เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 480 เย่เทียนเฉินยังไม่ฟื้นก็เกิดเรื่องอีกแล้ว
ที่แท้หลังจากที่เย่เทียนเฉินเอาชนะมัตสึโมโตะชิโมะเค็นได้แล้ว สมาชิกทั้งหมดของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ก็ฆ่ายอดฝีมือทั้งสามสิบคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวทั้งหมด และในระหว่างทางกลับ เย่เทียนเฉินที่บาดเจ็บสาหัสก็อยู่ในสภาพสลบไสลไม่ได้สติ ในตอนที่รู้ตัวอย่างลางเลือน เย่เทียนเฉินก็บอกกับพวกอู๋เสวี่ยว่าให้ส่งเขากลับไปยังคฤหาสน์แล้วให้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ถ้าหาจางอีเต๋อไม่เจอก็อย่าแตะต้องเขา
พวกอู๋เสวี่ยเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของเย่เทียนเฉินมาก และเป็นห่วงว่าคนอันตรายอย่างคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะมาโจมตีด้วย จะอย่างไรนี่ก็เป็นคนหนุ่มที่ร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศจีนที่เล่าขานต่อกันมา ถูกเรียกว่าเป็นผู้สยบแห่งยุค ส่วนเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ก็ไม่มีใครรู้ เขาจะมีหน้าตาอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ เขาจะมีชื่อว่าอะไรก็ไม่มีใครรู้!
จากการคาดเดาของเย่เทียนเฉิน เขาควรจะมีความสามารถเหนือกว่ามัตสึโมโตะชิโมะเค็น นี่ทำให้พวกอู๋เสวี่ยต่างต้องสั่นสะท้าน ถ้าเช่นนั้นไม่ใช่ว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยจะอยู่ในรายชื่อผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกทั้งสิบคนด้วยหรือ? ต้องทราบว่าหากว่ากันตามการคาดเดา คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็มีอายุไม่เกิน 30 กว่าปีเท่านั้น นี่จะทำให้ผู้คนสั่นสะท้านขนาดไหนกัน?
แต่เย่เทียนเฉินกลับไม่นำพา ถึงแม้เขาจะไม่เคยพบหน้าคุณชายใหญ่และไม่เคยประมือด้วย แต่ตั้งแต่ที่คุณชายใหญ่ส่งคนมาโจมตี เขาก็ได้เห็นลักษณะนิสัยในการกระทำเรื่องต่างๆ ของคุณชายใหญ่แล้ว คนคนนี้เชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างมาก และมั่นใจมากว่าจะฆ่าตนได้ มิฉะนั้นอีกฝ่ายคงไม่มีอารมณ์หยอกล้อจนถึงที่สุดเช่นนี้
ยอดฝีมือที่แท้จริงจะไม่ลอบโจมตีเป็นอันขาด จะไม่ฉวยโอกาสที่คนอื่นตกอยู่ในอันตราย และยิ่งไม่ฆ่าคนที่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงตัดสินใจได้ว่าคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงจะต้องไม่ส่งคนมาฆ่าตนในเวลานี้แน่นอน และยิ่งไม่ทำอันตรายกับครอบครัวของเขาด้วย
หมอกโลหิตที่เป็นขุนพลอันดับหนึ่งในหมู่ลูกน้องของคุณชายใหญ่ถูกตนฆ่าตายไปแล้ว เรียกได้ว่าทำให้คุณชายใหญ่เสียแขนขาที่ทรงพลังที่สุดไปแล้ว ถ้าเขาคิดจะลงมือจริงๆ คงต้องให้คุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงมาด้วยตัวเอง
หากพูดกันตามสถานการณ์ปัจจุบัน เย่เทียนเฉินยังไม่อยากเผชิญหน้ากับคุณชายใหญ่ อย่างน้อยก็ไม่คิดจ้ะสู้กับคนที่มีความลึกล้ำและลึกลับคนนี้ เนื่องจากเขามีโอกาสชนะไม่มาก เขาต้องการเวลา ต้องการเวลาพัฒนาพลังการบ่มเพาะของตัวเอง ต้องการเวลาเพื่อทำความเข้าใจกับความสามารถของคุณชายใหญ่ให้ชัดเจน เขาในตอนนี้ยังอยู่ในสภาพถูกกระทำ
แต่สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินคาดไม่ถึงก็คือ หลังจากที่อู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวนและเปาเทียนหลง พาตนมาส่งยังคฤหาสน์แล้วก็รีบเดินทางไปยังบ้านตระกูลจางทันที ไปตามหาจางอีเต๋อให้มาช่วยชีวิตเขา แต่จางอีเต๋อไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว ที่บ้านนั้นมีใยแมงมุมขึ้นมาก แสดงให้เห็นว่าจางอีเต๋อไปจากบ้านตระกูลจางนานแล้ว ใต้หล้ากว้างใหญ่ จะไปตามหาเขาได้ที่ไหน?
