เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 649
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 649 ร่างปีศาจ
ตั้งแต่ชายหนุ่มกลับมายังส่วนลึกของถ้ําและเริ่มการออกเดินทางครั้งใหม่ใช้เวลาไปร่วมห้านาทีเลยทีเดียวทุกกระบวนการเป็นไปด้วยความล่าช้าอย่างยิ่งอนึ่งเป็นเพราะความหวาดระแวงยังไม่มั่นใจเต็มร้อยของกลุ่มผู้รอดชีวิตพวกมันจึงพึงระวังทุกฝีก้าว
อีกปัจจัยสําคัญก็คือหลินหยางที่พยายามยื้อเวลาให้ได้นานที่สุดเพื่อให้ทีมระยะใกล้และทีมจู่โจมจับกุมฝูงค้างคาวระดับต่ําให้ได้มากที่สุด หากโชคดีเมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางและค้างคาวทั้งหมดถูกรวบจับไปจนหมดสิ้นก็นับว่าทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ผึ้งเขาได้ค้างคาวระดับสี่และ หกนํากลับไปเพิ่มพูนระดับของสมาชิกเพิ่มกําลังรบของพลเมือง ส่วนกลุ่มผู้รอดชีวิตเองก็ได้กลับออกไปโดยไม่จําเป็นต้องปะทะกับฝูงค้างคาวที่กวนใจเช่นกัน มีแต่ได้กับได้กันทั้งสองฝ่าย
บรรยากาศเป็นไปด้วยความอึมครึม
พวกมันใช้เวลาเดินทางกว่าสามถึงสี่นาทีจึงใกล้ถึงจุดที่หลินหยางปะทะกับแวมไพร์ปีศาจ
เมื่อถึงจุดนี้ขบวนทัพเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่พวกมันเห็นนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้ที่รุนแรงอย่างยิ่ง ผนังถ้ําแตกระแหง เศษหินตกระเนระนาดเต็มผืนดิน
“ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้น” มีเสียงจากชายฉกรรจ์รายหนึ่ง
ไม่มีใครล่วงรู้คําตอบนอกจากหลินหยาง และชายหนุ่มก็มิได้ไขข้อข้องใจให้แก่พวกมันแต่อย่างใด ทว่าพวกมันก็มิได้เกิดข้อสงสัยระแคะระคายกับชายหนุ่มเลยเพราะมันไม่คิดว่าเศษหินดินทรายและสภาพแวดล้อมนี้จะเกิดจากการปะทะกันระหว่างชายหนุ่มสภาพร่างกายอ่อนแอและ สัตว์ประหลาดตัวยักษ์ในความทรงจํา
“เหวอ” ชายผู้มีระดับสี่ที่เป็นผู้นําขบวนเดินนําหน้าผู้รอดชีวิตจู่ๆมันก็ร้องเสียงหลงพร้อมกับเสียหลักถอยหลังล้มลงนั่งกับพื้นด้วยใบหน้าแตกตื่นตกใจ
“ม-มีอะไร” เหล่าชายฉกรรจ์กล่าวถามเป็นเสียงเดียวกันพร้อมกับเกร็งมือถืออาวุธแน่น
ขบวนทัพหยุดชะงักอัตโนมัติไม่มีการเคลื่อนไหว พวกมันล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นในฉับพลัน
“เห้ย! พวกแกหยุดทําไม” มีเสียงเอะอะโวยวายมาจากท้ายแถว พวกมันไม่พอใจยิ่งที่การเคลื่อนที่เป็นไปอย่างล่าช้าแถมตอนนี้ยังมาหยุดชะงักเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์
“ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น” เต่อหลงและหลี่จึงกล่าวขึ้นเป็นเสียงเดียว
หลินหยางมีใบหน้าจริงจังเพราะคิดว่าขบวนทัพดูเหมือนจะพบเจอปัญหาบางอย่าง แต่ไม่นานนักชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาได้ว่าปัญหาที่พวกมันเผชิญอยู่นั้นคือสิ่งใด
“ต-ตรงนั้น” มันชี้มือไปด้านหน้าด้วยสีหน้าซีดเซียวสั่นกลัว
