เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 469 ความเป็นมาของเมืองเทียนซา
“เมืองเทียนซา คิดไม่ถึงว่าพวกสารเลวกลุ่มนี้จะกล้าซ่อนตัวอยู่ที่เมืองเทียนซา ดูแล้วคงมีชีวิตอยู่จนเบื่อจริงๆ!” อู๋เสวี่ยอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“มีอะไรให้ทำหรือเปล่า? ตอนนี้นั่งรถเฉยๆ น่าเบื่อจริง ลองเล่าให้พวกเราฟังสักหน่อยเป็นไง…” หวังเจี๋ยเอ่ยปากถาม
ทุกคนในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์รวมไปถึงเย่เทียนเฉินต่างนั่งรถซีดานสีดำไปยังเมืองเทียนซา ในสายตาของทุกคนเต็มไปด้วยไอสังหารและเต็มไปด้วยความปรารถนาในชัยชนะ ในตอนที่เย่เทียนเฉินออกมาจากคฤหาสน์ อลิซก็ได้ไปแล้ว นั่งเครื่องบินออกจากเมืองหลวงไปยังประเทศ M แล้ว เย่เทียนเฉินทำเพียงส่งเธอนอกคฤหาสน์ ไม่ได้พูดอะไรทั้งยังไม่ได้ถามอะไรด้วย เขาเชื่อว่าเรื่องระหว่างเขากับอลิซจะต้องได้รับการแก้ไขสักวันหนึ่ง นี่คือสัญชาตญาณ
หลัวเยี่ยน เย่เชี่ยนเหวินและฉีหรูเสวี่ยตื่นแล้ว ถึงแม้พวกเธอจะไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่แต่ก็มีความเด็ดเดี่ยวมาก บางครั้งนิสัยเด็ดเดี่ยวของผู้หญิงผู้ชายยังสู้ไม่ได้จนทำให้ผู้คนต้องนับถือ เย่เทียนเฉินไม่ได้ทิ้งกระบี่เซียวหยวน กระบี่ไท่อา และกระบี่อวี๋ฉางซึ่งเป็นกระบี่เทพบรรพกาลทั้งสามเล่มเอาไว้อีก เขาต้องการลงมือเต็มที่เพื่อสังหารมัตสึโมโตะชิโมะเค็น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะฆ่าคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวทั้งหมดภายในเมืองเทียนซา หากครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อให้ทิ้งกระบี่เทพบรรพกาลทั้งสามเล่มไว้ก็เกรงว่าจะปกป้องแม่ น้องสาว และฉีหรูเสวี่ยไม่ได้ เพราะหากว่าเขาถูกมัตสึโมโตะชิโมะเค็นฆ่าตาย จะมีใครปกป้องครอบครัวและสหายของตนเองได้อีก? ดังนั้นความคิดของเย่เทียนเฉินจึงเด็ดเดี่ยวมาก เขาจะต้องฆ่ามัตสึโมโตะชิโมะเค็นให้ได้ และจะเป็นต้องมีชีวิตรอดกลับไป
อู๋เสวี่ยมองไปยังพี่ใหญ่เย่เทียนเฉิน พบว่าเย่เทียนเฉินกำลังหลับตาทำสมาธิ ไม่ได้มีความคิดอะไร จึงเอ่ยปากอธิบายให้พวกหวังเจี๋ยฟัง “ก่อนหน้านี้เมืองเทียนซาไม่ได้ชื่อเมืองเทียนซา แต่ชื่อว่าเมืองเทียนหุย เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างชายขอบเมืองหลวงมากที่สุด ในเมืองมีความรุ่งเรืองมาก มีคนอยู่ประมาณสามหมื่นกว่าคน เมืองนี้มีถนนหลักอยู่เพียงสายเดียว นอกจากนั้นจะเป็นถนนสาขาที่แบ่งแยกออกไป ในเมืองมีทุกอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นร้านตัดผม ร้านเหล้าหรือร้านของกินเล็กๆ น้อยๆ ต่างก็มีครบ เพียงแต่เมื่อหนึ่งปีก่อน อยู่ดีๆ ทุกคนในเมืองเทียนหุยก็หายไปหมดในค่ำคืนเดียว จนกระทั่งตำรวจไปตรวจสอบจึงพบว่าคนหลายหมื่นตายอยู่บริเวณแนวราบระหว่างเทือกเขาที่ไม่ไกลจากเมืองเทียนหุย ทุกคนต่างตายอย่างน่าอนาจ ไม่มีศพที่สมบูรณ์แม้แต่ศพเดียว ตำรวจหาเบาะแสใดในสถานที่เกิดเหตุไม่พบจนกลายเป็นคดีใหญ่สะเทือนขวัญ!”
