เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 490 ซูเฟยเฟยแทบทรุด
“นี่…นายทึ่ม ไม่ได้ยินที่ฉันพูดกับนายรึไง?”
ซูเฟยเฟยเห็นเย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้าโดยไม่สนใจตนจึงรีบวิ่งเหยาะๆ ตามไป
ในใจของเย่เทียนเฉินไม่ได้มีความคิดเกี่ยวกับหลีซิ่นอะไรนั่นอยู่เลย ถ้าหากเป็นเย่เทียนเฉินคนก่อนหน้านี้ ต่อให้มีความกล้ามากกว่านี้ร้อยเท่าก็ไม่กล้าแตะต้องหลีซิ่นแน่นอน แต่ตอนนี้เขาคือคนจากดาวสิ้นโลกที่มาสวมร่าง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือความคิดล้วนไม่เหมือนเย่เทียนเฉินคนก่อน เรื่องที่เขาคิดอยู่ในใจตอนนี้สามารถทำให้ทั่วทั้งโลกสั่นสะท้านและยากจะเชื่อได้เลยทีเดียว เขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ใช้เพียงการตะโกนก็ทำลายดวงดาวทั่วฟ้าได้ นี่คือสิ่งที่เขากำลังคิด
ซูเฟยเฟยรู้สึกร้อนใจจริงๆ แล้ว ถ้าคนที่เย่เทียนเฉินล่วงเกินไม่ใช่หลีซิ่นแต่เป็นคุณชายของตระกูลใหญ่หรือกลุ่มอำนาจใหญ่อื่นๆ ซูเฟยเฟยจะไม่ร้อนใจเช่นนี้ ด้วยตระกูลซูของเธอ ด้วยความสามารถของตระกูลที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในด้านการค้าภายในประเทศ หากต้องการทำให้เรื่องสงบย่อมไม่ใช่ปัญหา
เพียงแต่คนที่เย่เทียนเฉินล่วงเกินคือหลีซิ่น นี่ไม่ใช่คนดีอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเธอเคยได้ยินว่าผู้อาวุโสตระกูลหลีรักหลีซิ่นซึ่งเป็นหลานคนนี้มากจริงๆ และปกป้องถือหางมากด้วย หากเขารู้ว่าหลานของตนถูกคนชนจนหน้าทิ่มดิน ยังร้องด่าไม่ทันจบก็ถูกเตะจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง ไม่รู้จริงๆ ว่าชายชราอารมณ์ร้อนผู้กลับมาจากการฆ่าฟันในสงครามคนนี้จะระเบิดโทสะมากขนาดไหน
ไม่ว่าซูเฟยเฟยจะร้องเรียกอยู่ด้านหลังอย่างไรเย่เทียนเฉินก็ไม่สนใจเธอเลย ในความคิดของเย่เทียนเฉินไม่มีคุณชายตระกูลใหญ่ล่วงเกินไม่ได้อะไรนั่น ในใจของเขามีหลักการเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ แบ่งแยกดีเลวชัดเจน ทำตามหลักการของตนโดยไม่สนใจผู้อื่น ต่อให้คุณคือโฮบาม่าประธานาธิบดีแห่งประเทศ M ก็มีแค่สองตาหนึ่งจมูกไม่ใช่เหรอ? มีอะไรยอดเยี่ยมกัน
ตระกูลหลีไม่นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ ที่พูดแบบนี้เป็นเพราะคนตระกูลหลีมีคนไม่มาก เมื่อมาถึงยุคของหลีซิ่นก็มีเพียงหลีซิ่นที่เป็นหลานคนเดียว จนกระทั่งตอนนี้ผู้อาวุโสตระกูลหลียังคงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าใหญ่และคอยสนับสนุนตระกูลหลีทั้งตระกูล หากเขาล้ม อาศัยเพียงหลีซิ่นที่ไร้การศึกษาไม่เล่าเรียน เกรงว่าคงไม่สามารถรับผิดชอบสนับสนุนตระกูลหลีได้
ผู้อาวุโสตระกูลหลีเป็นคนที่รอดมาจากการฆ่าฟันในสงคราม ไม่รู้ว่าบนร่างกายมีบาดแผลมากน้อยขนาดไหน ลูกชายทั้งสามและลูกสาวหนึ่งคนของเขาตายไปในสงครามปกป้องประเทศชาติหมดแล้ว ดังนั้นถึงแม้ผู้อาวุโสตระกูลหลีจะมีตำแหน่งไม่สูง แต่ผู้นำระดับสูงของทางการต่างเคารพเขามาก นี่เป็นชายชราที่น่าเคารพคนหนึ่ง เสียสละชีวิตของตนและลูกชายลูกสาวทั้งหมดเพื่อประเทศชาติ จะไม่ได้รับการเคารพเลื่อมใสจากคนอื่นได้อย่างไร
