เทพอสูรสยบโลกา - ตอนที่ 69-70
ตอนที่ 69 อิสตรี
หลินหยางนั่งดูผู้ดูแลทำความสะอาดร่างกายหลังฟักให้แก่เจ้าเขียวด้วยอารมณ์ที่เบิกบานเป็นพิเศษ ถึงแม้มันจะฟักออกมาแค่ใบเดียวแถมเป็นตัวผู้แต่นี่ก็แสดงว่าชายหนุ่มยังไม่หมดหวังกับไข่ใบที่เหลือ
หลังพักเที่ยง หลินหยางนำทัพกลับไปฝึกต่อทั้งการต่อสู้ระยะประชิด ระยะกลางและระยะไกลสลับกันไป ทีมก่อสร้างก็ง่วนกับงานของพวกมันต่อไปเร่งมือสร้างกำแพงเพิ่มความแข็งแกร่ง
เป็นกิจวัตรที่กระทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตราบจนถึงช่วงเย็น ทั้งหมดก็ร่วมทานอาหารก่อนจะพักผ่อนแต่หัวค่ำฟื้นฟูพละกำลังที่ใช้ไปตลอดทั้งวันรวมไปถึงหลินหยางที่หัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับไปทันทีเป็นอีกวันที่ผ่านไปอย่างราบรื่น
จนกระทั่ง…
“ศ-ศัตรู ศัตรูบุก!!!” เสียงของยามเฝ้ากำแพงเมืองตะโกนร้องด้วยความแตกตื่น
“ตื่นเร็ววว!!” ตามมาด้วยเสียงของหลิวเจี่ยที่ถูกขยายด้วยทักษะราชสีห์คำราม ช่างบังเอิ๊ญบังเอิญที่มันลุกขึ้นมากลางดึกทำธุระส่วนตัวพอดิบพอดี
พลเมืองกำลังนอนฝันหวานต่างสะดุ้งตื่นตกใจปลุกคนข้างกายขึ้นเป็นทอดๆรวมไปถึงหลินหยางที่อ่อนเปรี้ยเพลียแรงถูกรบเร้าเขย่าตัวโดยเหมยเหมย แรกเริ่มมันงัวเงียตามประสาก่อนจะดวงตาเบิกกว้างรีบคว้าหมับจับดาบสั้นคู่กายรุดหน้าออกมาจากที่พักวิ่งตรงปรี่ไปยังกำแพงเมืองปีนป่ายขึ้นบรรใดอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยหลิวไห่ จิ่นเหอ เจียวซิ่นและพรรคพวกทีมระยะใกล้และทีมจู่โจม
“เกิดอะไรขึ้น” หลินหยางกล่าวถามสาเหตุที่ทำให้ทั่วทั้งเมืองเกิดความโกลาหลปลุกพวกมันดึกดื่น
“นั่น ตรงนั้นพี่หยาง” หวงฮั่นแทรกตัวจากคนกีดขวางที่ตอนนี้ขึ้นไปแออัดกันเต็มกำแพงเมืองเข้ามาหาหลินหยางก่อนจะชี้นิ้วไปไกลโพ้นชี้ชวนให้ชายหนุ่มมองตาม
หวงฮั่นรีบเล่ารายละเอียดต่อ ได้ความว่าไม่กี่นาทีก่อนมันเห็นแสงสะท้อนวิบวับชั่วครู่ทว่ามันยังมิแน่ใจนักคิดว่าตนตาฝาดไปเองแต่เพื่อความมั่นใจมันจึงใช้ธนูติดปลายดอกด้วยเศษผ้าชุบด้วยแอลกอฮอล์ดิบจากสุราจุดประกายไฟและยิงออกไปยังบริเวณดังกล่าวและนั่นทำให้มันพบว่าตรงจุดนั้นมีกองกำลังปริศนากำลังซุ่มตัวอยู่
ลูกธนูไฟของมันถูกดับอย่างรวดเร็วด้วยเงื่อมมือของกลุ่มคนต้องสงสัยเห็นได้ชัดว่าพวกมันเองก็ตกใจเช่นกันที่ถูกพบตัวอย่างไม่คาดคิด
