เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 493 ปีศาจสีเงินทั้งสี่
เย่หย่วนซานจะเกษียณ ตั้งแต่นี้ไปจะไม่ถามเรื่องของตระกูลเย่อีก เขาไม่ได้มอบตำแหน่งหัวเรือใหญ่ให้บุตรชายทั้งสามของตนเอง แต่จะมอบให้เย่เทียนเฉินผู้เป็นหลานชายของตน เรื่องเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากในด้านการสืบทอดอำนาจของตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าเย่หย่วนซานให้ความสำคัญกับเย่เทียนเฉินมากเพียงใด
ทุกคนที่อยู่ในงานวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา แน่นอนว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนฉลาด ใช้สมองเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจได้ว่าทำไมเย่หย่วนซานถึงมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลเย่ให้แก่หลานชายแต่ไม่ยอมมอบให้ลูกของตน ดูแล้วการต่อสู้ระหว่างลูกชายทั้งสามคงรุนแรงมาก ต้องทราบว่าตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของตระกูลหนึ่งไม่เพียงแต่จะสามารถตัดสินใจเรื่องเล็กใหญ่ในตระกูลได้เท่านั้น แต่สามารถตัดสินกระทั่งความเป็นความตายของทุกคนในตระกูลได้เลย บางทีดูผิวเผินแล้วในสังคมที่มีกฎหมายแน่ชัดอาจดูว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตระกูลใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น ยิ่งเป็นตระกูลใหญ่ยิ่งจำเป็นต้องมีกฎตระกูลที่เข้มงวดจริงจัง บางทีแค่กฎหมายก็ไม่มีประโยชน์จริงๆ
ทุกคนต่างรู้ดีว่าตระกูลเย่ตกต่ำมาเกือบ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่เย่หย่วนซานออกจากตำแหน่ง ในหมู่ลูกชายทั้งสามก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ปีนป่ายไปถึงตำแหน่งของเขาได้ พูดให้ชัดเจนก็คือไม่ใช่คนที่เหมาะสม พยายามฝืนไปก็เปล่าประโยชน์ หลายครั้งที่ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถทำให้ตระกูลรุ่งเรืองได้ ทั้งยังนำความวิบัติมาสู่ตระกูลอีกด้วย
การตกต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้ตระกูลเย่กลายเป็นตระกูลชั้นสามอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องพูดถึงระดับประเทศเลย เพียงแค่ในเมืองหลวงก็มีตระกูลชั้นสามมากราวกับขนวัวแล้ว ในสายตาของตระกูลชั้นหนึ่งและตระกูลชั้นสองไม่นับเป็นอะไรได้ ถ้าพอใจก็จะไว้หน้าคุณ ถ้าไม่พอใจก็จะตบตีคุณ กระทั่งเหยียบย่ำพวกคุณให้ตายตามแต่ใจ ดังนั้นหลายปีมานี้การดำรงอยู่ของตระกูลเย่จึงไม่ง่ายนัก หากไม่ใช่ว่าเย่หย่วนซานเคยเป็นคนมีตำแหน่งและยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าตระกูลเย่คงถูกคนอื่นเหยียบย่ำจนตายไปนานแล้ว ไหนเลยจะเหลือมาจนถึงตอนนี้ได้
ตอนนี้ตระกูลเย่มีคนอย่างเย่เทียนเฉินเกิดขึ้นมาแล้ว เขาคนนี้เคยเป็นคนที่ทั้งเมืองหลวงมองว่าเป็นเศษสวะ เป็นตัวตลกของทุกคน ไม่รู้ว่าต้องพบกับสายตาเย็นชาและเสียงหัวเราะมากมายขนาดไหน แต่ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นเขาก็ยังจะต่อต้าน ยังจะผงาดขึ้นมาได้ ตั้งแต่กลับมาที่เมือง ทุกเรื่องที่ทำมากเพียงพอที่จะสั่นสะท้านไปทั่วทุกสารทิศ กระทั่งตระกูลชั้นหนึ่งอย่างตระกูลฉินก็ยังถูกเย่เทียนเฉินทำลาย กระทั่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยางซึ่งเป็นตระกูลเบื้องหลังก็ถูกเย่เทียนเฉินเหยียบย่ำ มีอะไรที่เย่เทียนเฉินไม่กล้าทำอีกหรือ? ย่อมต้องทำให้ผู้คนไม่กล้ามองผ่านและต้องเปลี่ยนมุมมองแน่นอนอยู่แล้ว พูดได้เลยว่าเย่หย่วนซานใช้งานวันเกิดอายุครบ 75 ปีของตนประกาศว่าจะเกษียณต่อหน้าคนใหญ่คนโตมากมาย ขณะเดียวกันก็ผลักดันเย่เทียนเฉินผู้เป็นหลานของตนด้วย ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติ
เย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่ด้านล่างกำลังกินเค้กช็อกโกแลต เมื่อได้ยินคำพูดของเย่หย่วนซานผู้เป็นปู่ก็เกือบจะสำลัก เรื่องนี้ปู่ของเขาไม่ได้บอกก่อน อยู่ดีๆ ก็จะให้เขาขึ้นไปพูดบนเวทีต่อหน้าคนมากมายแบบนี้แล้วจะให้พูดอะไรล่ะ? บอกว่าวันนี้อาหารอร่อย ให้ทุกคนกินดื่มให้อร่อยเหรอ? นี่จะไม่ดูไร้รถสนิยมต่อหน้าผู้คนเกินไปหน่อยเหรอ?