และเนื่องจากหลีซิ่นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลี ดังนั้นผู้อาวุโสหลีจึงรักใคร่เป็นพิเศษ ส่งไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก อายุ 24 ปีก็มีบอดี้การ์ดยอดฝีมือคอยคุ้มครองโดยเฉพาะ จนกระทั่งกลับประเทศมาจึงไม่ได้ส่งบอดี้การ์ดไปคุ้มครองหลีซิ่นอีก จะอย่างไรก็อยู่ในประเทศบ้านเกิดของตน ผู้อาวุโสหลีเชื่อว่าไม่มีใครกล้าแตะต้องหลานของตนแน่นอน การที่เขาส่งหลีซิ่นไปเรียนที่ต่างประเทศเพราะหวังว่าเขาจะประสบความสำเร็จ หลังจากที่ตนตายไปจากโลกใบนี้ หลีซิ่นจะได้สนับสนุนตระกูลหลีทั้งตระกูล ไม่ถูกคนอื่นรังแก
ความยโสโอหังไม่เห็นหัวใครของหลีซิ่นล้วนเป็นเพราะถูกปรนเปรอ ความจริงสำหรับลูกหลานคนอื่นๆ ของตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ล้วนเป็นจัดการงานเลี้ยงเช่นนี้ได้ดี นี่เป็นสิ่งที่เห็นจนชินหูชินตาตั้งแต่เด็ก ในขณะเดียวกันคนในบ้านก็สั่งสอนมาโดยเฉพาะ ในฐานะที่เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ หากไม่สามารถจัดการเรื่องงานเลี้ยงงานสังคมเช่นนี้ได้คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด
หากกล่าวกันตามเหตุผล หลีซิ่นก็ไม่ควรวางอำนาจขนาดนั้น ต่อให้จะวางอำนาจก็ไม่ควรทำให้เห็นซึ่งหน้า ทำแบบนี้จะตื้นเขินเกินไปและไม่เหมาะสมกับฐานะของเขา เพียงแต่ในตอนที่อำนาจที่อยู่เบื้องหลังคนคนหนึ่งยิ่งใหญ่จนดูเหมือนว่าไม่มีใครกล้าล่วงเกิน เขาจะไม่วางอำนาจได้อย่างไร? ในใจของเขา เขาอยู่ในตำแหน่งสูงส่งที่สุดแล้ว ยังต้องถ่อมตัวอีกเหรอ? ดังนั้นลูกหลานชายหญิงของตระกูลใหญ่และลุ่มอำนาจใหญ่อื่นๆ รู้จักเสแสร้งถ่อมตัวให้เห็นภายนอก แต่คนที่มีฐานะสูงส่งอย่างแท้จริงเหมือนคนอย่างหลีซิ่นที่ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก ปู่ก็เป็นลูกพี่ใหญ่ที่มีอำนาจฐานะสูงส่งอย่างแท้จริง เขาจะถ่อมตัวได้อย่างไร? ถ่อมตัวกับหมาอะไรล่ะ
นี่เป็นอีกด้านหนึ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใจได้ หลายคนคิดว่าตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ที่แท้จริงจะไม่โอ้อวดมากเกินไป ยิ่งมีความอำนาจยิ่งเป็นคนมีเงินก็ยิ่งต้องถ่อมตัว แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าคนมีเงินมีอำนาจที่แท้จริงจะไม่ถ่อมตัวเด็ดขาด หากถ่อมดู คิดๆ ดูแล้วจะมีความหมายอะไร?
ดังนั้นกล่าวได้ว่าคนที่รู้เบื้องหลังของหลีซิ่นจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเย่เทียนเฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูเฟยเฟย เดิมทีเธอก็เป็นลูกหลานของตระกูลการค้าอันดับหนึ่งในประเทศอยู่แล้ว แน่นอนว่าจะต้องเข้าใจพื้นเพของหลีซิ่นเป็นอย่างดี ได้ยินว่าผู้อาวุโสหลีเป็นชายชราที่กลับมาจากการฆ่าฟันในสงคราม มีอารมณ์รุนแรง หากโกรธขึ้นมาก็กล้าตบโต๊ะถลึงตากับผู้นำระดับสูงของทางการทั้งหลายเลยทีเดียว
“เบื้องหลังของหลีซิ่นไม่ธรรมดาเลยนะ เรื่องนี้นายจะต้องคิดหาวิธีแก้ไข ถึงตอนนั้นฉันจะกลับไปขอร้องให้คุณปู่ช่วยอีกที บางทีทำแบบนี้อาจจะรอดไปได้” ซูเฟยเฟยเดินตามเย่เทียนเฉินพลางพูดอย่างร้อนใจ
เย่เทียนเฉินมองซูเฟยเฟย นี่ทำให้ซูเฟยเฟยผ่อนลมหายใจไปได้บ้าง คิดว่าอย่างน้อยเจ้าหมอนี่ก็เริ่มให้ความสำคัญกับคำพูดตนแล้ว
“แตงโมนี่ไม่เลวเลย กินอีกชิ้นเป็นไง?”