“หือ? พวกนั้นมัน…เมืองทหาร?” แม้แสงไฟจากธนูจะมอดดับ แต่ตอนนี้บนกำแพงเมืองเพิ่มแสงไฟจุดคบเพลิงเรียงรายเพิ่มระยะการมองเห็นและส่วนหนึ่งด้วยทักษะดวงตาเหยี่ยวที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของดวงตาทำให้หลินหยางพอจะมองเห็นเงาตะคุ่มของคนกลุ่มหนึ่งร่วมสี่ถึงห้าสิบรายเห็นจะได้กำลังทยอยกันลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้าจากเดิมที่หมอบคลานตามผืนหญ้า พวกมันเดินอาดๆเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนหลินหยางพอจะจดจำใบหน้าที่คุ้นตาในหมู่มวลของคนพวกนั้น
“นั่นมันพวกเมิ่งโจว” หลินหยางกล่าวหลังจากใช้เวลาครุ่นคิดย้อนนึกความทรงจำจนกระทั่งนึกชื่อผู้นำของเมืองทหารนี้ได้ เป็นเวลาร่วมเดือนแล้วที่หลินหยางมิได้เจอเมิ่งโจวและพรรคพวก
เพียงได้ยินนามของผู้มาเยือนเหล่าบุรุษต่างกระชับมือควักอาวุธประจำกายขึ้นมาเตรียมพร้อม โดยเฉพาะอิสตรีเงื้อง้างคันธนูด้วยใบหน้าดุดัน แน่นอนว่าเมิ่งโจวและพวกมิได้สร้างความประทับใจในการพานพบครั้งแรกที่ดีเลย คราวก่อนที่พวกมันยกทัพมาเยือนก็เพียงเพราะข่มขู่ขอแบ่งอาหารและหญิงสาวซึ่งในคราวนั้นพวกมันสมหวังเพียงครึ่งเดียวได้รับอาหารเพื่อขัดสน
ฉะนั้นจึงมิแปลกที่เหล่าชายชาตรีจะมิชอบขี้หน้าพวกมันและหญิงสาวทั้งหลายต่างก็ขยาดเดียดฉันท์เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพวกมันถูกพบตัวแล้วก็มิจำเป็นต้องพรางกายซ่อนตัวอีกต่อไป เมิ่งโจวเดินอาดเข้ามาในระยะหนึ่งร้อยเมตรจนแสงไฟสาดส่องเห็นใบหน้าก่อนที่พลพรรคของมันจะเดินตามกันมาเป็นพรวน
“น้องชายต้อนรับแขกด้วยวิธีนี้งั้นเหรอ มันน่าผิดหวังนะเนี่ย” สิ่งแรกที่ออกจากปากมันคือวาจาอันเสแสร้งยียวนกวนประสาทพร้อมยิ้มกว้างบนใบหน้าของผู้กล่าว…เมิ่งโจว
“พวกคุณมาทำไม?” หลินหยางกล่าวถาม ซึ่งมันก็มิได้ไร้เดียงสาโง่งมจนหลงเชื่อคำพูดของเมิ่งโจวหรอก แขกที่ไหนจักยกทัพกันมาทั้งเมืองในยามวิกาลกลางดึกพร้อมอาวุธที่เหน็บซ่อนไว้ด้านหลัง
“แหม่ๆ พี่ได้ข่าวมาว่าน้องชายยึดแหล่งอาหารได้อีกแห่งแล้วมิใช่รึแบ่งๆกันหน่อยเถอะน่า ดูพวกพี่สิหิวโซจนผอมแห้งติดกระดูกกันหมดแล้วเนี่ย” ระหว่างพูดมันก็เดินย่ำเท้าอย่างช้าๆมิเป็นที่สังเกตุ แต่มันก็มิอาจรอดพ้นสายตาของคนกว่าครึ่งร้อยที่อยู่บนกำแพงเมืองได้ หนึ่งในนั้นลั่นคันศรยิงธนูลูกดอกลอยละลิ่วปักลงแทบเท้าของเมิ่งโจวห่างเพียงคืบก็จะเสียบลงบนรองเท้าของมัน ส่งผลให้พวกมันชะงักมิกล้ารุกคืบต่อใบหน้าขมวดนิ่ว