“อะไรวะ” ชายฉกรรจ์รายหนึ่งอึดฮัดขัดใจชวนอารมณ์เสียของชายผู้มีระดับสี่ที่มิกล่าวอธิบายรายละเอียด มันเดินแยกออกมาเพียงลําพังด้วยใบหน้าขึงขังองอาจแสดงความกล้าหาญเหนือผู้ใด มันแสยะยิ้มปรายตาชายผู้มีระดับสี่ที่กําลังนั่งหมดสภาพน้ําเบ้าอยู่บนพื้น ในสายตาของผู้คนนั้นเห็นแผ่นหลังของมันยึดตรงเดินปรี่ไปได้สักสองถึงสามก้าวก่อนที่ตัวมันจะหยุดชะงักแข็งค้างอยู่กับที่
สภาพของมันก็มิต่างจากชายผู้มีระดับสี่นักแถมอาการมันดูจะเป็นหนักกว่าเสียอีก ขาทั้งสองข้างของมันสั่นราวกับเกิดแผ่นดินไหว มันล้มตึงหงายหลังหันตัวคลานกลับเข้ามารวมกลุ่มอย่างทุลักทุเล
“ป-ปีศาจ!!” มันละลําละลักกล่าวติดขัด
ปีศาจ เพียงแค่คําเดียวพวกมันล้วนเข้าใจในความหมายทันที
” หม?” จู่ๆชายผู้มีระดับสี่ก็หยุดอาการที่เป็นอยู่ ใบหน้าของมันราวกับกําลังนึกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ มันดีดตัวลุกขึ้นยืนทันทีทันใดเดินตรงปรี่เข้าหาเจ้าปีศาจ
“เอ็งจะไปไหน”
“ระวัง!” เสียงเหล่าชายฉกรรจ์ร้องห้ามปรามแต่ก็มิเป็นผล ชายผู้มีระดับสีไม่ฟังเสียดทัดทานเดินหายลับไปในความมืด
ไม่นานนักก็มีเสียงหัวร่อดังสนั่นพร้อมกับชายผู้มีระดับสี่ค่อยๆเดินกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า มันยักคิ้วให้สัญญาณแก่ชายร่างท้วมสหายรัก ก่อนที่ชายร่างท้วมจะเดินต้วมเตี้ยมหายไปในความมืดและกลับมาด้วยใบหน้าแห่งความสุขไม่ต่างจากสหายของตน
“อย่างที่พวกเจ้าคิดนั่นแหละ ข้างหน้านี้ก็คือสัตว์ประหลาดตนนั้น แต่พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเพราะปีศาจตนนี้มันสิ้นฤทธิ์โดยสมบูรณ์แล้ว” ชายผู้มีระดับสี่กล่าว
“ถ้าอย่างงั้นพวกเราฆ่ามันเลยไหม” ชายฉกรรจ์รายหนึ่งกล่าวพลางจับอาวุธกระดูกมั่น
“ไม่! มันยังไม่ถึงเวลา” ชายร่างท้วมกล่าว
“พวกเจ้าอาจจะยังไม่ทราบว่าถ้ําปริศนาทั้งหลายล้วนเชื่อมโยงจิตวิญญาณกับผู้ปกครอง หากสัตว์ประหลาดที่มีระดับสูงสุดนายเหนือหัวแห่งถ้ํานั้นสิ้นชีวิตลง ถ้ําที่มันใช้เป็นที่อยู่อาศัยก็พังทลายลงตามไปเช่นกัน” ชายผู้มีระดับสี่กล่าวต่อ
เหล่าผู้รอดชีวิตผงกหัวรับข้อมูลใหม่ เรื่องราวเหล่านี้พวกมันล้วนไม่ทราบกันเลยเพราะส่วนใหญ่แล้วพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่พึ่งข้ามผ่านประตูสวรรค์มาได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น
“แล้วจะทํายังไงกับมัน” ชายคนนึ่งกล่าวถามด้วยความสงสัย
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเดี๋ยวพวกข้าจัดการเอง” ชายผู้มีระดับสี่และชายร่างท้วมยืดอกอย่างผ่าเผยพร้อมกับกล่าววาจาราวกับเป็นผู้แบกรับภาระอยู่เพียงผู้เดียว
ในสายตาของผู้รอดชีวิตทั้งหลายบัดนี้พวกมันทั้งสองเป็นตัวตนดั่งพระผู้เป็นเจ้าที่เสียสละตนยอมลําบากเพื่อให้พวกมันได้รอดชีวิต
ทว่าในจิตใจพวกมันหาได้ใสซื่อบริสุทธิ์เช่นนั้นไม่ เสียสละงั้นหรือ? สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีในจิตสํานึกแม้แต่น้อย สิ่งที่มันต้องการก็คือค่าระดับจากการปลิดชีวิตปีศาจแวมไพร์ตนนี้ต่างหาก!