บึ้ม!
ซูเฟยเฟยแทบจะทรุดลงกับพื้น เดิมที่คิดว่าเจ้าหมอนี่เห็นความสำคัญของคำพูดตนแล้วและจะคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องของหลีซิ่น ไหนเลยจะรู้ว่าเขาชะงักไปครึ่งค่อนวันก่อนจะพูดประโยคนี้กับตน ทำให้ซูเฟยเฟยอับจนคำพูดจริงๆ นับวันก็ยิ่งรู้สึกอยากอัดไอ้หมอนี่ให้แบน ตนกำลังร้อนอกร้อนใจอยู่ที่นี่ เขากลับทำเหมือนคนไม่มีปัญหาอะไร ร้อนรนอยู่ฝ่ายเดียวจริงๆ
“นาย…ตกลงนายเข้าใจหรือเปล่า หลีซิ่นไม่เหมือนกับตระกูลลั่วและตระกูลฉินที่เป็นศัตรูกับนายก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสหลียังอยู่ในตำแหน่งลูกพี่ใหญ่ แม้แต่ท่านผู้นำสูงสุดก็ยังต้องไว้หน้าเขาอยู่บ้าง” ซูเฟยเฟยมองไปรอบด้าน เมื่อพบว่าไม่มีคนจึงพูดกับเย่เทียนเฉินเสียงสูง
“ท่านผู้นำสูงสุดต้องไว้หน้าเขาเหรอ? พอดีเลย ท่านผู้นำสูงสุดก็ต้องไว้หน้าฉันเหมือนกัน แบบนี้ก็หายกันแล้ว แน่นอนว่าไอ้หมอนี่ต้องไม่มาหาเรื่องฉันก่อนอีก” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“นี่นาย…”
“ไปเถอะ เรื่องนี้ฉันจัดการเอง ไปดูที่อื่นกันหน่อย จัดงานได้ไม่เลวเลย น่าชื่นชมจริงๆ”
คำพูดของซูเฟยเฟยยังไม่ทันจบก็ถูกเย่เทียนเฉินลากไปที่อื่นแล้ว ที่ทำให้ซูเฟยเฟยรู้สึกหดหู่ยิ่งขึ้นก็คือ ปากเย่เทียนเฉินก็พูดว่าจะไปดูการตกแต่งงานวันเกิด แต่ความจริงลากซูเฟยเฟยไปจุดบริการอาหารจีนอีกแห่งหนึ่งและเริ่มกินขาหมูน้ำแดงอะไรพวกนั้น ทำให้ซูเฟยเฟยที่ยืนอยู่ด้านข้างโกรธจนพูดอะไรไม่ออกไปครึ่งวัน
เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเย่เทียนเฉินคนนี้มีสมองหรือเปล่า ต่อให้เขาไม่รู้เบื้องหลังของหลีซิ่น หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่เห็นความสำคัญ แต่วันนี้เป็นวันอะไร? เป็นวันเกิดอายุครบ 75 ปีของปู่ของเย่เทียนเฉิน แม้จะบอกว่าเป็นงานอวยพรวันเกิด แต่ความจริงคนจากตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งหมดต่างรู้ดีว่านี่เป็นงานเลี้ยงเชื่อมสัมพันธ์ เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ดื่มเหล้าสนทนาใครก็ไม่อยากพลาดโอกาส ต่างก็หาคนมีหน้ามีตามาพูดคุยกันเผื่อว่าวันหน้าจะได้มีโอกาสร่วมงาน
แต่เย่เทียนเฉินคนนี้กลับดีจริงๆ ในฐานะที่เป็นคนจากตระกูลเจ้าภาพแต่กลับไม่ไปพูดคุยคารวะสุรากับคนเหล่านั้น ทั้งยังไม่สานสัมพันธ์กับใคร รู้จักแต่กินลูกเดียว เหมือนกับชีวิตนี้ไม่เคยกินของดีมาก่อน
ตอนนี้เอง ที่พุ่มไม้บริเวณไม่ไกล หลีซิ่นพยายามลุกขึ้นมา เขาดิ้นล้มลุกคลุกคลานอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่า เจ็บจนมีเหงื่อเย็นเต็มหน้าผาก มือทั้งสองกุมท้องของตน กัดฟันด้วยความโกรธแค้นเกลียดชัง พูดอย่างดุดันว่า “เย่เทียนเฉิน แกกล้าแตะต้องฉัน ฉันจะทำให้แกขยับไม่ได้ไปชั่วชีวิต”
