เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 687
เทพอสูรสยบโลกา ตอนที่ 687 ธาตุทั้งสี่
ตั้งง
กองทัพสีฟ้านี้หยุดเคลื่อนที่เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้กําแพงเมืองมากพอ ทั้งกองทัพหันควับไปในทิศทางเดียวกันกับทัพปีศาจที่ตั้งขบวนอยู่ก่อนแล้ว
วูมม
ทันใดนั้นเองขณะที่ซื่อหมิงกําลังจับจ้องกองกําลังใหม่นี้อยู่ สายตาของมันตรวจพบบุคคลปริศนาที่พุ่งขึ้นจากพื้นดินด้วยความรวดเร็วเพียงพริบตาเดียวคนผู้นั้นขึ้นมาปรากฏตัวอยู่บนกําแพงเมืองที่สูงหลายสิบเมตรได้ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
พรึ่บ
บนกําแพงเมืองที่แทบจะแออัดเต็มทน เกิดการแหวกออกเป็นสองฝั่งโดยอัตโนมัติของเหล่านายทหารทั้งหลายที่เปิดทางให้แก่บุคคลปริศนาได้เคลื่อนที่อย่างสะดวก
กําแพงเมืองทอดยาวไกลสุดสายตา มันผู้นั้นมุ่งหน้าเดินตรงมายังจุดที่เหล่าแม่ทัพกําลังร่วมวางแผนอย่างราบรื่น เหล่าพลทหารเวรยามตามรายทางที่มันผู้นี้เดินผ่านล้วนค่อมศรีษะทําความเคารพอย่างนอบน้อม นั่นแสดงว่าคนผู้นี้ย่อมมีศักดิ์ฐานะเหนือกว่านายทหารธรรมดา
ใช้เวลาไม่นานนักมันก็เดินมาถึงตําแหน่งเหนือประตูเมืองที่เหล่าแม่ทัพกําลังชุมนุมกันอยู่ ก่อนจะค่อมหัวโค้งคํานับแก่แม่ทัพจื่อหมิงยามพบหน้า
ทว่ามันช่างสะดุดตากับรูปร่างยิ่งนักเมื่อตําแหน่งที่ยืนอยู่นั้นติดกับบุรุษเกราะแดงผู้มีนามว่าจื่อฮวง เพราะขนาดร่างกายของพวกมันที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจนเห็นได้ชัดเจน
คนผู้สวมเกราะสีครามรายนี้มีขนาดร่างกายเพียงสองในสามเท่านั้นหากเทียบกับขื่อฮวงที่เป็นคนรูปร่างใหญ่โตน่าเกรงขาม แต่มิใช่ว่าคนผู้สวมเกราะฟ้าพิกลพิการแต่อย่างใด เพราะอวัยวะ แขนขาลําตัวของมัน รวมถึงทรวดทรงองเอวมีส่วนโค้งเว้าเข้ารูป…เพราะนางเป็นสตรี!
สตรีร่างเล็กผอมบอบบางมิสูงกระทัดรัดเมื่อยืนประกบคู่กับบุรุษร่างยักษ์อย่างจื่อฮวงแล้ว ทําให้นางดูเหมือนจะเป็นเด็กตัวเล็กๆไปเลย
แต่นั่นมิใช่เรื่องสําคัญเท่ากับที่แผ่นหลังของนางไม่มีปิกที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าปิศาจทุกคนภายในเมืองแห่งนี้ กระนั้นนางเองก็มิใช่มนุษย์เช่นกันเพราะผิวกายของนางมีบางอย่างที่คล้ายกับเกล็ดของปลา ซึ่งดูเหมือนมันจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
ชุดเกราะที่นางสวมใส่เองก็แตกต่างกับของปื่อยวงเช่นกัน ซึ่งเกราะสีแดงบนร่างของจื่อฮวง และเกราะสีเงินของแม่ทัพจื่อหมิงนั้นเป็นเกราะหนาที่แข็งแรงทนทาน ส่วนเกราะสีฟ้าครามของนางนั้นเป็นเกราะบางที่มีน้ําหนักน้อยกว่าและกระชับกับร่างกายเหมาะสําหรับการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว
” ท่านจื่อหมิง ข้าซุยหนิงนํากําลังทหารจากเมืองเทียนหลางมาสมทบตามคําสั่งขององค์จักพรรดิ์” นางกล่าวอย่างนุ่มนวลในน้ําเสียงแฝงไปด้วยความเคารพ