เจ็ดวันเจ็ดคืนผ่านไป ดูเหมือนอู๋เสวี่ย หวังเจี๋ย หลินตวนและเปาเทียนหลงจะวิ่งไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว พวกเขาไม่กล้าไปไกล หากมีคนถือโอกาสที่พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินบาดเจ็บสาหัสมาเอาชีวิตเขา แบบนั้นก็แย่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้ความสัมพันธ์และอิทธิพลมากมายเพื่อตามหาจางอีเต๋อแต่ก็ไม่ได้รับอะไรกลับมาเลย
ภายใต้สถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้ อู๋เสวี่ยจึงทำได้เพียงตามหาชางหลาง ให้ชางหลางใช้อำนาจของทางการไปตามหา จะอย่างไรสำหรับประเทศประเทศหนึ่ง หากบุคคลผู้มีอำนาจสูงสุดต้องการตามหาคนคนหนึ่งนับว่ามีพลังพอที่จะกระทำได้ เพียงแต่น่าเสียดาย ก่อนมาอู๋เสวี่ยโทรไปหาชางหลางแล้ว หลังจากที่ท่านผู้นำสูงสุดรู้สภาพของเย่เทียนเฉินก็รีบออกคำสั่ง ส่งของกำลังทหารออกไป ในขณะเดียวกันก็ส่งหน่วยสืบราชการลับชั้นยอดมากมายไปทั่วประเทศเพื่อตามหาจางอีเต๋อ และยังใช้อำนาจลับนอกประเทศอีกด้วย แต่ก็ยังไม่พบอะไร
สิ่งที่ทำให้พวกอู๋เสวี่ยคิดไม่ถึงก็คือ สุดท้ายแม้จะใช้พลังของทางการ ใช้วิธีการมากมายที่คนอื่นไม่รู้ แต่ก็ยังไม่สามารถหาตัวจางอีเต๋อได้ เซียนแพทย์เทวะคนนี้ร้ายกาจจริงๆ เขาหายตัวไปโดยไม่เหลือร่องรอย ไม่ว่าใครก็หาเขาไม่พบ ทำให้ผู้คนนับถือวิธีการของจางอีเต๋อคนนี้จริงๆ
“รอ? ต้องรอแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ล่ะคะ? เทียนเฉินมีสภาพแบบนี้แล้ว ไม่ได้กินดื่มเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว…” เสี้ยวหยาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากอย่างร้อนใจ
คำพูดประโยคหลังของเสี้ยวหยาไม่ได้พูดต่อไป หากพูดกันถึงเรื่องความสามารถ พวกอู๋เสวี่ยย่อมร้ายกาจกว่าพวกตนมาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังไม่ได้ใคร่ครวญถึงสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าส่งเย่เทียนเฉินไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้วมีได้ผล พวกเขาควรทำไปนานแล้ว คงไม่รั้งรอจนตนต้องพูดอย่างร้อนใจแบบนี้ออกมา
“ไม่มีวิธีอะไรเลยจริงๆ เหรอ?” ในฐานะที่หลัวเยี่ยนเป็นแม่ย่อมปวดใจมากที่สุด แต่ยังมีเย่เชี่ยนเหวิน ฉีหรูเสวี่ยและเสี้ยวหยาอยู่ที่นี่ด้วย เธอรู้ว่าตัวเองต้องเข้มแข็ง ไม่อาจล้มลงได้ มิฉะนั้นผู้หญิงทั้งสามคนที่เหลือก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงจริงๆ
พวกอู๋เสวี่ยมองไปยังหลัวเยี่ยน แม่ของพี่ใหญ่ก็เป็นเหมือนกับแม่ของพวกเขา พวกเขาอยากบอกหลัวเยี่ยนว่ามีวิธีแต่กลับพูดไม่ออก เย่เทียนเฉินนั่งขัดสมาธิโดยไม่ขยับเขยื้อนมาเจ็ดวันเจ็ดคืน ลมหายใจอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ไม่กินไม่ดื่มมาเจ็ดวันเจ็ดคืน ถ้าจะหิวตายหรือกระหายน้ำตายก็เป็นเรื่องปกติ
ปัง!
