เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 645
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 645 กลุ่มผู้รอดชีวิต
แวมไพร์ปีศาจตื่นตัวทันทีเมื่อตรวจพบว่าศัตรูคู่อาฆาตของตนมีการเคลื่อนไหว มันกระเถิบตัวแนบติดผนังถ้ําอย่างน่าอดสู สภาพของมันบัดนี้ไม่ต่างจากคนนอนรอความตายกระเสือกกระสนยื้อชีวิต ตอนนี้มันรู้ซึ้งแล้วว่าผู้ใดอยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ใครเป็นผู้ล่าตนใดเป็นเหยื่อที่แท้จริงความนึกคิดที่มันมีก่อนหน้านี้กลับตารบัตรผิดคาดไปทุกสิ่ง
“หึม” หลินหยางเลิกคิ้วสูงเมื่อมองเหยื่ออันแสนโอชะที่รอเวลาเก็บเกี่ยว ด้วยระดับที่มากถึงสี่สิบสามของแวมไพร์ปีศาจหากมันตกตายลงหลินหยางอดตื่นเต้นมิได้เมื่อคิดถึงค่าระดับที่เพิ่มขึ้นและค่าสถานที่ตนจะได้ ทั้งยังมิอาจจิตนาการถึงทักษะการต่อสู้ที่จะได้จากการปลดชีวิตมัน บางทีหากได้ทักษะแสนอเนกประสงค์อํานวยความสะดวกอย่างการอัญเชิญค้างคาวตัวกระจ้อยมาเป็นกําลังรบก็คงจะดีไม่น้อย
”ยังไม่ถึงเวลาตายของแก” หลินหยางกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะยึดตัวเดินหายไปในความมืดงตรงไปยังส่วนลึกของถ้ํา
ส่วนลึกสุดภายในถ้ํา
ราวสิบนาทีหลังจากหลินหยางเริ่มปะทะกับแวมไพร์ปีศาจ
” พวกเราจะทํายังไงกันดี” เสียงชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นท่ามกลางผู้คนรอบกายนับร้อยชีวิตมันผู้นี้คือหลี่จิ้งผู้พบพานกับหลินหยางเป็นรายแรกหลังจากถูกจับกุมพาตัวมาขังไว้โดยค้างคาวระดับต่ํา
” พวกเรายังจะทําอะไรได้อีก”
“ชีวิตเราจบสิ้นแล้ว”
” ข้ายังไม่อยากตาย.”
” ข้าอยากกลับบ้าน ฮือๆ” มีเสียงคนผสมโรงกล่าววาจาฟังไม่ได้ศัพท์ กลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่ ณที่นี้ก็คือเหล่าผู้รอดชีวิตที่หลงเหลืออยู่ พวกมันบัดนี้เกาะกลุ่มกันวงกลม ภายในกลุ่มเกิดความเห็นแตกแยกหลายแขนง บ้างก็ร้องห่มร้องไห้ บ้างก็มีอารมณ์ฉุนเฉียว บางคนทิ้งตัวอยู่กับพื้นเหม่อลอยไร้ชีวิตชีวา
หัวข้อการสนทนาของพวกมันหนีไม่พ้นเรื่องของสัตว์ประหลาดตนหนึ่งที่ซึ่งพวกมันไม่เคยนึกฝันว่าจะพบเจอในชีวิตจริงแวมไพร์ปีศาจนั่นเอง
ตอนนี้ส่วนลึกสุดของถ้ํามิได้เงียบสงัดดังเดิม เหล่าผู้รอดชีวิตต่างรวมตัวกันอยู่ตรงนี้ทั้งหมดเพราะเจ้าปีศาจที่พวกมันเคยหวาดกลัวมิได้อยู่ในจุดนี้อีกแล้ว ทําให้พวกมันมิต้องอยู่อย่างหลบซ่อน
“เงียบสักทีได้ไหม!!” เสียงชายคนหนึ่งตวาดลั่น ส่งผลให้ฝูงชนเงียบกริบลงในบัดดล มันคือชายผู้มีระดับสี่ซึ่งมีระดับสูงสุด ตอนนี้มันยืนอยู่ใจกลางวงล้อมเป็นจุดศูนย์กลางของคนทั้งหมด
“โวยวายอยู่ได้น่ารําคาญจริง” ชายร่างท้วมสหายของมันกล่าวเสริม สีหน้าของมันเคร่งเครียดหาใดเปรียบ
ความเงียบมาเยือนได้เพียงครู่เดียวก่อนที่เสียงซุบซิบสนทนาจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
” พวกผู้ชายหาวิธีอะไรสักอย่างสิ” เสียงสตรีนางนึงกล่าวขึ้น
“ใช่ๆ พวกนายออกไปฆ่ามันสิ” เหล่าสตรีเริ่มผสมโรงกล่าวเสริม
“แล้วทําไมเธอไม่ไปเองล่ะ” ชายผู้มีระดับสี่สบถเสียงดัง
“นี่แกจะให้ผู้หญิงไปสู้หรือไง” เสียงอิสตรีเริ่มโหวกเหวกมากขึ้น