ตอนที่ 70 รีดทรัพย์
ฮึ~
เหมยเหมยพ่นลมออกจมูกเธอเป็นผู้ลั่นไกยิงธนูดอกนั้น ด้วยความสามารถของเธอในระยะนี้เรียกได้ว่าแม่นราวจับวางสามารถเจาะกระบาลพวกมันคนใดคนหนึ่งได้อย่างง่ายๆ แต่เธอตัดสินใจมิทำเช่นนั้น
หลินหยางแสยะยิ้ม ธนูที่ยิงโดยสาวน้อยเปิดฉากได้เป็นอย่างดีแสดงถึงศักยภาพข่มขวัญศัตรูได้ผลชะงัด ในสายตากลุ่มของเมิ่งโจวพวกมันทั้งตกใจและหวาดกลัว
“อาหาร? คราวก่อนผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมจะมอบให้?” หลินหยางตะโกนกลับ
‘หืม? ไม่สิ’ หลังจากกล่าวจบประโยคหลินหยางครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนกล่าวไปก่อนหน้า ก่อนหน้านั้นเขามอบอาหารให้แก่พวกมันเพียงพอจะเลี้ยงคนห้าสิบชีวิตได้สองถึงสามวันหากประหยัดหน่อยก็ราวหนึ่งอาทิตย์แต่นี่ก็ล่วงเลยผ่านมาถึงหนึ่งเดือน สภาพของพวกมันในตอนนี้ผิดกับสิ่งที่เมิ่งโจวกล่าวมาพวกมันหาได้ซูบผอมอย่างที่มันบอกไม่ บางรายท้วมลงพุง บางคนกล้ามโตเป็นมัดล่ำสันมิได้มีร่องรอยของความอดอยากเลย
นี่ก็แสดงว่าเมิ่งโจวและพวกมิได้ขาดแคลนอาหารอย่างที่พวกมันต้องการเป็นแน่ ถ้าอย่างงั้นจุดประสงค์ของพวกมันคืออะไรกันล่ะ?
‘ผู้หญิง?’ หลินหยางคิด สำหรับเมิ่งโจวและพวกคงมีเพียงสิ่งนี้ที่พวกมันต้องการจริงๆ
“อย่าพูดแบบนั้นสิน้องชาย พวกพี่หิวกันจะแย่อยู่แล้วแบ่งให้สักมื้อจะเป็นไรไป” เมิ่งโจวกล่าวอย่างเป็นมิตรสุภาพเรียบร้อย หากมิรู้นิสัยใจคอมันมาก่อนหลินหยางคงหลงกลอย่างไม่ต้องสงสัย
“พวกเราก็คนบ้านเดียวกันจะใจจืดใจดำกันไปทำไม เปิดประตูเมืองหน่อยสิพวกเราจะได้เข้าไปคุยกันข้างใน” เมิ่งโจวมันหน้าด้านยิ่งมิรอให้อีกฝ่ายสนทนากลับร่ายยาวหว่านล้อมพรางนำทัพค่อยๆคืบคลานเข้าใกล้เมืองอย่างช้าๆจนตอนนี้อยู่ในระยะห้าสิบเมตร
“ผู้หญิงสินะ!?” ตอนนั้นเองหลินหยางตะโกนโพล่งขึ้นก่อนที่มันจะแสยะยิ้มส่งเสียงหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเมิ่งโจวและพรรคพวก เพียงแค่ได้ยินคำว่าผู้หญิง พวกมันถึงกับชะงักชั่วขณะหูผึ่งกันเป็นแถวดูท่าชายชาติทหารชั้นเลวเหล่านี้จะมักมากและอดอยากปากแห้งมานานนมจนอดกลั้นตัวเองมิอยู่
“ไอ้สารเลว”
“ไอ้ทุเรศ”
“ไปตายซะ”
“อย่าเข้ามาใกล้ ขยะแขยง” เสียงอิสตรีพ่นคำหยาบคายกร่นด่าฉอดๆ แน่นอนเมิ่งโจวและพวกมิได้ยอมรับตามตรงแต่การแสดงออกของมันก็ชัดเจน
“ไอ้เวร แกกล้าดียังไงถึงมาเบ่งที่นี่”
