เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 670
ตอนที่ 670 หอโอสถ
“ฮีม เจ้าแก่บัดซบ!” องค์ชายรองพ่นคําสบถมองชายบินไปไกล เสียงของมันมิได้เบาเลย เหล่าทหารและเวรยามที่ประจําจุดหน้าประตูเมืองล้วนได้ยินทั้งสิ้น
เด็กชายตัวน้อยทั้งสองรายที่ยืนอยู่พวกมันยังได้ยินคํากร่นด่าขององค์ชายรองที่มุ่งเป้าไปยังปูของตนเต็มสองหู แต่พวกมันมิสามารถตอบโต้ได้รวมทั้งยังต้องโค้งคํานับมันก่อนจากลาวิ่งต้อยๆตามทิศทางที่ปูของตนมุ่งหน้าไป
เส้นทางที่ชายชราบินผ่านสามารถมองเห็นพื้นที่โดยรอบได้อย่างชัดเจน มีตึกรามบ้านช่องใหญ่โตโอ่อ่าที่สร้างขึ้นจากไม้นับหมื่นหรืออาจจะมากถึงแสนหลังคาเรือนปลูกสร้างเป็นระเบียบ แถวเว้นช่องเดินทางสวยงามสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าเรียงรายพื้นถนนหนทางเดินเห็นผู้คนพลุกพล่านใครก็ตามที่แหงนคอมองท้องฟ้าเมื่อมันเห็นชายชราบินผ่านล้วนโค้งคํานับแสดงถึงความเคารพสุดแสน
ณ หอโอสถ
“ไม่ทราบว่ามันคือ…” ชายชราใบหน้าคงแก่เรียนหนวดผมหงอกขาวสวมเสื้อผ้าขาวสะอาดตากล่าวสอบถามเกี่ยวกับผู้บาดเจ็บที่ชายวัยกลางคนร่างมาให้รักษา
“มันเป็นใครมาจากไหนข้าเองก็มิทราบ” ชายวัยกลางคนกล่าวพลางสายหัว
” สาหัสอยู่ไม่น้อย” ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพียงแค่บาดแผลภายนอกที่สามารถมองด้วยตาเปล่าก็สามารถทราบถึงความหนักเบาของอาการ ชายชรานําร่างของมันวางไว้บนเตียงพลางตรวจดูบาดแผลทั้งหมด ตรวจจับชีพจร สีหน้าของชายชราแสดงสีหน้าเรียบเฉย แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายนาที ยิ่งมาสีหน้าของมันยิ่งตื่นตระหนก มันมองบาดแผลกับสีหน้าของผู้บาดเจ็บไปมาด้วยดวงตาเบิกกว้างมากขึ้นแทบถลน
“ทําไมชีพจรของมัน….!?” ชายชราบ่นพึมพํากับตนเองเป็นน้ําเสียงที่ผู้อื่นฟังมิได้ศัพท์
“เทพโอสถ.” ชายวัยกลางคนกล่าวเมื่อเห็นว่าชายชราผมขาวตกอยู่ในภวังค์จดจ่อกับผู้บาดเจ็บอยู่นานหลายนาทีจนคล้ายกับจะลืมไปแล้วว่าตัวก็อยู่ตรงนี้ด้วย
“ให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด” ชายชราดึงสติกลับหันมาสนทนากับชายวัยกลางคน
“เทพโอสถ ข้าคงต้องรบกวนท่านแล้ว” ชายวัยกลางคนกล่าวพลางโค้งคํานับก่อนจะกางปีกโบยบินห่างไปไกลในทิศทางเดียวกันกับบิดาของตน
“ข้าจะรักษาผู้ป่วย ห้ามให้มันผู้ใดรบกวนเด็ดขาด” เมื่อชายวัยกลางคนหายลับไปจากสายตาชายชราผู้เป็นเจ้าของสมญานามเทพโอสถออกคําสั่งแก่บริวารข้ารับใช้ชายหญิง หันกายสบัดเสื้อคลุมเดินหายเข้าไปในหอโอสถทันที
ห้องนึงภายในหอโอสถ
ชายชรานั่งอยู่ข้างเตียงภายในมือถือผ้าสะอาดชุบเปียกกําลังชําระล้างบาดแผลให้แก่ผู้บาด จ็บข้างกายของมันมีอุปกรณ์ทางการแพทย์กองพะเนินเทินทึก ทั้งเข็ม ผ้า มีด กรรไกร ยาขวด เล็กอีกหลายสิบขวดและสมุนไพรแปลกตาอีกหลายสิบชนิด
หลังจากมันเช็ดทําความสะอาดร่างกายผู้บาดเจ็บจนสะอาดเอี่ยมอ่อง เผยให้เห็นผิวกายหยาบกร้านเล็กน้อยบ่งบอกถึงสภาพผิวหนังที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วงเกินกว่าภาพลักษณ์ช่วงอายุวัยหนุ่ม
หมับ
มันใช้สองนิ้วจับข้อมือผู้บาดเจ็บตรวจชีพจรอีกครั้งในครานี้มันใช้เวลากว่านานก่อนจะดึงมือกลับ
“ชีพจรของเจ้านี่มันเหมือนกับเผ่าเทพ!” ชายชราบ่นพึมพํากับตนเอง