“จะชายหรือหญิงก็มีมือเท้าเท่ากันมิใช่รึ หึ” บุรุษเพศก็มีน้อยหน้าต่อล้อต่อเถียง กันเป็นพัลวัน
“ผ-ผมว่าพวกเราหยุดทะเลาะกันก่อนดีไหม” ชายหนุ่มผู้นึ่งกล่าวตะกุกตะกัก มันคือเพื่อหลงชายวัยยี่สิบอีกหนึ่งสหายที่หลินหยางพบเจอในยามมาเยือนส่วนลึกของถ้ํา
น่าเสียดายเสียงของเต๋อหลงถูกกลบด้วยความวุ่นวายของฝูงชน ตอนนี้ประชากรภายในถ้ําถูกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นสองส่วน แต่มิใช่ศึกวาจาระหว่างเพศชายและหญิงไม่ แต่เป็นฝ่ายที่กําลังหาทางต่อกรกับศัตรูและฝ่ายที่เกรงกลัวปีศาจกําลังยุยงผลักดันให้อีกฝ่ายไปเป็นตัวตายตัวแทนต่างหาก
“เห้ย!! พอสักทีได้ไหม” เสียงชายฉกรรจ์แหบแห้งผู้หนึ่งตวาดดังลั่นยุติการโต้เถียงของสองฝ่ายจนเงียบกริบ พร้อมกับดึงความสนใจของฝูงชนมองไปยังปากทางออกส่วนลึกของถ้ํา
ตรงจุดดังกล่าวมีชายฉกรรจ์ร่วมยี่สิบชีวิตกําลังนั่งกระจุกกันอยู่อัดแน่นคอขวดทางเข้าออกทางเดียวของส่วนลึกของถ้ําเอาไว้ พวกมันคือเหล่าชายผู้กล้าที่อาจหาญเป็นฝ่ายบุกเบิกทางหนี้เป็นแนวหน้าเผชิญกับฝูงค้างคาวปีกเหล็กทั้งระดับสี่และหก
น่าเสียดายที่พวกมันไม่มีความกล้ามากพอจะเผชิญหน้ากับปีศาจกินคน สําหรับแวมไพร์ปีศาจที่จําแลงกายในร่างมนุษย์หากใครมิเคยพบเห็นก็คงมิน่าหวาดกลัวสักเท่าไหร่ ทว่าก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการหนีออกจากถ้ํานั้นเจ้าแวมไพร์มิได้ปลอมแปลงร่างกายของตนเลย มันคงสภาพรูปร่างตนเองเป็นแบบฉบับดั้งเดิมเหมาะสําหรับคําว่าปีศาจอย่างแท้จริง
ผู้คนส่วนใหญ่ในที่นี้ล้วนเคยเห็นภาพลักษณ์ก้อนเนื้อยักษ์ขนาดมหึมารับประทานม นุษย์และกึ่งมนุษย์สดๆทั้งเป็นมาแล้วกันทั้งสิ้น มิต้องกล่าวถึงอิสตรี แม้แต่ชายฉกรรจ์เจนโลกเมื่อพบเห็นสัตว์ประหลาดเช่นนั้นก็ล้วนใจฝ่อหมดกําลังใจ
อย่างไรก็ตามตอนนี้ดูเหมือนชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบนายจะเป็นตัวตั้งตัวตีปักหลักปกป้องปากทางเอาไว้ซึ่งจุดประสงค์แท้จริงของพวกมันแล้วหาใช่เตรียมการเพื่อเผชิญหน้ากับแวมไพร์ปีศาจไม่แต่เป็นการสอดแนมดูต้นทางเอาไว้เผื่อกรณีที่เจ้าแวมไพร์ปีศาจกลับมาต่างหาก แต่หากเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้นกลับมาจริงพวกมันก็คงมิสามารถต่อกรได้อยู่ดี ด้วยระดับเฉลี่ยของเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบคนนี้มีเพียงระดับสอง ประสิทธิภาพทางร่างกายของพวกมันจึงแทบจะมิได้แตกต่างไปจากคนธรรมดาเลย
“อ๊ะ! ใช่สิแล้วผู้นําของพวกเจ้าล่ะ” ชายคนหนึ่งกล่าวถามเมื่อมันนึกถึงบางอย่าง เสียงของชายผู้นั้นดึงดูดความสนใจของคนทั้งหมด
“หือ? เจ้าหมายถึงใคร?” หนึ่งในชายฉกรรจ์จากยี่สิบนายกล่าวถาม
“เจ้าหนุ่มคนนั้นไง”
“เจ้าหมายถึงหลินหยาง” หลี่จิ้งกล่าว
“มันจะชื่ออะไรก็ช่าง ตอนนี้มันหายไปไหน?” ชายคนหนึ่งกล่าว จากคํากล่าวของมันส่งผลให้กลุ่มคนที่ยังจดจําใบหน้าของหลินหยางเริ่มหันซ้ายหันขวาควานหาตัวชายหนุ่มในฝูงชน
” ข้าจําได้ว่าเจ้าหนุ่มนั่นรั้งอยู่กับเจ้าสัตว์ประหลาดเป็นคนสุดท้ายมิใช่รี”
” หรือว่ามันหนีเอาตัวรอดไปแล้ว!!”