“เห้ย พวกแม่งหน้าด้านวะ”
“พวกมืงเงี่**ขนาดนั้นเลยเรอะ” มิใช่เพียงหญิงสาว เหล่าชายฉกรรจ์เองก็สอดประสานด่าเสริมไปเช่นกัน อิสตรีทั้งหลายภายในเมืองหลินหยางเปรียบดั่งเพชรเม็ดงามสำหรับ….บุรุษมากหน้าหลายตาไม่ว่าจะทีมต่อสู้อย่างทีมระยะใกล้ทีมจู่โจมเหล่าเวรยามและทีมก่อสร้างที่ต่างก็จับจ้องหมายปองพวกนางมาเป็นคู่ครอง ตั้งแต่พวกมันมาที่นี่ก็ตั้งใจจะสร้างครอบครัวหาคนรัก
ต่อคำสาบแช่งกร่นด่า ใบหน้าของเมิ่งโจวและพวกมืดหม่นพวกมันเค่นเสียงอย่างเดือดดาลไม่พอใจเป็นที่สุด
“ในเมื่อรู้อยู่แล้วเช่นนั้นก็ส่งมาซะดีๆ ถ้าไม่อย่างงั้น….” หนึ่งในกลุ่มนั้นตะโกนลั่นชักดาบที่เสียบอยู่ด้านหลังขึ้นมาชี้หน้าหลินหยางข่มขู่เอาคนอย่างไร้ยางอายคนที่เหลือต่างก็นำเอาอาวุธที่ซ่อนไว้ออกมากันถ้วนหน้าเรียกได้ว่าตอนนี้พวกมันมิจำเป็นต้องแสร้งแกล้งทำอีกต่อไปเผยธาตุแท้แสดงความต้องการอันแรงกล้า
“เก่งจริงก็เข้ามาสิวะ”
“มาเลยบุกเข้ามาดิ๊” เหล่ามนุษย์หมาป่าผสมโรงท้าทายเชิญชวนในมือกำหอกทำท่าหลอกล่อจะปาดีมิปาดี
“ฮึ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้ก็อย่าว่าพวกพี่มิเตือนล่ะ” เมิ่งโจวเค่นเสียงก่อนที่มันจะคุกเข่าลงไปบนพื้นสองกวาดเกลี่ยดินขุดคุ้ยบางอย่างไม่นานนักก็ลุกขึ้นมาพร้อมกับดินก้อนหนึ่งที่ถูกปั้นจนกลมดิ๊ก
ฟุ่บ~
มันขว้างดินก้อนนั้นลอยข้ามอากาศมุ่งตรงสู่ประตูเมือง
หลินหยางเอียงคอมองด้วยความสงสัยงงงวยกับการกระทำของมันเป็นอย่างยิ่ง นี่มันจะทำอะไร? ปาบอล?
โพละ~
ปึกก~
ปั่กกกก~
ฉับพลันนั้นเองเมื่อดินก้อนนั้นกระทบเข้าประตูเมืองที่เชื่อมโดยเหล็กจากบานประตูแผ่นยักษ์ บอลดินก็ระเบิดออกพร้อมกับสะเก็ดของเศษดินทรายแข็งตัวจับกันเป็นก้อนแตกกระจายไปทุกทิศราวกับสะเก็ดระเบิด
หลินหยางขมวดคิ้วพร้อมกับใช้ทักษะดวงตาเหยี่ยวตรวจสอบเป้าหมาย ล้วงข้อมูลเบื้องต้นและทักษะที่มันครอบครองอยู่….ทักษะระเบิดทรายระดับหนึ่ง นอกจากเมิ่งโจวยังมีอีกสี่รายที่มีทักษะดังกล่าวอยู่ในครอบครอง
ดูท่า ทักษะนี้คงจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เมิ่งโจวผู้ถอยกลับไปคราวก่อนหวนคืนมาด้วยความองอาจไม่เกรงกลัวกำลังพลเมืองหลินหยางที่ตอนนี้ข่าวคงแพร่สะพัดไปไกลมีคำร่ำลือต่างๆ