“ไม่สิ บางจังหวะคล้ายกับมนุษย์ บางครั้งเหมือนกับปีศาจ บางช่วงเสมือนสัตว์อสูร” ชายชราครุ่นคิดหาคําตอบ
ฟืดดด
มันถูกปลุกด้วยเสียงลมหายใจติดขัดของผู้บาดเจ็บ มันจึงกลับมาทําหน้าที่ของตนตามที่ได้รับมอบหมาย
มันตรวจดูสภาพร่างกายอย่างระเอียดและตัดสินใจลงมือรักษาบาดแผลบริเวณทรวงอกที่เป็นบาดแผลฉกรรจ์เป็นอันดับแรก
มันผายมือทั้งสองข้างเหนือทรวงอกของชายหนุ่มก่อนจะสูดหายใจลึกหลับตารวบรวมสมาธิ
ฟวับ
ฟุบ
ฉับพลันนั้นเองมือทั้งสองข้างของมันพร่าเลือนลางราวกับภูติผี มือของมันมิได้หายไปไหนเพียงแต่มันเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาด้วยความรวดเร็วสูงจนไม่สามารถมองทันตามการเคลื่อนไหว
เวลาผ่านไปมถึงนาทีกระดูกซี่โครงที่แตกหักและมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากการสูญเสียผิวหนังที่ปิดบังของชายหนุ่มถูกเชื่อมต่อติดกันอีกครั้ง มันใช้เวลาเพียงนาที่เดียวเท่านั้นในการเชื่อม กระดูกของเขา!
เมื่อรักษากระดูกเสร็จสิ้นมันหาได้หยุดพักไม่
มันผายมือทั้งสองข้างออก เข็มเล่มยาวเกือบคืบที่อยู่ห่างออกไปเกินเอื้อมลอยเข้ามาภายในอุ้งมือมันราวกับกําลังเล่นมายากล
ฉึก
มันปักเข็มเล่นนั้นแทงผ่านช่องว่างซี่โครงเจาะลงบนปอดลึกจนเกือบมิดด้าม
อ่อก
ผู้บาดเจ็บสํารอกเอาโลหิตสีดําที่คั่งอยู่ภายในปอดระบายของเสียออกทางปากและจมูกโดยที่ตัวมันยังมิได้สติ
จํานวนของเข็มเพิ่มขึ้นราวกับเลขยกกําลังปักลงในอวัยวะภายในส่วนสําคัญ หัวใจ ตับ ไตม้ามทั้งจุดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากผิวหนังเปิดและมองมิเห็น ไม่ว่ามือมันจะเคลื่อนผ่านไปทางใด อวัยวะส่วนไหนที่ได้รับความเสียหายแม้แต่เส้นเลือดบางจุดที่ฉีกขาดก็ล้วนถูกต่อกลับมาเป็นปกติได้อย่างอัศจรรย์
เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ชิ้นส่วนผิวหนังตายถูกกําจัดทิ้งจนสิ้น บนร่างผู้บาดเจ็บมี เข็มนับร้อยเล่มฝังอยู่บัดนี้มันคล้ายกับเม่นมากกว่าคนเสียอีก
มือของมันเคลื่อนไหวไม่มีทีท่าจะช้าลงมีแต่จะเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มต้นการรักษาดวงตาของมันแทบไม่กระพริบ
เทพโอสถงั้นหรือ? สมญานามนี้คงจะน้อยไปสําหรับมัน
ณ ห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง
ห้องโถงแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตกว้างขวางอย่างยิ่ง พื้นที่ทางเดินจนถึงส่วนปลายกว้างกว่าห้าสิบเมตรและมีความยาวมากกว่าร้อยเมตร ตามรายทางมีทหารยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบทั้งสองข้างทางพร้อมเครื่องแต่งกายเต็มยศพร้อมออกศึก พวกมันทั้งสองฝั่งหันหน้าเข้าหากันยืนนิ่งเงียบไม่ไหวติงราวกับรูปปั้นแกะสลัก
ส่วนของทางเข้าเปิดโล่งมิมีประตูขวางกั้นสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ มีบริวารข้ารับใช้ชายหญิงนับสิบยืนเรียงราย
ปลายสุดของห้องโถงมีชายผู้หนึ่งประทับอยู่บนบัลลังค์ที่นั่งขนาดใหญ่ มันผู้นี้อยู่ในช่วงอายุราวสี่สิบถึงห้าสิบปีร่างกายกํายํามีมัดกล้ามรูปลักษณ์องอาจผ่าเผย สวมใส่ชุดคลุมสีดําตัดทองตั้งแต่หัวจรดเท้าแผ่ออร่าน่าเคารพยําเกรง มันผู้นี้คือบุคคลที่ทุกคนใช้คําแทนนามของมันว่าฝ่าบาท!
ตึบๆๆ
ห้องโถงอันเงียบสงัดมีเสียงกระทืบเท้าบางเบาอย่างต่อเนื่อง เสียงนี้เกิดขึ้นมาได้สักพักแล้วโดยต้นตอของเสียงดังกล่าวก็มาจากชายผู้นี้นั่นแล ขาสองข้างมันสั่นเทาแสดงถึงความร้อนรนหัวคิ้วมันขมวดกันแน่นใบหน้าเคร่งเครียดบ่งบอกถึงความกังวลในจิตใจ
” ท่านพ่อออ” เด็กสาวตัวน้อยส่งเสียงร้องมาแต่ไกลก่อนที่จะปรากฏตัวบริเวณทางเข้าห้องโถงนางวิ่งผ่านเหล่าทหารมุ่งตรงเข้าหาบัลลังค์
“อันเอ๋อร์” ชายผู้ร้อนใจเมื่อได้ยินเสียงเด็กสาวราวกับได้รับฟังเสียงสวรรค์ มันกระโจนตัวลุกจากที่นั่งอย่างฉับพลันสีหน้าปิติยินดีมีความสุขอย่างยิ่ง
เด็กสาวโผเข้าสู่อ้อมกอดของผู้ที่ตนเรียกว่าบิดา
ตามหลังเด็กสาวตัวน้อยชายชราก้าวเข้าสู่ห้องโถงพร้อมกับบุตรชาย ชายวัยกลางคนไปที่ส่งผู้บาดเจ็บถึงมือเทพโอสถและกลับมาสมทบกับบิดาได้อย่างทันท่วงที ด้านหลังตามมาด้วยเด็กชายตัวน้อยทั้งสองผู้เป็นสหายร่วมเดินทางกับเด็กสาว
” ท่านอารอง” ชายผู้ที่ทุกคนเรียกว่าฝ่าบาทมันผงกหัวแสดงความเคารพต่อชายชรา
“น้องสามลําบากเจ้าแล้ว” มันกล่าวกับชายวัยกลางคน น้ําเสียงที่มันกล่าวกับชราแฝงไปด้วยนอบน้อมส่วนสาหรับชายวัยกลางคนน้ําเสียงของมันเต็มไปด้วยความใกล้ชิดมถือตัวแสดงถึงความสนิทสนมของทั้งสองฝ่าย
“พี่ใหญ่ นั่นคือสิ่งที่ข้าสมควรทํา” ชายวัยกลางคนตอบกลับใบหน้าแย้มยิ้ม
“องค์ชายรอง” บริเวณทางเข้าห้องโถงมีเสียงข้าราชบริวารเรียกขานชื่อผู้มาเยือน มันคือองค์ชายรองผู้แต่งองค์ทรงเครื่องสวยหรู มันใช้เวลาร่วมสิบกว่านาที่จึงจะมาถึงด้วยราชรถคันงามของมัน มิใช่เพราะพาหนะของมันเชื่องช้าแต่เป็นเพราะตําแหน่งที่ตั้งที่ของห้องโถงนี้อยู่ในกลางเมืองซึ่งนับว่าไกลจากประตูเมืองที่พวกมันพบกันในคราแรกอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
” ท่านพ่อ” องค์ชายรองผู้นี้เร่งร้อนกึ่งวิ่งกึ่งเดินก่อนจะมาหยุดอยู่ต่อหน้าบิดาของตน แต่สายตาของมันนั้นหาได้สนใจผู้อื่นไม่ ดวงตาจับจ้องแต่หญิงสาวตัวน้อยเบื้องหน้าไม่ลดละ การแสดงออกของมันต่อสาวน้อยดูเหมือนจะมากเกินกว่าความเป็นห่วงที่พี่ชายมีต่อน้องสาวบุคคลสําคัญที่อยู่ที่นี่ล้วนมิโง่งมจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะไม่สังเกตุเห็น