“เทียนเฉินรีบขึ้นไปเถอะ อย่าทำให้ตระกูลเย่ของพวกเราขายหน้า!” เย่หงที่อยู่ด้านหลังพูดเตือนเย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าอย่างหดหู่ วางช็อกโกแลตเค้กไว้ลงด้านข้างอย่างอาลัยอาวรณ์ จัดสูทของตนให้เรียบร้อยเล็กน้อยก่อนจะเดินไปกลางสนามหญ้าเพื่อขึ้นไปบนเวที
เย่หย่วนซานเห็นเย่เทียนเฉินผู้เป็นหลานเดินขึ้นมาก็ส่งไมโครโฟนให้เย่เทียนเฉิน แย้มยิ้มเล็กน้อยพลางตบบ่าอีกฝ่าย จากนั้นจึงเดินลงไปดูถ่อมตัวเป็นอย่างมาก ทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าต้องการเกษียณอย่างจริงใจ หลายปีมานี้ในใจของเย่หย่วนซานยอมร้อนใจมาก ตอนที่ตระกูลเย่อยู่ในมือของตน แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นตระกูลชั้นหนึ่งแต่ก็ต่างกันไม่มาก อย่างไรก็ตามตั้งแต่ที่ตนลงจากตำแหน่ง ตระกูลเย่ก็ค่อยๆ ตกต่ำลง ลูกหลานรุ่นหลังก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถค้ำจุนตระกูลเย่ได้ ล้วนก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอ ผนวกกับที่ตนอายุมากแล้ว อีกไม่นานคงเข้าไปอยู่ในโลง หากตระกูลเย่ยังตกต่ำอยู่เช่นนี้เขาจะสบายใจได้อย่างไร? ตอนนี้เย่เทียนเฉินผู้เป็นหลานชายของตนสง่างามประหนึ่งสายรุ้ง เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้ตระกูลเย่รุ่งเรืองได้ ทำไมเขาจะไม่ปล่อยอำนาจทั้งหมดและวางมือล่ะ?
“สวัสดีครับทุกท่าน ผมชื่อเย่เทียนเฉิน ทุกท่านมาร่วมอวยพรในงานวันเกิดของปู่ผมได้ ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ หวังว่าภายหน้าจะได้สนิทสนมกับทุกท่านให้มาก และร่วมมือกันให้มาก ขอบคุณครับ!” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลัง ไม่มีอาการประหม่า
เย่หงพยักหน้า ตอนแรกเขายังกังวลว่าลูกชายจะพูดไม่เป็น จะอย่างไรที่ผ่านมาเย่เทียนเฉินก็มีท่าทีเหลาะแหละ ดูเหมือนไม่สนใจกิจกรรมการสานสัมพันธ์พวกนี้และเหมือนจะไม่รู้เรื่องมากนัก คิดไม่ถึงว่าพอพูดออกมาไม่กี่ประโยคก็ดูมีมากขึ้นมาจริงๆ ทั้งยังทำให้คนอื่นไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ยืนอยู่บนเวทีก็คือเย่เทียนเฉิน
ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าเย่เทียนเฉินออกงานไม่เป็น แต่เขาแค่ไม่มีความสนใจเรื่องพวกนี้มาโดยตลอด แค่ต้องพูดไม่กี่ประโยคบนเวทีก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่ได้มีความสนใจทางด้านนี้ก็เท่านั้น
“เท่านี้ก่อนแล้วกันครับ กิจกรรมต่อไปขอให้ทุกท่านสนุกสนานกันได้ตามสบาย ผมจะไปทักทายทีละคน” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มจากนั้นจึงส่งไมโครโฟนให้พิธีกรที่อยู่ด้านข้างแล้สเดินลงไปด้านล่างเวที
พิธีกรรับไมโครโฟนมากล่าวเสียงดังด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ผมก็จะไม่พูดมากอีก ลำดับต่อไป…”
ตู้ม!