“ให้ตายเถอะ ใครมันโหดเหี้ยมขนาดนั้น ถึงกับฆ่าคนหลายหมื่นคนในพริบตา อย่างน้อยคงเป็นกองทัพสักกองหนึ่งใช่หรือเปล่า?” เปาเทียนหลงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“เรื่องนี้ทางการไม่ได้เป็นคนทำ ถ้าหากทางการต้องการทำแบบนี้แค่ทำลายเมืองเทียนหุยทั้งเมืองไปตรงๆ ก็สิ้นเรื่อง กระทั่งตำรวจมาตรวจสอบก็คงถูกระงับไปแล้ว ทำไมต้องทำเรื่องที่สั่นสะเทือนไปทั้งประเทศจีนขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันคิดว่าต้องบอกพวกแกให้ชัดเจน การตายของคนหลายหมื่นคนในเมืองเทียนหุยเป็นการกระทำของคนคนเดียว!” อู๋เสวี่ยเอ่ยปากอย่างเย็นชา
“อะไรนะ? การกระทำของคนคนเดียว?”
“นี่…นี่จะเป็นไปได้ยังไง?”
“เป็นไปไม่ได้น่ะ คนคนเดียวจะฆ่าคนหลายหมื่นคนในเมืองทั้งหมด นี่มัน…”
พวกหวังเจี๋ย เปาเทียนหลง และหลินตงต่างตื่นตะลึง ไม่อยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิง ยังไม่ต้องพูดว่าคนคนนั้นโหดเหี้ยมขนาดไหน แค่คนเพียงคนเดียวก็ฆ่าคนหลายหมื่นคนในเมืองไปได้ทั้งหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้ศพของพวกเขาไปอยู่ในที่ราบระหว่างภูเขาบริเวณไม่ไกล ความสามารถของคนคนนี้แข็งแกร่งเกินไป ต่อให้เป็นแค่แตงโมหลายหมื่นลูก หากคิดจะทำลายด้วยพลังของคนคนเดียวก็ยังเป็นเรื่องยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนมีชีวิตหลายหมื่นคนเลย นี่จะทำให้ผู้คนตื่นตะลึงและสั่นสะท้านขนาดไหนกัน ไม่อยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิง
“คงเป็นหมอกโลหิตที่เป็นลูกน้องของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงแน่ ก่อนหน้านี้คุณชายใหญ่ส่งหมอกโลหิตมาฆ่าคนทั้งหมดของเมืองเทียนหุย และคงจะเริ่มเตรียมการตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีกว่าแล้ว เขามีแผนการอันแน่วแน่ที่ต้องการทำให้สำเร็จ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะแทรกเข้ามา สุดท้ายก็ฆ่าหมอกโลหิตไปได้ ไม่งั้นเรื่องนี้คงไม่ง่ายขนาดนั้น!” ตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินลืมตาขึ้น ในน้ำเสียงปรากฏความเย็นชาอยู่หลายส่วน ในใจของเขาก็มีความโกรธเกรี้ยวเช่นกัน คนหลายหมื่นคนจากทั่วทั้งเมืองต่างถูกคุณชายใหญ่ฆ่าตาย คนคนนี้โหดเหี้ยมจริงๆ
ในตอนที่เย่เทียนเฉินฟังอู๋เสวี่ยเล่า ได้ยินว่าคนหลายหมื่นคนต่างถูกคนคนเดียวกันฆ่าตาย สภาพน่าอนาจจนทนมองไม่ได้ ไม่มีแม้แต่ศพเดียวที่สมบูรณ์ ทุกคนต่างถูกหมอกโลหิตอันเข้มข้นปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ตอนนั้นเขาก็คิดว่าจะต้องเป็นหมอกโลหิตที่เป็นขุนพลอันดับหนึ่งในหมู่ลูกน้องของคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเป็นผู้กระทำแน่นอน เย่เทียนเฉินเคยสู้กับหมอกโลหิตมาก่อน ความสามารถของหมอกโลหิตแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้นการกระทำยังโหดเหี้ยมมาโดยตลอด เย่เทียนเฉินเข้าใจวิธีการของเขาเป็นอย่างดี เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคิดไม่ถึงก็คือ ทำไมคุณชายใหญ่ต้องทำเช่นนี้ ฆ่าคนหลายหมื่นคนในเมืองเทียนหุยโดยไม่คิดเสียดายจนกลายเป็นคดีที่สั่นสะเทือนไปทั่วแบบนี้