หวังเจี๋ยซัดหมัดเข้าไปบนกำแพง เอ่ยปากด่าอย่างดุดันว่า
“แม่งเอ้ย จางอีเต๋อไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ถ้าฉันหาเขาเจอฉันจะถลกหนังเขาออกมาซะ พวกชางหลางก็ไม่สนใจอะไร ไม่ออกแรงอะไรเลยสักนิด หนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนอะไรกัน ขุนพลระดับทัพฟ้าอะไรกัน มีแต่พวกเศษสวะทั้งนั้น!”
“ไม่ได้ พวกเราจะนั่งอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว ออกไปตามหาต่อเถอะ ดีกว่ารออยู่ที่นี่!” หลินตวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
“ไปเถอะ อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกเลย ตามหายังดีกว่าไม่ตามหา!” เปาเทียนหลงก็เอ่ยปากขึ้นเช่นกัน
อู๋เสวี่ยพยักหน้า มองไปยังหลัวเยี่ยน เย่เชี่ยนเหวิน ฉีหรูเสวี่ยและเสี้ยวหยา เขาไม่ได้พูดอะไร เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีจึงหมุนตัวเดินออกไปที่ประตู หวังเจี๋ยเดินอยู่หลังสุด เพิ่งจะเดินไปถึงประตูก็มีคนสวมชุดทหารสองคนขวางเอาไว้ คนหนึ่งก็คือชางหลาง อีกคนก็คือเฮยเมี่ยน
คนทั้งสองในกองทัพจีนที่ไปมาหาสู่กับเย่เทียนเฉินมากที่สุดก็คือเฮยเมี่ยนและชางหลาง เมื่อรู้ว่าเย่เทียนเฉินฆ่ามัตสึโมโตะชิโมะเค็นได้ ชางหลางและเฮยเมี่ยนก็ตื่นตะลึงจนหน้าถอดสี รู้สึกสั่นสะท้านจริงๆ พวกเขาสองคน คนหนึ่งเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน อีกคนเป็นขุนพลระดับทัพฟ้า ความสามารถของทั้งสองแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก กระทั่งเย่เทียนเฉินก็ยังให้ความสำคัญ สามารถทำให้พวกเขาตื่นตะลึงจนหน้าถอดสีได้นับเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ
แน่นอนว่าพวกเขามีอคติต่อเย่เทียนเฉิน แต่ก็ชื่นชมมากด้วย ในตอนที่รู้ว่าเย่เทียนเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องตามหาเซียนแพทย์เทวะเพื่อมาช่วยรักษา พวกเขาก็รีบเคลื่อนกองกำลังที่ตนมีทั้งหมด ภายในเวลาระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันก็ตามหาไปทั่วทุกเมืองของประเทศจีนแล้วแต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของจางอีเต๋อ และยังตรวจสอบบันทึกเข้าออกทั้งทางบกและทางทะเลแล้วก็ยังไม่มีชื่อของจางอีเต๋อบันทึกไว้ ชายชราคนนี้ราวกับระเหยหายไป ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน
“พวกเราสองคนเป็นเศษสวะ แล้วพวกแกหาเซียนแพทย์เทวะเจอหรือเปล่า?” ชางหลางมองไปยังหวังเจี๋ยแล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“กล้ามาสบประมาทขุนพลระดับทัพฟ้าของพวกเรา พวกแกนี่เป็นพวกขี้แพ้จริงๆ!” เฮยเมี่ยนมองไปยังพวกอู๋เสวี่ยแล้วพูดอย่างเย็นชา
“หึ พวกเราไม่มีประโยชน์ ช่วยพี่ใหญ่ไม่ได้ แล้วพวกแกมีประโยชน์อะไรล่ะ? ขุนพลระดับทัพฟ้า พวกแกคิดว่าบิดาจะกลัวพวกแกเหรอ?” หวังเจี๋ยเอ่ยปากพูดอย่างดุดัน
“ทำไม? จะลองดูหน่อยหรือเปล่า?”