“เป็นไปไม่ได้ แม้มันจะหนีเจ้าสัตว์ประหลาดไปได้ แต่มันไม่มีทางฝ่าฝูงค้า งคาวนับร้อยนับพันตัวไปได้หรอก”
“หรือมันจะสู้กับเจ้าสัตว์ประหลาดนั้น?” กลุ่มคนเดากันไปต่างๆนาๆ
“สู้อยู่งั้นหรือ? หากมันสู้ได้มันคงไม่มาติดอยู่ในนี้กับพวกเราหรอก” ชายผู้มีระดับสี่กล่าวก่อนหน้านี้มันเคยฝากฝังความหวังทั้งหมดไว้กับหลินหยางเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้เพียงไม่นานนักเมื่อมันคิดถึงความเป็นจริง แน่นอนหลินหยางนั้นเก่งกว่าตัวมันอยู่มากโข แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ ในความเข้าใจของมันคิดว่าหลินหยางสมควรมีระดับอยู่ในช่วงระดับแปดถึงสิบหรือใกล้เคียงแต่คงมิได้มากกว่านี้ไปสักเท่าไหร่
สิ่งที่ทลายความหวังของมันก็คือการที่ชายหนุ่มถูกจับมากักขังรอคอยการเป็นอาหารจานด่วนให้แก่สัตว์ประหลาดแวมไพร์เฉกเช่นเดียวกันกับตน และจากประสบการณ์อันโชกโชนของมันที่ได้รับฟังและประสบพบเจอด้วยตนเองเกี่ยวกับถ้ําปริศนา ย่อมมีข้อมูลสําคัญที่มิว่าใครก็ล่วงรู้ นั่นคือหากราชาแห่งถ้ําได้ตกตายลงถ้ําปริศนาที่อยู่อาศัยก็จักพังทลายลงไปเช่นกันในเมื่อถ้ําแห่งนี้ยังอยู่ดีมีสุขไม่มีสิ่งใดผิดปกตินั่นก็แสดงว่าเจ้าสัตว์ประหลาดกินคนก็ยังคงมีชีวิตอยู่
นั่นเอง
“แต่นี่มันก็ผ่านมากว่าสิบนาทีแล้วมิใช่ว่ามันตกตายไปแล้วหรอกหรือ?” ชายคนนึ่งกล่าว
”” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจากฝูงชน อันเป็นที่เข้าใจตรงกันถึงคําตอบในส่วนลึกของจิตสํานึกพวกมันก็ล้วนแล้วแต่คิดว่าหากชายหนุ่มเลือกเผชิญหน้ากับเจ้าสัตว์ประหลาดย่อมไม่มีทางมีชีวิตรอดกลับมาอย่างแน่นอน
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น หากไอ้หนุ่มนั่นมันตายจริงแล้วเหตุใดเจ้าสัตว์ประหลาดยังไม่กลับมายังส่วนลึกของถ้ํา” ชายคนหนึ่งกล่าวแย้ง
“ใครสักคนลองไปดูมันสิ” เสียงอิสตรีรายนึ่งกล่าวเสนอแนะ ตอนนี้แม้เจ้าสัตว์ประหลาดจะมีได้อยู่ที่นี่แต่ก็ปฏิเสธมิได้ว่าเหล่าผู้รอดชีวิตเหล่านี้ก็มิได้มีสถานการณ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมเลย อาหารและน้ําพวกมันก็ไม่เหลือหลอขึ้นยังอยู่ภายในถ้ําต่อไปหากไม่ตายด้วยเงื้อมมือของสัตว์ประหลาดก็คงทรมานจากการอดอาหารจนตายอย่างแน่นอน
“ใครที่ว่านี้ใครล่ะ?” ชายผู้มีระดับสี่ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นผู้นําของกลุ่มกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกมันล้วนหันศรีษะมองไปยังปากทางออก สายตาพวกมันล้วนจับจ้องยังหมู่ชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบนาย