เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 679
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 679 ตกอยู่ในวงล้อม
“!?” เสียงปริศนาค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับจุดด่างพร้อยที่ปรากฏขึ้นใจกลางจันทราบดบังแสงสว่างที่ส่องลงมา จุดด่างก็ใหญ่ขึ้นทีละน้อยประจวบเหมาะกับเสียงปริศนา
ทั้งสิบแหงนศรีษะมองด้วยสีหน้าที่แสดงออกคล้ายคลึงกันนั่นคือสับสนมึนงง สิ่งที่พวกมันเห็นคืออะไรกัน? มันกำลังบินอยู่บนฟ้าเผ่าปีศาจ? มิใช่เพราะจากทิศทางแล้วมันมาจากแดนอสูรที่อยู่อาศัยของศัตรูมากกว่า แถมเสียงที่ปริศนาที่พุ่งฝ่าอากาศของสิ่งนั้นมันรุนแรงเกินไปบ่งบอกถึงความเร็วที่เหนือจินตนาการแม้จะเป็นเผ่าปีศาจ ร่างกายของพวกมันคงจะแหลกเหลวไปเสียก่อนที่จะมีความเร็วสูงใกล้เคียงดังภาพที่เห็น
เพียงกระพริบตาไม่กี่ครา สิ่งปริศนาที่มีขนาดใหญ่จนกินพื้นที่หนึ่งในสามของดวงจันทร์ไปเสียแล้ว นั่นเป็นจุดที่บ่งบอกว่ามันกำลังมุ่งจะถึงพวกมันอยู่รอมร่อ!
เห็นเช่นนั้นพวกมันเริ่มกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข หนึ่งในสมาชิกหันซ้ายหันขวามองไปยังผู้ร่วมชะตากรรมพยายามหาทางออกร่วมกัน แต่น่าเสียดายที่สหายของมันก็มีปฏิกิริยาไม่แตกต่างกันนักตอนนี้สายตาของสมาชิกทั้งเก้าจึงบรรจบเป็นจุดเดียวนั่นก็คือหัวหน้าหน่วยผู้มากประสบการณ์มันหวังว่าบางทีผู้นำของตนอาจจะเคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
ผู้นำหน่วยสอดแนมหาได้วอกแวกไม่ สายตามันจับจ้องสิ่งปริศนาพยายามเพิ่มการมองเห็นให้กว้างไกลถึงขีดสุด ค้นหาห้วงความคิดคาดคะเนถึงสิ่งแปลกปลอมในความรู้ชั่วชีวิตของตน
ตอนนี้พวกมันทั้งสิบถูกดึงดูดความสนใจโดยสิ่งปริศนาจนมิได้สังเกตุเลยว่าศัตรูของพวกมันมีได้อยู่ในตำแหน่งเดิมแล้ว
หมาป่าสีเงินสามหัวปลีกตัวออกไปไกลกว่ายี่สิบเมตรจนมองเห็นเพียงเงาดำมืดกลมกลืนกับป่าทึบ ข้างจุดที่มันอยู่มีเงาครุมเครืออีกหนึ่งร่างอยู่ใกล้เคียง เจ้าของเงาปริศนานี้คือผู้ที่สมาชิกหน่วยสอดแนมเข้าใจผิดคิดว่าเป็นกำลังเสริมพันธมิตร ทั้งสองอยู่ใกล้ไม่แสดงทีท่าปฏิปักษ์ต่อกันแต่อย่างใด ตอนนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าผู้มาเยือนคือกำลังเสริม..แต่เป็นกำลังเสริมของเผ่าอสูร!!
ภาพเงาของพวกมันทั้งสองตนแหงนขึ้นมองฟ้า ในสายตาของพวกมันทั้งคู่เห็นภาพเดียวกับหน่วยสอดแนมทั้งสิบซึ่งในตอนนี้สิ่งปริศนาที่ลอยมาแต่ไกลได้ขยายใหญ่ขึ้นจนบดบังแสงจันทร์ราวกับกลืนจันทราทั้งดวงจนหายวับกลายเป็นค่ำคืนอันมืดมิดโดยสมบูรณ์
ดูจากปฏิกิริยาของสัตว์อสูรคู่นี้แล้วคล้ายกับพวกมันกำลังรอคอยสิ่งปริศนานี้อยู่ก็มิปานเสมือนว่าพวกมันรู้ต้นตอของสิ่งปริศนา
เหงื่อเย็นไหลอาบชโลมร่างหน่วยสอดแนมทั้งสิบตั้งแต่หัวจรดเท้าใบหน้าซีดขาวเป็นไก่ต้มเมื่อคิดคำนวนถึงจุดตกกระทบของสิ่งปริศนาโดยกะจากสายตา…มันคือจุดที่พวกมันยืนอยู่!
