวมกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของเธอไปด้วย คงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก ส่วนเรื่องตระกูลหลิง รอให้เธอได้เจอหลิงอวี่สวิ๋นก่อนค่อยตัดสินใจเองเถอะ!” ท่านผู้นำเอ่ยปาก
“เรื่องนี้ผมทำคนเดียวได้ พวกคุณไม่ต้องสอดมือเข้ามายุ่งหรอก คุณยุ่งวุ่นวายทั้งวัน ยังมีอะไรอีกมากมายให้คุณจัดการ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ
“นี่เธอ…ฮ่าๆ!” ท่านผู้นำหัวเราะแล้วส่ายหน้า
“เย่เทียนเฉิน มีพวกเราขุนพลระดับทัพฟ้าคอยช่วยแก แกยังจะมาทำตัวอิดออดอยู่อีกเหรอ?” เฮยเมี่ยนสีหน้าดำคล้ำยิ่งขึ้น พูดออกมาอย่างไม่พอใจ
เย่เทียนเฉินมองเฮยเมี่ยน หาวออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า
“จะรับมือกับคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวมีแค่ผมกับกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของผมก็พอแล้ว ขุนพลระดับทัพฟ้าอย่างพวกคุณยุ่งขนาดนั้น ไปทำเรื่องที่มีประโยชน์อื่นๆ เถอะ นอกจากนี้ก็ลุง ผมต้องการข้อมูลอย่างรวดเร็วและต้องได้ทุกที่ทุกเวลา คุณก็รู้ดี ข่าวกรองของผมตอนนี้ยังไม่พัฒนา!”
“ได้ ถ้าพบร่องรอยของกลุ่มคนจากสำนักโฮคุชินอิตโตริวเมื่อไหร่ฉันจะให้คนไปแจ้งเธอทันที ตอนนี้เธอก็ไปหาสองพ่อลูกตระกูลหลิงกับเฮยเมี่ยนเถอะ!” ท่านผู้นำพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
เย่เทียนเฉินไม่ได้พูดอะไรมาก พยักหน้ายิ้มๆ แล้วเดินออกไปจากห้องทำงานของท่านผู้นำ เฮยเมี่ยนรู้สึกไม่พอใจมาก เขาคิดไม่ถึงว่ามีขุนพลระดับทัพฟ้าอย่างพวกเขาช่วยเหลือ แต่เย่เทียนเฉินกลับไม่ต้องการ จะโอหังเกินไปหรือเปล่า? หรือเขาคิดว่าอาศัยแค่ความสามารถของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์และตัวเขาเองก็สามารถฆ่ายอดฝีมือทั้งหมดของสำนักโฮคุชินอิตโตริวได้? ต่อให้ตอนนี้พลังของเย่เทียนเฉินจะเพิ่มขึ้นมาก แต่เฮยเมี่ยนก็ไม่คิดว่าเย่เทียนเฉินจะมีความสามารถแบบนั้น จะต้องคุยโวโอ้อวดแน่นอน
เมื่อเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนเดินออกมาจากห้องทำงานของท่านผู้นำแล้ว เพิ่งจะเดินออกไปได้เพียงชั่วครู่ ชายฉกรรจ์สวมชุดทหารตามปกติคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เขามีใบหน้าเหลี่ยม สูงประมาณ 180 เซนติเมตร อายุประมาณ 45 ปี มีใบหน้าจริงจังเคร่งขรึม แม้จะมองไม่ออกว่ามียศทางการทหารอะไร แต่สามารถเดินเข้าออกห้องทำงานของท่านผู้นำได้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ธรรมดา เขายืนอยู่ข้างกายท่านผู้นำ มองไปยังประตูห้องทำงานที่ปิดลง พูดอย่างเรียบเฉยว่า
“ท่านผู้นำ เขาคือเย่เทียนเฉินเหรอครับ?”
“อืม คุณว่าเด็กคนนี้เป็นยังไง?” ท่านผู้นำเอ่ยถามยิ้มๆ
“ไม่เลวเลยจริงๆ มีศักยภาพสูง แต่เขาเข้ากับกฎเกณฑ์ของพวกเราไม่ได้!” ชายผู้มีใบหน้าเหลี่ยมพูดอย่างเย็นชา
“หมานเทียน สายตาของคุณจะสูงไปหรือเปล่า?” ท่านผู้นำถามต่อไป
“ไม่ใช่ว่าผมตาสูง แต่ผมดูถูกเด็กคนนี้อย่างสิ้นเชิง แม้แต่ขุนพลระดับทัพฟ้าเขาก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นผมที่เป็นหัวหน้ากลุ่มขุนพลทัพฟ้าอยู่ในสายตาด้วยเหรอ?”
หมานเทียนพูดดังผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลม เขาคือคนที่รอดชีวิตกลับมาจากการต่อสู้เป็นตาย ความสามารถย่อมไม่ต้องพูดถึง สามารถเป็นหัวหน้ากองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศจีนได้ยังจะต้องพูดอะไรมากอีก? ยิ่งไปกว่านั้นไอสังหารและบรรยากาศบนร่างของเขาก็ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านได้เลย
“เด็กคนนี้ถึงแม้จะเหลาะแหละไปบ้าง ดูพึ่งพาไม่ได้อยู่บ้าง แต่มีความสามารถในการทำเรื่องต่างๆ และเป็นชายหนุ่มที่มีศักยภาพสูง ฉันเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนเลวอะไร!”
การประเมินค่าที่ท่านผู้นำมีต่อเย่เทียนเฉินทำให้หมานเทียนรู้สึกไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าจะมีข้อโต้แย้งอะไรกับท่านผู้นำ แต่ตอนนั้นเย่เทียนเฉินปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้กลุ่มขุนพลทัพฟ้ามาช่วยเหลือ ทำให้หมานเทียนรู้สึกไม่สบายใจ ในฐานะที่ตนเป็นหัวหน้ากองกำลังขุนพลทัพฟ้า สงสัยสมาชิกขุนพลระดับทัพฟ้าก็คือการสงสัยในตัวเขาหมานเทียน!
แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครกล้าสงสัยในความสามารถของขุนพลระดับทัพฟ้ามาก่อน เย่เทียนเฉินยังอายุน้อย อายุไม่ถึง 20 ปีเท่านั้น ถึงแม้จะมีความสามารถอยู่บ้างแต่กล้ามองข้ามกองกำลังของขุนพลทัพฟ้า นับเป็นการตบหน้าเขาหมานเทียนจริงๆ หมานเทียนอยากจะสั่งสอนเย่เทียนเฉินแรงๆ สักครั้ง ทำให้เขาได้รู้ถึงความร้ายกาจของขุนพลระดับทัพฟ้าเสียหน่อย นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความไม่พอใจอะไร แต่เป็นศักดิ์ศรีในฐานะของผู้แข็งแกร่ง เป็นศักดิ์ศรีที่จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาดูหมิ่น
“ท่านผู้นำครับ การประเมินค่าที่คุณมีต่อเขาผมไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่กล้าเห็นด้วย อายุยังน้อยก็โอหังขนาดนี้แล้ว ถ้ามีโอกาสผมจะลงมือสั่งสอนเขาสักหน่อย!” หมานเทียนพูดตามตรงโดยไม่อ้อมค้อม
ท่านผู้นำมองไปยังเอกสารในมือ ไม่ได้ผู้ตอบกลับในทันที เขาค่อนข้างเข้าใจนิสัยของหมานเทียนดี ซื่อสัตย์ภักดีต่อประเทศชาติและประชาชนเป็นอย่างมาก แต่คนคนนี้มีนิสัยร้อนเหมือนระเบิด เคยผ่านการต่อสู้ฆ่าฟันในสนามรบมาก่อน ไอสังหารและความโหดเหี้ยมเต็มไปทั้งร่างพูด ให้ชัดเจนก็คือเป็นนักรบที่ดีคนหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็เป็นหัวหน้ากองกำลังขุนพลระดับทัพฟ้า ในสายตาและหัวใจของหมานเทียนนั่นก็คือบ้านของเขา สมาชิกทุกคนก็คือพี่น้องของเขา เย่เทียนเฉินปฏิเสธการช่วยเหลือจากขุนพลระดับทัพฟ้าย่อมต้องทำให้หมานเทียนไม่พอใจแน่นอน
“งั้นคุณดูไปเถอะ เดิมทีฉันอยากจะบอกว่าถ้าหากเป็นไปได้ก็ให้รับเจ้าหนูนี่เข้ากองกำลังระดับทัพฟ้าสักหน่อย!” ท่านผู้นำเอ่ยปาก
“ถ้าหากเขามีความสามารถพอที่จะผ่านการทดสอบของขุนพลระดับทัพฟ้าผมก็จะให้โอกาสเขา หรือบางที ถ้าเขาสามารถรับมือผมได้ 10 กระบวนท่าผมก็จะให้โอกาสเขา…แต่กลัวว่าเขาจะทำไม่ได้!”
น้ำเสียงของหมานเทียนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ท่านผู้นำก็ไม่ได้บีบบังคับ จะอย่างไรเรื่องมากมายก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขา บีบบังคับไปก็จะทำให้เรื่องยุ่งยากเปล่าๆ!
………………………..