“ฮี เมืองของพวกเจ้าอยู่ใกล้แค่นี้แต่กลับใช้เวลาเดินทางเสียนาน เหตุใดเจ้าไม่มาพรุ่งนี้เสียเลยเล่า?” จู่ๆจือฮวงก็ปริปากเปร่งวาจาเหน็บแนมพลางแสดงท่าทางยียวนกวนประสาท
“เห้อะ ก็ดีกว่าพวกเจ้าเมืองฮัวหง หากต้องนําทัพที่ไร้วินัยเช่นนี้ข้าคงอับอายจนมิกล้าแม้แต่จะย่างเท้าออกจากประตูเมือง!!” ซุยหนึ่งหญิงสาวที่กําลังโค้งคํานับกล่าวกับผู้ที่นางเคารพอยู่นั้นดีดผึง เงยศรีษะจ้องเขม็งแผดเสียงใส่จื่อฮวงผู้แสดงท่าที่ปฏิปักษ์อย่างเห็นได้ชัด นางชี้ไม้ชี้มือไปยังบนท้องฟ้าที่มีเหล่าทหารกล้าเกราะแดงกําลังพลนําแสนของเมืองฮัวหงที่บัดนี้กําลังกระจัดกระจายอยู่เต็มผืนฟ้าไร้ความเป็นระเบียบ
“เจ้า!!” ตอนนี้ใบหน้าของงื่อฮวงแดงก่ําเป็นเฉกเช่นเดียวกับสีชุดเกราะที่มันสวมใส่เมื่อเผชิญกับคําพูดสบประมาท
“พวกเจ้าช่างไร้มารยาทเสียจริง!!” ทันใดนั้นเองมีกระแสลมระลอกใหญ่พัดผ่านพร้อมกับ เสียงของชายผู้หนึ่งดังกังวาลมาจากทิศตรงข้ามกับทางที่ทัพสีฟ้า
ทุกสายตาถูกเสียงทรงพลังดึงดูดให้จับจ้องไปยังทิศทางดังกล่าวโดยอัตโนมัติ งมองเห็นบนฟากฟ้าห่างไกลมีกองทัพใหม่ที่มีกําลังพลเทียบเท่ากับกองทัพแดงและฟ้า นั่นก็คือหนึ่งแสนนายพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของเสียงทรงพลังซึ่งเป็นผู้นําทัพดังกล่าวสวมใส่ชุดเกราะเหลือง ซึ่งปักษ์อักษรคําว่า ‘ลม” อยู่กลางหน้าอก
นี่มิใช่ตําแหน่งเดียวที่ดึงดูดสายตาผู้คน ในทิศทางเดียวกันบนภาคพื้นดินพบกับกองกําลังปริศนาที่มีขนาดพอๆกันกําลังเดินทัพมุ่งหน้าตีคู่กันมา กองกําลังนี้นําโดยสตรีนางหนึ่งซึ่งสวมใส่ชุดเกราะสีเขียวสบายตาโดยมีสัญลักษณ์คําว่า “ไม้” อยู่บนชุดเกราะเช่นกัน
ชายผู้นําทัพสีเหลืองยกแขนข้างนึงขึ้นขวางเป็นสัญญาณการหยุดขบวนทัพก่อนที่ตัวมันจะดิ่ง ศรีษะปล่อยกายไปตามแรงโน้มถ่วงลดระดับความสูงอย่างรวดเร็วเมื่อจวนเจียนถึงกําแพงเมือ งการเคลื่อนที่ของมันหักมุมเก้าสิบองศาขนานไปกับพื้นดินเรียบผ่านกําแพงเมืองอย่างน่าอัศจรรย์
วุ่มม
ไม่ว่ามันจะเคลื่อนที่ผ่านจุดใดล้วนมีกระแสลมรุนแรง คลื่นลมพัดผ่าน เหล่าเวรยามที่ประจําการอยู่บนกําแพง บางรายถึงขั้นต้องย่อตัวต่ําถ่วงน้ําหนักมิให้ร่างของตนไหวติงไปกับลมพายุนี้
มันใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีในการเคลื่อนที่จากกําแพงเมืองไกลสุดสายตามาถึงตําแหน่งที่ซุยหนิงและจือฮวงยืนอยู่ ด้วยความเร็วที่แม้แต่เจ้าแห่งท้องนภาพญาอินทรีย์ยังมิกล้าอาจหาญ เทียบความเร็วกับมัน
ตั้งง
ขณะที่กําลังสนใจอยู่กับบุรุษเกราะเหลืองรายนี้ จู่ๆกําแพงเมืองเกิดแรงสั่นสะเทือนบางเบา พร้อมกับเสียงทุ่มต่ําคล้ายกับถูกทุบด้วยบางอย่าง ทุกสายตาถูกดึงดูดมองหาต้นตอของเสียงปริศนา เหล่าพลทหารชะเง้อศรีษะมองออกไปนอกกําแพงเมืองก่อนจะโง้มคอมองตรงลงไปยังพื้นดินและพบสตรีชุดเขียวผู้นําทัพแห่งไม้ ที่บัดนี้ปีนป่ายขึ้นมาถึงกึ่งกลางความสูงของกําแพงเมืองตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ
เหล่าเวรยามและพลทหารที่ยังมีข้อสงสัยในใจถึงเสียงแปลกปลอมและแรงสั่นไหวน่าสงสัยถูก ไขกระจ่างชัดในที่สุดเมื่อในครรลองสายตาของพวกมันมองเห็นลําต้นขนาดใหญ่ของต้นไม้ที่โผล่ขี้นมาจากไหนไม่ทราบเกาะติดอยู่บนกําแพงเมืองเรียงรายในแนวเฉียงเพิ่มระดับความสูงมากขึ้นเรื่อยๆคล้ายกับขั้นบันได หากมองตามตั้งแต่ต้นไม้ต้นแรกที่อยู่ต่ําสุดไล่มาจนถึงใต้ฝ่าเท้าของนาง
พวกมันก็ทราบในทันทีว่าต้นไม้ที่โผล่ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเหล่านี้ แท้จริงแล้วเป็นฝีมือของสตรีชุดเขียวผู้นี้นี่เอง
ขณะที่ยืนอยู่บนท่อนไม้ขนาดใหญ่ซึ่งตอนนี้อยู่ในระดับความสูงหลายสิบเมตรจากพื้นดิน นางผายฝ่ามือข้างหนึ่งก่อนจะเกร็งกําลัง
ซุ่มมม
ไม่นานนักภาพอันแสนอัศจรรย์จึงปรากฏต่อสายตาของผู้คน เมื่อบนฝ่ามือของนางมีกิ่งไม้เล็กๆแทงออกมาจากผิวหนัง หากเรียกให้ถูกบางทีมันอาจคล้ายกับเถาวัลย์เสียมากกว่า เพราะมันโค้งงอและเสียบเข้าไปในช่องว่างระหว่างรอยต่อของกําแพงก่อนที่มันจะขยายใหญ่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวมันก็กลายเป็นเถาวัลย์ยักษ์ทรงกลมที่มีขนาดกว้างกว่าหนึ่งเมตร
แกรก
ตําแหน่งที่เป็นแกนของเถาวัลย์เกิดเสียงแตกหักคล้ายกับว่าตัวของเถาวัลย์ยักษ์นี้มันกําลังแพร่ขยายเจาะลึกเข้าไปในกําแพงสร้างความมั่นคงให้แก่ตนเอง จนสามารถรองรับน้ําหนักของผู้เป็นนายของตนได้
ครืนน
หลังจากที่นางขึ้นไปยืนอยู่บนเถาวัลย์ยักษ์ที่สร้างขึ้นมากับมือเป็นที่เรียบร้อย ตัวเถาวัลย์เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ส่วนปลายของมันงอโมชี้ขึ้นเลื่อยไต่ขึ้นไปตามกําแพงเมืองงอกยาวส่งผู้เป็นนายขึ้นสูงจนอยู่ในระดับความสูงเทียบเท่ากําแพงเมือง เมื่อนางก้าวเท้าเหยียบลงบนกําแพงเมือง เถาวัลย์ยักษ์ที่สําเร็จหน้าที่ลุล่วงจึงหมดประโยชน์ในที่สุด ตั้งแต่โคนที่ติดอยู่ด้านล่างและส่วนปลายสุดของมันห่อเหี่ยวราวกับขาดน้ําเสียความชุ่มชื้นอย่างฉับพลันก่อนจะแห้งแตกระแหง กรอบจนแตกละเอียดกลายเป็นผุยผงถูกพัดไปกับสายลม ไม่หลงเหลือเศษซากหายวับราวกับเถาวัลย์เมื่อครู่ไม่เคยมีอยู่
มองไปยังจุดที่เป็นแกนลําต้นที่มันใช้ยึดติดตรงจุดนั้นพบร่องรอยชํารุดขนาดใหญ่ที่เกิดจากการฝังรากลึกบนกําแพงเมือง
“ … ” แม่ทัพจอหมิงมีรอยยิ้มเงื่อนบนใบหน้า แน่นอนว่าทัพทั้งสี่ที่มาเยือนยามวิกาลนี้ย่อมมาเพื่อเป็นกําลังเสริมเป็นกองหนุนให้แก่เมืองหลวงปีศาจแห่งนี้ แต่ไม่ทราบการมาของพวกมันทั้งสี่ทัพนี้จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ เพราะแค่การเปิดตัวของพวกมันก็ทําให้กําแพงเมืองอันแสนสําคัญต้องบุบสลายมีมลทินไปเสียแล้ว