ฟุ่บ
หน่วยสอดแนมทั้งสิบหันมองกันชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจโดยมิต้องปรึกษาทางคำพูด บริเวณที่พวกมันอยู่เกิดเสียงบางเบาพร้อมกับร่างทั้งสิบหายวับเหลือไว้เพียงพื้นที่ว่างเปล่า
ตู้มมมม
เพียงไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นตำแหน่งดังกล่าวเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมผืนดินสั่นสะเทือนโอนเอนราวกับเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ฝุ่นควันโขมงตลบอบอวลคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่ร่วมร้อยเมตรสัตว์ป่าเล็กใหญ่ส่งเสียงร้องประสานแตกฮือหนีเตลิด
เสียงและผลกระทบกระจายเป็นวงกว้าง แม้ผู้ที่อยู่ไกลหลายสิบกิโลเมรตยังสามารถรับรู้รวมถึงเมืองหลวงปีศาจที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือก็ย่อมต้องมองเห็นและได้ยินถึงสิ่งนี้เช่นกัน
หลังสิ้นแรงสั่นสะเทือน รอบบริเวณกลับสู่สภาพปกติ ยกเว้นฝุ่นควันโขมงที่บดบังสายตาส่วนใหญ่
ตุบ
ห่างจากตำแหน่งตกกระทบของสิ่งปริศนาไม่ไกล ผู้นำหน่วยสอดแนมกระโจนตัวลงมาจากต้นไม้ใหญ่ ตัวมันหลบหนีสิ่งแปลกปลอมโดยสัญชาติญาณปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใช้เป็นที่หลบภัยชั่วคราวมองไปยังต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ดูแข็งแรงทนทานใกล้เคียง ด้านบนก็มีเหล่าสมาชิกหน่วยสอดแนมทั้งเก้าคนเลือกสรรค์ประจำอยู่ด้านบนแต่ละต้น
สีหน้าพวกมันบัดนี้ซีดขาวเป็นไก่ต้มแขนขาสั่นจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เมื่อพวกมองเห็นหัวหน้าหน่วยยืนอยู่บนพื้นเบื้องล่าง พวกมันจึงทยอยกันลงสู่ภาคพื้นดินรวมกลุ่มอีกครั้ง
” ท่านหัวหน้า นั่นมันคืออะไร” สมาชิกรายหนึ่งไปยังควันโขมงกล่าวถามผู้บังคับบัญชา
ผู้นำหน่วยส่ายหัวแทนคำตอบ มันก็มิทราบเช่นเดียวกัน
” พวกเราถอยกันก่อน” มันกล่าวต่อ
ซึ่งในตอนนี้เหล่าสมาชิกทั้งหลายไม่มีข้อโต้แย้งใดๆอีกต่อไป พวกมันพยักหน้ารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว
” ตามมา” ผู้นำหน่วยกล่าวหมุนกายตระเตรียมมุ่งหน้ากลับเมืองโดยทันทีทิ้งสิ่งปริศนาที่ตกลงมาจากฟากฟ้าไว้เบื้องหลัง ทว่า
ยังมิทันได้ก้าวเท้าออกตัวลี้ภัย พวกมันทั้งสิบก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่ด้วยดวงตาเบิกโพลงตกตะลึงกับภาพที่เห็น มีเงาตะคุ้มโครงร่างของสัตว์อสูรนับสิบดักเส้นทางเอาไว้
ใกล้สุดมองเห็นร่างของหมาป่าขนเงินสามหัวค่อยๆเดินออกมาจากความมืดปรากฏกายประจัญหน้ากับพวกมันยืนขวางกลางขบวน
กรร!!
มันส่งเสียงขู่คำรามอย่างดุร้าย
ถัดไปด้านหลังของหมาป่าสามหัวมีโครงร่างเลือนรางของสิ่งมีชีวิตสองถึงสามตัวกำลังเคลื่อนไหวไปมา มองดูพวกมันพอจำแนกได้ว่าเป็นสัตว์สี่ขาที่มีขนาดร่างกายพอๆกับหมาป่าสามหัว บางทีอาจเป็นสายพันธุ์สุนัขเช่นกัน หรือเป็นอื่นไม่แน่ชัด
มองกวาดไกลออกไปซ้ายขวาพบสัตว์สัตว์อสูรที่ไม่ทราบสายพันธุ์เนื่องจากความมืดอีกหลายตัว เรียกได้ว่าตอนนี้พวกมันโดนล้อมเอาไว้หมดแล้ว!!
“ถ-ถอย” ผู้นำหน่วยกล่าวตะกุกตะกัก นี่เป็นครั้งแรกที่มันเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรมากขนาดนี้
แต่มันจะถอยไหนล่ะในเมื่อเส้นทางไปมุ่งหน้ากลับเมืองถูกขวางกั้นด้วยสัตว์อสูรนับสิบ มันจะฝ่าไปงั้นหรือ? เป็นไปได้ยากยิ่ง สัตว์อสูรเบื้องหน้าได้วางกำลังโอบล้อมพวกมันเป็นแนวครึ่งวงกลมโดยกระจายตัวออกเป็นวงกว้าง เรียกได้ว่าไม่มีช่องโหว่ที่จะหลุดรอดสายตาของพวกมันตัวใดตัวหนึ่งให้หนีออกไปได้เลย
ฉะนั้นการถอยในที่นี้คือถอยออกให้ห่างจากฝูงสัตว์อสูรเหล่านี้ ซึ่งก็เหลือเพียงทิศทางเดียวนั่นก็คือทางใต้ของปาอสูร และนั่นเท่ากับว่าพวกมันต้องเดินหน้าลึกเข้าไปใกล้ถิ่นของเผ่าอสูรแถมทิศทางดังกล่าวยังมีสิ่งปริศนาที่พุ่งชนพื้นดินจนส่งฝุ่นดินคละคลุ้งที่มันไม่อยากจะเข้าใกล้อีกต่างหาก
ถึงจะเป็นเส้นทางที่มิอยากเดิน แต่ดูจากรูปการณ์แล้วนี่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้พวกมันเองก็ไม่มีทางเลือกมากนักเสียด้วย
ทั้งสิบจ้องตากับสุนัขสามหัวพลางเดินถอยหลังอย่างเชื่องช้าเก้ๆกังๆมนุ่มบ่าม จนกระทั่งเข้าใกล้จุดที่ฝุ่นควันหนาแน่นที่สุด ซึ่งตอนนี้จากแรงลมตามธรรมชาติได้พัดพาฝุ่นทั้งหลายไปตามอากาศส่งผลให้จุดนี้เริ่มเบาบางลงจนสามารถมองเห็นได้เลือนรางบ้างแล้ว
ครึกก
ในกลุ่มควันมีเสียงบางอย่างเกิดขึ้น ดึงความสนใจของหน่วยสอดแนมที่กำลังตกอยู่ในความผวาหวาดกลัวหันควับมองไปยังจุดดังกล่าวด้วยความตื่นตัว
ในหมอกควันกลุ่มนี้พวกมันมองเห็นเงาบางอย่างที่มีขนาดใหญ่ทรงครึ่งวงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าสองถึงสามเมตรเทียบเท่ากับบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งเลยทีเดียว เมื่อดูจากรูปทรงคร่าวๆพอจะอนุมานได้ว่ามันคล้ายคลึงกับหินก้อนยักษ์
สมาชิกทั้งเก้าหันมองไปยังหัวหน้าหน่วยด้วยความหวาดระแวง
หัวหน้าหน่วยสีหน้าหวั่นวิตกรีบควบคุมอารมณ์โดยพลัน ตอนนี้มันคือที่พึ่งเดียวของสมาชิกหน่วย มันดึงมีดสั้นอาวุธลับคู่ใจออกมาถือไว้ในมือพร้อมกับปาออกไปตรงใจกลางต้นกำเนิดเสียง
ฉึก
ฮูววววว
จังหวะที่มีดสั้นทะลุฝ่ากำแพงฝุ่นจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตา บังเกิดเสียงคล้ายกับตัวมีดที่ถูกปาไปปักเข้ากับบางสิ่ง พร้อมกันนั้นเองใจกลางฝุ่นคลุ้งมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น เสียงนี้ทรงพลังอย่างยิ่งส่งผลให้ผู้ที่ได้ยินอกสั่นขวัญแขวน ด้วยพลังเสียงของมันพัดปัดเป่าฝุ่นตลบกระจายเป็นวงกว้างเผยให้เห็นสิ่งที่หน่วยสอดแนมทั้งสิบต่างสงสัยประจักษ์ต่อสายตา
มันมิใช่ก้อนหิน แต่เป็นสิ่งมีชีวิต!