ไหนเลยจะรู้ว่าในตอนที่ทุกคนรู้สึกเหนือคาดกับความยิ่งใหญ่ของเย่เทียนเฉินจนต้องเปลี่ยนมุมมองนั้นเอง พิธีกรยังพูดไม่ทันจบก็ถูกอัดจนกระเด็นออกไป บนท้องมีดาบเล่มใหญ่แทงทะลุ ถูกปักติดอยู่บนของตกแต่งด้านหลัง เลือดไหลออกมาเป็นสายอาบย้อมคำว่า “อายุยืน” ดูแล้วน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“วันนี้คนตระกูลเย่ทั้งหมดต้องตาย ถ้าคนอื่นไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ!”
ตอนนี้เอง บริเวณประตูใหญ่ของบ้านเดิมตระกูลเย่มีคนเดินเข้ามาสี่คน สี่คนนี้ต่างสวมผ้าคลุมสีดำและหน้ากากสีเงิน ส่วนบอดี้การ์ดหลายคนของบ้านเดิมตระกูลเย่ต่างนอนจมกองเลือด
ทุกคนในงานตื่นตะลึง มองไปยังคนสวมเสื้อคลุมสีดำทั้งสี่ คนทั้งสี่ต่างมีลักษณะกำยำล่ำสัน เพียงมองก็รู้ว่าเป็นชายฉกรรจ์สี่คนที่มีความสามารถแข็งแกร่ง ในมือของทุกคนถือดาบเล่มใหญ่เอาไว้ บนใบหน้าสวมหน้ากากสีเงินทำให้มองเห็นหน้าไม่ชัดเจน แต่ยังคงสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่ปะทุออกมา
โชคดีที่คนที่มาร่วมงานวันเกิดของเย่หย่วนซานไม่ใช่พวกอ่อนหัด ต่างมาจากกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ เหตุการณ์เพียงแค่นี้ไม่สามารถทำให้พวกเขาตกใจได้ แต่ยังมีคนไม่น้อยที่ลุกขึ้นยืน ทำตัวเป็นคนอยู่นอกเหตุการณ์คอยดูความครึกครื้น คิดว่าอยากเห็นสักหน่อยว่าตระกูลเย่จะจัดการอย่างไร อยากเห็นว่าเย่เทียนเฉินที่เล่าลือกันว่าแข็งแกร่งเหมือนปีศาจจะร้ายกาจขนาดไหน และจะได้ประเมินความสามารถของเย่เทียนเฉินพอดี หากมีความสามารถไม่พอแล้วจะไว้หน้าตระกูลเย่ไปอีกทำไม? แค่กลับไปก็พอแล้ว
“พวกแกเป็นใคร? กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลเย่ รู้หรือเปล่าว่าคนที่อยู่ในงานเป็นใคร?” ลูกหลานอนุชนของตระกูลใหญ่คนหนึ่งทนเห็นความยโสโอหังของคนสวมหน้ากากทั้งสี่ไม่ได้จึงลุกขึ้นยืนแล้วพูดอย่างไม่พอใจ
เพี้ยะ!