สัตว์ประหลาดตัวยักษ์ที่พวกมันไม่เคยพบเจอ แค่ขนาดตัวอันมโหฬารก็ข่มขวัญคู่ต่อสู้จนเตลิดเพียงแค่พบเห็น ไม่ต้องกล่าวถึงระดับที่ปีศาจตนนี้ครอบครองอยู่ พวกมันทั้งสองที่ไม่มีทักษะในการตรวจสอบล้วนได้แต่จิตนาการไปต่างๆนาๆ แต่อย่างน้อยก็ย่อมไม่ต่ํากว่าระดับยี่สิบสามสิบอย่างแน่นอน
ต้นเหตุหลักที่ทําให้พวกมันมาติดแหง็กอยู่ในถ้ํามืดมิดราวกับขุมนรกนี้ก็มาจากความโลภของตนที่หวังจะได้รับค่าระดับ เงินทองและทักษะที่ราคาแสนแพง ซึ่งในความตั้งใจเดิมของพวกมันนั้นแค่หวังจะกอบโกยสิ่งเหล่านี้จากฝูงค้างคาวระดับต่ำ ทั้งก่อนหน้านี้ก็ทําได้เพียงแค่เผชิญหน้ากับกลุ่มสัตว์ประหลาดระดับต่ํารวบรวมเงินที่ละเล็กละน้อย
แต่ตอนนี้ด้านหน้าของพวกมันห่างออกไปไม่ถึงสองเมตรมีร่างของผู้ปกครองแห่งถ้ําค้างคาวกําลังอยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ตายพิงผนังถ้ําอยู่ เหยื่ออันแสนโอชะที่เคยทําได้เพียงแค่คิดฝัน บัดนี้มาอยู่ต่อหน้าพวกมันทั้งคู่แถมยังอยู่ในสภาพอ่อนแอพร้อมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
ค่าระดับหลังสังหารจะเพิ่มพูนยกระดับของตนขึ้นอีกกี่ขั้น? เหรียญเงินสีดําที่โหยหาจะได้มากมายเท่าใด? หนังสือทักษะวิทยายุทธ์อันแสนพิศวงจากสิ่งมีชีวิตระดับสูงแค่คิดพวกมันก็แทบหุบยิ้มไม่อยู่เลยทีเดียว
ทางด้านหลินหยางแม้ไม่ได้ยินเสียงชัดเจน อ่านปากมิคล่องแคล่ว แต่ก็พอคาดเดาความต้องการและจุดประสงค์ของพวกมันทั้งสองได้อย่างแจ่มชัด
คิดจะฉกฉวยงั้นหรือ? หลินหยางย่อมไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรค่าระดับที่หลินหยางจะได้จากตัวแวมไพร์ปีศาจนั้นย่อมมีกว่าเก้าในสิบส่วนเพราะเขาเป็นผู้ทําร้ายสร้างบาดแผลบนร่างของมันทั้งหมดด้วยตนเอง แต่ที่เหลืออีกหนึ่งส่วนสิบนั้นก็คือพลังชีวิตอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ของเจ้าแวมไพร์ตนนี้ที่หลินหยางเลี้ยงเอาไว้เพื่อให้มันคงสภาพของถ้ําปิศาจมิให้บุบสลาย
และด้วยตัวตนของปีศาจแวมไพร์ที่มีระดับมากกว่าสี่สิบ แม้จะเป็นเศษเสี้ยวพลังชีวิตของมันก็ย่อมให้ค่าระดับที่มากโขอยู่ไม่น้อย รวมถึงเหรียญทมิฬเงินตราสําหรับแลกเปลี่ยนของมีค่า และหนังสือทักษะที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ มีหรือที่เขาจะปล่อยให้คู่หุนายทหารทั้งสองผู้ไม่เกี่ยวข้องฉกขโมยไปอย่างมือเติบโดยที่มิได้ร่วมออกแรง?
“เต๋อหลง พี่หลี่ พวกคุณสองคนล่วงหน้าออกไปก่อน” หลินหยางกระซิบกระซาบบางเบา
“แล้วพี่หยางล่ะ?” เต่อหลงกล่าวด้วยความสับสน ใบหน้าของมันแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย เพราะสภาพหลินหยางในตอนนี้การจะเดินด้วยตัวเองยังเป็นเรื่องลําบากสําหรับชายหนุ่ม
“ไม่ต้องห่วงผม” หลินหยางกล่าวพลางดึงสองแขนที่พาดคอซ้ายขวาของเต่อหลงและหลี่จิ้งกลับมาพลางยืดตัวยืนตรงบิดคอหมุนวนยืดเส้นยืดสายอย่างกระฉับกระเฉง พร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้าย เจ้าเล่ห์ประดับบนใบหน้า