หลีซิ่นต้องโกรธมากอยู่แล้ว เขาคิดไม่ถึงว่าคนที่ชนเขาจนหน้าทิ่มดินและยังเตะเขากระเด็นเหมือนหมาตัวหนึ่งจะเป็นเย่เทียนเฉินที่เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าในประเทศนี้ยังมีคนกล้าแตะต้องเขาแบบนี้อีก และยังดูถูกเหยียดหยามกันขนาดนี้ด้วย ทำให้หลีซิ่นโกรธจนถึงขีดสุด ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเสียใจ ปกติข้างกายตนจะมีบอดี้การ์ดยอดฝีมือคอยคุ้มครองอยู่สี่คน ยอดฝีมือทั้งสี่คนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งจากพรรควรยุทธโบราณที่มาจากพรรคเดียวกัน ฝีมือของทุกคนแข็งแกร่งมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนทั้งสี่ร่วมมือกันก็ยิ่งแข็งแกร่ง เดิมทีคิดว่ามาถึงประเทศจีนแล้วจะไม่มีใครกล้าแตะต้องตน
ดังนั้นหลีซิ่นจึงไม่ให้ยอดฝีมือทั้งสี่ติดตามมา หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้คงให้พวกเขาติดตามตนเองมาด้วยกันแล้ว ตอนที่เย่เทียนเฉินลงมือเมื่อครู่นี้ก็สามารถฆ่าเจ้าหมอนี่ให้ตายได้เลย อย่างไรก็ตาม ถ้าจะเรียกยอดฝีมือทั้งสี่มาตอนนี้ก็ยังไม่สาย เมื่อคิดถึงตรงนี้หลีซิ่นจึงหยิบโทรศัพท์ของตนออกมา ต่อสายไปยังเบอร์หนึ่ง
“หึ เย่เทียนเฉิน แกกล้าแตะต้องฉัน ฉันจะทำให้แกต้องจ่ายค่าตอบแทนที่น่าอนาถออกมาแน่ วันเกิดของไอ้แก่เย่หย่วนซานก็ไม่ต้องฉลองมันแล้ว…”
“ฮัลโหล พวกแกสี่คนรีบมาที่บ้านเดิมตระกูลเย่เดี๋ยวนี้ ฉันต้องการฆ่าคน!”
หลังจากพูดประโยคนี้จบ หลีซิ่นก็ตัดสายไป มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มโหดเหี้ยม เขาไม่เพียงแต่จะสั่งสอนเย่เทียนเฉิน แต่ยังต้องการก่อเรื่องใหญ่ที่ตระกูลเย่ทั้งตระกูลด้วย ต้องทราบว่านี่เป็นวันเกิดอายุครบ 75 ปีของเย่หย่วนซานผู้เป็นหัวหน้าตระกูลของตระกูลเย่ คนที่มาล้วนเป็นคนมีหน้ามีตา หากในวันเช่นนี้มีคนมาก่อเรื่อง อีกทั้งเย่เทียนเฉินยังถูกอัดจนเละหรือกระทั่งถูกสังหาร เกรงว่าตระกูลเย่คงไม่อาจพลิกฐานะได้ทั้งชาติ
ซูเฟยเฟยยืนอยู่ด้านหลังเย่เทียนเฉินมาโดยตลอด มองเย่เทียนเฉินด้วยสีหน้าเอื้อมระอา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและความไม่เข้าใจที่มีต่อเจ้าหมอนี่ ถ้าเป็นคุณ เห็นว่าในงานเช่นนี้นี้ผู้ชายคนหนึ่งกินขาหมูไปติดติดกันสามขา แล้วตอนนี้ยังไปขอเป็ดย่างจากพ่อครัวมากินอีก คุณจะต้องทรุดแน่ๆ
“ใช่ครับ เอาตัวใหญ่นั่น ทาน้ำมันเพิ่มให้ผมหน่อย ค่อยๆ ย่างนะครับ จะต้องให้ด้านนอกเหลืองกรอบ” เย่เทียนเฉินมองพ่อครัวย่างเป็ดพลางเสนอแนะ นับว่าแปลกประหลาดถึงขีดสุดจริงๆ
ตอนนี้เอง เย่หย่วนซานและชายชราอีกคนหนึ่งเดินมาด้วยกัน ข้างกายของชายชราคนนั้นยังมีหญิงวัยรุ่นหน้าตาสวยงามคนหนึ่งเดินตามมาด้วย ในตอนที่ชายชราคนนั้นเห็นเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้มว่า “น้องเย่ นั่นคือเย่เทียนเฉินหลานของคุณเหรอ?”