ลูกหลานรุ่นเยาว์คนนั้นถูกตบจนกระเด็น ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ฟันร่วงออกมาหลายซี่จนไม่กล้าพูดอะไรอีก สี่คนนี้เป็นเหมือนเครื่องจักรสังหาร ไม่ว่าจะเป็นใครหากกล้าเข้ามาก็จะต้องถูกอัดอย่างหนัก
“ฉันไม่แนะนำให้คนอื่นเสนอหน้าช่วยตระกูลเย่!!” คนที่ตบลูกหลานรุ่นเยาว์คนนั้นพูดอย่างเย็นชา ท่าทีไม่สบอารมณ์
เมื่อได้ยินคำพูดของคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า ทุกคนในงานต่างชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่มีใครเดินออกมาพูดอะไรอีก ในหมู่พวกเขาส่วนใหญ่เป็นคนระดับผู้อาวุโส คนเหล่านี้เป็นคนที่เคยผ่านคลื่นลมมามาก ตอนนี้พวกเขาย่อมไม่ก้าวออกมา สาเหตุเป็นเพราะที่นี่เป็นถิ่นของตระกูลเย่ ในเมื่อมีคนมาหาเรื่องตระกูลเย่แล้วยังเลือกก่อเรื่องในวันเกิดอายุครบ 75 ปีของเย่หย่วนซานต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้จะต้องให้ตระกูลเย่จัดการเอง หากตระกูลเย่จัดการไม่ดีก็นับเป็นการขายหน้าครั้งใหญ่
“คนตระกูลเย่ทั้งหมดไสหัวขึ้นมาบนเวทีให้ฉันซะ บิดาจะฆ่าทีละคน” คนสวมหน้ากากคนหนึ่งทะยานตัวไปบนเวที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตอนนี้เอง เย่หย่วนซานเดินไปหน้าเวที มองไปยังคนสวมหน้ากากทั้งสี่ด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว กัดฟันพูดว่า “ฉันไม่สนว่าใครส่งพวกแกมา กล้ามาก่อนเรื่องที่ตระกูลเย่ของฉันวันนี้ อย่าได้คิดจะมีชีวิตออกไปแม้แต่คนเดียว”
“ไอ้แก่ปากดี ฉันจะตัดหัวแกเป็นคนแรก!”
ฉัวะ!
ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้าฟาดฟันดาบลงไปยังเย่หย่วนซาน ทุกคนชะงัก คิดไม่ถึงว่าชายสวมเสื้อคลุมดำหน้ากากเงินทั้งสี่คนนี้บอกว่าจะฆ่าคนก็ฆ่าทันที ไม่สนใจฐานะของคนที่นี่แม้แต่น้อย ไม่สนใจว่าคนเหล่านี้จะมีตำแหน่งใหญ่โตอะไร ไม่รู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนส่งสี่คนนี้มา โอหังจนถึงขั้นนี้เลยทีเดียว
ฟุ่บ!
แต่ในขณะที่ดาบในมือของชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้ากำลังจะฟันถูกเย่หย่วนซานนั้นเอง เขากลับพบว่าข้อมือของตนถูกมือข้างหนึ่งจับไว้แน่น เขามองไปด้านข้างด้วยสายตาดุดัน พบว่าชายหนุ่มคนหนึ่งจับข้อมือเขาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
“รนหาที่ตาย!”
ชายฉกรรจ์คนนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ออกแรงคิดจะสะบัดมือของตนออกจากอีกฝ่าย ไหนเลยจะรู้ว่ากลับถูกจับแน่นคล้ายถูกคีมหนีบ ไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหนก็ขยับไม่ได้
ฉัวะๆๆ!
ชายฉกรรจ์สวมหน้ากากสีเงินที่อีกสามคนต่างสะบัดดาบใหญ่ในมือฟาดฟันไปโดยไม่แม้แต่จะคิด พวกเขาดูออกว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา
เคร้งๆๆ!
เสียงดังขึ้นสามเสียง ดาบใหญ่ที่ชายฉกรรจ์อีกสามคนฟันลงมาถูกสกัดเอาไว้ทำให้ดาบในมือของพวกเขาสั่นสะท้าน ชายฉกรรจ์ที่ถูกจับข้อมือถือโอกาสนี้สะบัดออกจากพันธนาการ ชายสวมหน้ากากสีเงินทั้งสี่ต่างมองไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยความตื่นตะลึง
แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับเดินไปเบื้องหน้าเย่หย่วนซานโดยไม่มองพวกเขา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ปู่ครับ ปู่ไปพักผ่อนข้างๆ เถอะ ผมจัดการเอง”
“ระวังตัวด้วย” เย่หย่วนซานพยักหน้าก่อนจะกล่าวขึ้น