เฮยเมี่ยนเองก็เป็นพวกบ้าการต่อสู้คนหนึ่ง ตอนนี้เย่เทียนเฉินเหนือเขาไปแล้ว ในใจของเขาย่อมรู้สึกไม่พอใจ เคยได้ยินว่ากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ที่เย่เทียนเฉินก่อตั้งขึ้น แต่ละคนต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอด พวกเขาฆ่ายอดฝีมือทั้งสามสิบคนของสำนักโฮคุชินอิตโตริวไปได้ นี่ทำให้เฮยเมี่ยนยิ่งอยากจะเห็นสักหน่อยว่ากลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ที่เย่เทียนเฉินก่อตั้งขึ้นจะมีความสามารถขนาดไหน
“ลองก็ลองสิ บิดากลัวแกรึไง?” หวังเจี๋ยจ้องตาเฮยเมี่ยน เมื่อเผชิญหน้ากับขุนพลระดับทัพฟ้าคนนี้เขาก็ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย รวมกับที่ตอนนี้พี่ใหญ่เป็นตายก็ยังไม่รู้ ในใจของเขาจึงมีความร้อนรนและไม่มีที่ระบาย ต้องการจะต่อสู้สักครั้ง
“มีความกล้าดี พวกเราออกไปเถอะ ฉันจะอัดแกจนต้องคุกเข่าร้องขอชีวิต!” เฮยเมี่ยนพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“เอาล่ะ หวังเจี๋ย แกยอมถอยไปเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องพวกนี้ พวกเราต้องช่วยให้พี่ใหญ่ฟื้นขึ้นมาก่อน!”
อู๋เสวี่ยเดินเข้ามา มองไปยังชางหลางและเฮยเมี่ยน อู๋เสวี่ยย่อมรู้ดีว่าสองคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ ส่วนหวังเจี๋ยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเฮยเมี่ยนได้หรือไม่เขาเองก็ไม่รู้และไม่สนใจอยากจะรู้ด้วย ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ บางทีเขาคงดูอย่างสนุกสนานว่ากองทัพที่ถูกเรียกขานว่าเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศจีนจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่ แต่ตอนนี้กลับไม่มีความสนใจแบบนั้น
หวังเจี๋ยมองไปยังเฮยเมี่ยนอย่างดุดัน เขาเข้าใจว่าอู๋เสวี่ยพูดได้มีเหตุผลจริงๆ ตอนนี้พี่ใหญ่ยังสลบไสลไม่ได้สติ ไม่ใช่เวลาจะมาก่อเรื่อง สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องตามหาเซียนแพทย์เทวะจางอีเต๋อก่อน
ตอนนี้เอง อู๋เสวี่ยมองไปยังชางหลางและเฮยเมี่ยนก่อนจะเอ่ยปากว่า “คุณทั้งสอง ผมคิดว่าพวกคุณคงไม่ได้มาเพื่อจะพูดเรื่องพวกนี้หรอกนะครับ? มีข่าวอะไรหรือเปล่า?”
เฮยเมี่ยนไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงแค่นเสียงเย็นแล้วเดินไปด้านข้าง ชางหลางสุขุมกว่าจริงๆ ไม่ได้บุ่มบ่ามเหมือนเฮยเมี่ยน เขาเดินไปเบื้องหน้าอู๋เสวี่ยแล้วพูดว่า “พวกเราเองก็หาจางอีเต๋อไม่พบ เพียงแค่มาดูว่าจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า…”
“หาไม่พบ? หาไม่พบแล้วพวกแกมาทำไม เชิญเถอะ ไม่ส่ง!” หวังเจี๋ยได้ยินคำพูดของชางหลางก็เกิดโทสะขึ้นมาทันที กล้าเชิญชางหลางและเฮยเมี่ยนมา แต่ยังไม่มีข่าวดีอะไร มาเยี่ยมดูเท่านั้น เมื่อคิดว่าพี่ใหญ่สลบไสลไม่ได้สติไปเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้วแต่คนกลุ่มนี้กลับไม่มีประโยชน์อะไร ในใจของหวังเจี๋ยจึงรู้สึกโกรธเกรี้ยว
“ไอ้หนู แกพูดกับฉันให้ระวังหน่อย กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์งั้นเหรอ? หึ เย่เทียนเฉินสลบไสลไม่ได้สติ ฉันว่ายังไม่ถึงเวลาให้พวกแกกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์มาพูด!” เฮยเมี่ยนแค่นเสียงเย็นแล้วพูดอย่างไม่พอใจ
“จะถึงเวลาให้ฉันพูดหรือเปล่า แกก็อย่ามายุ่ง ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก ไสหัวไปซะ!” หวังเจี๋ยกล้าไม่น้อย ถึงกับกล้าไล่เฮยเมี่ยนให้ไสหัวไป ต่อให้เป็นเย่เทียนเฉินก็ยังไม่กล้าพูด
ฟุ่บ!
คำพูดของหวังเจี๋ยเพิ่งจะถูกกล่าวออกมาก็มีหมัดปะทะมาบนใบหน้า ซัดสันจมูกของเขาอย่างแรงจนกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างทั้งร่าง…