แต่ดูเหมือนมันจะมั่นใจในทักษะของตนเกินไปเสียหน่อย เพราะอัตราการสร้างความเสียหายจากการโจมตีด้วยทักษะระเบิดดินนี้….ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเป็นอย่างยิ่งมัันมิได้รุนแรงเท่าระเบิดของจริง อันที่จริงมันแทบไม่มีแรงระเบิดเสียด้วยซ้ำ ความเสียหายหลักของมันมาจากสะเก็ดขนาดเล็กที่กระจายออกไปและหากจะดึงประสิทธิภาพของทักษะออกมาให้เห็นผลสูงสุดมันก็จำต้องปาให้บอลดินไประเบิดใกล้กับเป้าหมายในระยะเผาขนจึงจะสำแดงเดชได้อย่างเต็มที
แต่ถึงแม้ทักษะระเบิดทรายของเมิ่งโจวจะมิได้สร้างบาดแผลให้แก่คนของเขาแต่หลินหยางก็ดูจะไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง นั่นเพราะว่าสะเก็ดทรายพวกนี้มันทำให้กำแพงเมืองที่กำลังอยู่ในช่วงก่อสร้างเกิดรูเล็กๆสร้างมลทินขึ้นบนกำแพงและประตูเมืองของเขา
“ฮ่าๆๆ” เมิ่งโจวและพวกส่งเสียงหัวเราะร่า ผู้ครอบครองทักษะทั้งห้าคนของมันขยับมาอยู่หน้าแถวคุ้ยดินกันอย่างมันส์มือ
หลินหยางคว้าหมับจับเข้าที่คันธนูใส่ลูกศรง้างสายและยิ่งออกไปด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว
แกร๊ง~
ฉึก~
ลูกธนูของมันพุ่งตรงไปหาเป้าหมายอย่างแม่นยำและผู้ที่ตกเป็นเป้าของศรดอกนี้คือเมิ่งโจวผู้นำของทัพฝ่ายตรงข้าม ทว่าเมิ่งโจวย่อมมิยืนนิ่งปล่อยให้ศรดอกนั้นทะลวงร่างมันยกโล่เหล็กทรงกลมในมือขึ้นปัดป้องส่งผลให้ลูกศรแฉลบออกไปด้านข้างปักลงบนขาลูกสมุนของมันที่ช่างเคาะห์ร้ายบังเอิญยืนผิดที่
“ฆ่าพวกมัน!!” หลินหยางออกคำสั่งลั่นวาจา สิ้นเสียงของมันลูกธนูนับร้อยดอกโปรยลงบนทัพของเมิ่งโจวเป็นห่าฝนอย่างฉับพลัน
“ชิบ! ถอย ถอยก่อน!!” เมิ่งโจวเร่งสั่งการทัพแปรขบวนรวมตัวป้องกันการโจมตีทางอากาศ บางคนพยายามจะใช้ทักษะระเบิดทรายตอบโต้แต่เมื่อมันลูกบอลเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามก็ถูกลูกธนูที่ยิงมาสุ่มๆเสียบเอากลางคันส่งผลให้ลูกบอลทรายไปไม่ถึงเป้าหมายก็ระเบิดออกเสียก่อน ทักษะที่เมิ่งโจวและพวกฝากความมั่นใจเอาไว้เรียกได้ว่าแทบจะไร้ประสิทธิภาพสำหรับการเผชิญหน้ากันระหว่างกองกำลังรบ
ฉึบ
ลูกธนูดอกสุดท้ายปักลงบนพื้นพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย หลินหยางสั่งหยุดการโจมตีระยะไกลเมื่ออีกฝ่ายถอยไปไกลห่างร่วมร้อยกว่าเมตร ด้วยความมืดยามราตรีทำให้การโจมตีจากธนูมิสามารถหวังผลได้
“ฮึ่ม” เมิ่งโจวเค่นเสียงในลำคอ เดิมทีตั้งใจจะลอบเข้าไปประชิดเมืองฝ่ายตรงข้ามหมอบคลานตามความถนัดของตน แต่มันมิคิดว่าตนจะถูกพบตัวเร็วขนาดนี้ทำให้สถานการณ์ผลิกผันแปรเปลี่ยนเสียเปรียบลงในทันใด