“พี่ใหญ่พูดไม่ผิด เป็นหมอกโลหิตทำจริงๆ ผมเคยมาที่เมืองเทียนหุยแล้ว ที่นั่นมีซากศพอยู่จำนวนหนึ่ง ผมเคยเห็นสภาพการตายของคนเหล่านั้น บนใบหน้าของทุกคนจะมีสีหน้าตื่นตกใจและหวาดกลัวหาใดเปรียบ!” อู๋เสวี่ยพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
“แม่งเอ้ย คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงโหดเหี้ยมจริงๆ ถ้ามีโอกาสฉันอยากจะฆ่าเขาจริงๆ” หวังเจี๋ยเอ่ยปากอย่างโกรธเกรี้ยว
“ไม่ต้องพูดมากขนาดนั้นหรอก พวกเราเตรียมตัวให้ดีเถอะ คงต้องต่อสู้สังหารเข้าไปตลอดทางถึงจะเป็นการแก้แค้นให้ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกฆ่าตายในเมืองเทียนหุยเหล่านั้นได้ ส่วนคุณชายใหญ่ จะช้าจะเร็วก็ต้องคิดบัญชีกับเขา!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย
“ครับ!” ทุกคนในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ตะโกนอย่างเข้มแข็ง
บริเวณทางเข้าของเมืองเทียนซา หลังจากที่คนทั้งหมดในเมืองเทียนหุยตายไปที่นี่ก็ถูกคนเรียกว่าเป็นเมืองเทียนซา ไม่มีใครกล้าอยู่ที่นี่อีก รกร้างวังเวงเป็นอย่างมาก ตอนนี้บริเวณทางเข้าของเมืองเทียนซามีคนสิบสามคนปรากฏตัวขึ้น บนร่างของทุกคนสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีแดงเช่นเดียวกัน ด้านหลังของเสื้อคุมมีหลายปักมังกรจีนอยู่ตัวหนึ่ง และบนแขนเสื้อด้านขวาของพวกเขามีคำว่า “สิบสามจ้าวสวรรค์” ปักอยู่เช่นเดียวกัน ส่วนบนแขนเสื้อด้านขวาของเย่เทียนเฉินปักคำว่า “หัวหน้าจ้าวสวรรค์” ยิ่งไปกว่านั้นลายมังกรปักที่ด้านหลังของเขายังเป็นมังกรตัวใหญ่สีทอง ส่วนลายปักมังกรที่ด้านหลังของคนอื่นเป็นสีทองอ่อน
“ไม่ต้องคิดอะไรมาก เข้าไปฆ่าอย่างเดียว!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเย็นชา
“ครับ!”
กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ คนที่สวมเสื้อคลุมสีแดงตัวใหญ่ทั้ง 13 คนต่างพุ่งเข้าไปในเมืองเทียนซา เย่เทียนเฉินอยู่ด้านหลังสุดเพราะยังต้องสั่งการ ในตอนที่เท้าของเขาเหยียบย่างเข้าไป พลังเขตแดนปิดกั้นก็แผ่ขยาย ครอบคลุมไปทั่วทั้งเมืองเทียนซา เย่เทียนเฉินที่ทะลวงขอบเขตไปจนถึงขอบเขตผู้มีพลังพิเศษระดับจักรพรรดิแล้วย่อมมีความมั่นใจมากพอ พลังเขตแดนปิดกั้นของตน นอกจากจะเป็นคนที่มีฝีมือเหนือกว่าตัวเองไปมากถึงจะทำลายได้ มิฉะนั้นคนที่อยู่ในขอบเขตพลังระดับเดียวกันจะไม่สามารถทำลายได้แน่นอน
ฟิ้วๆๆ!
คนของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เพิ่งจะเข้าไปในเมืองเทียนซาก็มีพวกสารเลวหลายคนพุ่งออกมา บนใบหน้าของทุกคนต่างมีท่าทีโหดเหี้ยมดุดัน นี่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก คนที่เข้ามาเหล่านี้ต่างก็ต้องการสังหารกัน ไม่จำเป็นต้องถามอะไรมาก เริ่มเปิดฉากฆ่าฟันครั้งใหญ่
“นี่เป็นการเดิมพัน มัตสึโมโตะชิโมะเค็นแข็งแกร่งมาก ถ้าฉันแพ้ มัตสึโมโตะชิโมะเค็นจะต้องไม่ยอมปล่อยเพื่อนและครอบครัวของฉันไปแน่ ตั้งแต่ที่ได้มาเกิดใหม่ฉันก็เคยกล่าวแล้วว่า ครอบครัวของฉัน ฉันจะปกป้อง ใครกล้าแตะต้องจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
เย่เทียนเฉินคิดอย่างแน่วแน่ในใจ มือทั้งสองกางออกแล้วยื่นออกไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบน เสียงฟุ่บดังขึ้น เขาหายไปจากที่เดิม พริบตาเดียวก็ปรากฏตัวบนป้ายทางเข้าเมืองเทียนซา บนนั้นเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุด สามารถมองเห็นทุกอย่างในเมืองเทียนซาได้อย่างชัดเจน
แน่นอนว่าเย่เทียนเฉินไม่ได้คิดจะดูสถานการณ์และไม่คิดจะดูว่าในเมืองเทียนซาแห่งนี้มีพวกมือสังหารสารเลวอยู่กี่คนกันแน่ ในเมื่อเย่เทียนเฉินมาแล้วก็จะฆ่าให้หมด หากฆ่าไม่ได้คนที่ต้องตายจะไม่ใช่แค่เขาเย่เทียนเฉิน แต่ยังมีครอบครัวและเพื่อนของเขาด้วย ไม่อาจไปคาดหวังว่าพวกสารเลวพวกนี้จะไม่ลงมือกับครอบครัวของเขา นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องลงมือเต็มที่ เย่เทียนเฉินเตรียมใจที่จะตายไปพร้อมกับมัตสึโมโตะชิโมะเค็นแล้ว ชีวิตคนเรามีเรื่องมากมายที่ตนไม่อาจกำหนด ในบางครั้งก็สามารถเสียดายชีวิตได้เนื่องจากการตายนั้นไม่คุ้มค่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ แต่ในบางครั้งก็จำเป็นต้องดิ้นรนสุดชีวิต ทำความเข้าใจกับความตายให้ได้ มิฉะนั้นจะระเบิดความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้อย่างไร จะโจมตีศัตรูให้ดับดิ้นไปได้อย่างไร
ฉัวะ!
ประกายสีทองสายหนึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองเทียนซา เสียงตูมตามดังขึ้น ในดวงตาทั้งสองของเย่เทียนเฉินมีประกายสีทองถูกยิงออกมา แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพสูงสุดของขอบเขตจักรพรรดิแล้ว เพื่อที่จะไม่ให้มีการสูญเสียเขาจำเป็นต้องสังหารครั้งใหญ่ ไม่อาจปล่อยให้พวกสารเลวที่นี่หนีไปได้แม้แต่คนเดียว และยิ่งไม่อาจปล่อยให้มัตสึโมโตะชิโมะเค็นหนีไปได้ด้วย ถึงแม้จะใช้พลังเขตแดนปิดกั้นแล้วแต่มัตสึโมโตะชิโมะเค็นจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ จะแข็งแกร่งถึงระดับใดกันแน่ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่รู้ เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนที่ชอบพึ่งโชค หากจะทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด มิอาจนำความเป็นความตายไปผูกอยู่กับโชคลาภ โดยเฉพาะเมื่อสู้กับมัตสึโมโตะชิโมะเค็นที่เป็นน้องชายแท้ๆ ของจักรพรรดิดาบ ความสามารถไม่อ่อนแอกว่าจักรพรรดิดาบ ครั้งนี้เย่เทียนเฉินรู้สึกกดดันมากจริงๆ
ตู้มๆๆๆ!
เคร้ง!
เสียงสี่เสียงดังชัดเจน กำแพงสีทองขนาดใหญ่ทั้งสี่ปกคลุมทั่วทั้งสี่ทิศของเมืองเทียนซา ส่วนเสียงสุดท้ายคือเสียงฝาสีทองขนาดใหญ่ร่วงลงมาครอบเอาไว้ ปิดเมืองเทียนซาทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง หากคนธรรมดาเห็นภาพนี้จะต้องตกใจจนแทบตายแน่นอน จินตนาการได้เลยว่าหากต้องการจะปิดเมืองเทียนซาทั้งเมืองจะต้องมีกำแพงสีทองนี้มากขนาดไหน จะต้องมีฝาครอบมากขนาดไหน?
ภายในเมืองเทียนซามีเสียงต่อสู้อันรุนแรงดังขึ้น ทั้งยังมีเสียงฆ่าฟันและเสียงกรีดร้อง นั่นคือการปะทะกันระหว่างสมาชิกของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์และยอดฝีมือสำนักโฮคุชินอิตโตริว ความสามารถของคนทั้งสองฝั่งแข็งแกร่งมาก หากจะกล่าวว่าต้องการฆ่าอีกฝ่ายในพริบตานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้และเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นจริง ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จึงดุเดือดรุนแรงมาก เย่เทียนเฉินใช้ “โล่ทองคำ” สร้างเป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด จากนั้นก็กระโดดลงมาที่พื้น ในตอนนี้เย่เทียนเฉินจริงจังมาก บนใบหน้ามีเพียงความโหดเหี้ยม มีกลิ่นอายจักรพรรดิปรากฏชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัย ไม่เห็นท่าทีเหลาะแหละแม้แต่ครึ่งส่วน