เธอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าพ่อ - ตอนที่ 72
姐大 บทที่ 72: การสืบสวนของพี่ชายใหญ่
เจี่ยนหยุ่นเฉิงออกจากบ้านเก่า เขาโทรศัพท์จากในรถไปหาหงไป่จาง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนถงเต๋อ
หงไป่จางเป็นทั้งผู้อำนวยการและเป็นหมอที่ดูแลเจี่ยนหยุ่นน่าวด้วย
ทันทีที่ต่อสายได้ เจี่ยนหยุ่นเฉิงก็พูดตรงประเด็นโดยไม่อ้อมค้อมทันทีว่า “ผมมีบางอย่างที่ต้องการที่จะปรึกษา ให้ที่อยู่ปัจจุบันของคุณกับผมหน่อย”
หงไป่จางที่อยู่อีกปลายของโทรศัพท์ถึงกับตะลึง “นายน้อยเฉิง ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ผมเลิกงานแล้ว”
“ผมถึงขอที่อยู่ของคุณไง”
จากคำพูดนั้น เจี่ยนหยุ่นเฉิงจะไปหาเขาที่โรงพยาบาล ถ้าหากว่าเขาอยู่ที่โรงพยาบาล
“ไม่ เซี่ยวเฉิง ผมอายุห้าสิบปีแล้ว ผมไม่ได้เป็นคนหนุ่มอย่างพวกคุณแล้ว ถ้าไม่มีกรณีพิเศษ ผมก็จะหลับไปแล้วตอนนี้”
“เช่นนั้นตอนนี้ก็เป็นสถานการณ์พิเศษแล้ว”
“…”
หงไป่จางที่ปลายสายอีกด้านหนึ่งนั้นกำลังจะนอน เมื่อได้ยินคำพูดนี้เขาก็อยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา
ครึ่งชั่วโมงให้หลังที่บ้านของหงไป่จาง
หงไป่จางซึ่งอยู่ในวัย 50 ปี เพิ่งออกมาจากห้องนอนและก็ไม่ได้เปลี่ยนชุดนอน
หงไป่จางทักทายเจี่ยนหยุ่นเฉิงอย่างช่วยไม่ได้ เทน้ำชาหนึ่งถ้วยให้กับเจี่ยนหยุ่นเฉิง จากนั้นก็กล่าวกับเขาด้วยเสียงหดหู่ว่า “มีอะไรที่คุณต้องการก็พูดมา ผมจะกลับไปนอนหลังจากที่พูดเสร็จ ผมยังต้องไปทำงานพรุ่งนี้เช้า”
“ผมต้องการถามอาการของน้องชายของผม”
“ผม…”
ในเวลานั้นหงไป่จางก็รู้สึกเหมือนต้องการที่จะด่าคน เขาต้องสูดลมหายใจลึกก่อนที่จะกลืนคำสบถลงคงไป
“ไม่ใช่ว่าเราคุยกันเรื่องอาการของน้องชายคุณมาหลายรอบแล้วเหรอ ถึงแม้ว่าคุณต้องการรู้เรื่องมากกว่านี้ เราคุยกันในช่วงเวลากลางวันของพรุ่งนี้ไม่ดีกว่าเหรอ ทำไมคุณต้องมาเลือกเอาช่วงกลางดึก…”
“ไม่ใช่ที่มือ” เจี่ยนหยุ่นเฉิงกล่าว “ผมต้องการที่จะรู้เรื่องอาการบาดเจ็บที่สมอง ผมจำได้ว่ารายงาน CT ของเขาในเวลานั้นมีการกระทบกระเทือนบ้างเล็กน้อย”
“ใช่ กระทบกระเทือนเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรนัก สมองก็ไม่ได้รับความเสียหายอะไร”
“เป็นไปได้ไหมว่าความทรงจำจะสับสน”
“ความทรงจำสับสนเหรอ ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ผมแค่ถามว่ามีความเป็นไปได้อย่างนั้นหรือเปล่า ทำให้เขาเกิดจำผิดว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่เขาจะตกบันได”
“ผมจะบอกกับคุณว่า ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการจำผิดนั้นต่ำ แต่ความเป็นได้ในการที่จะจำได้ไม่ชัดเจนนั้นมีโอกาสเป็นไปได้สูง”
“ความเป็นไปได้ในการที่จะจำได้ไม่ชัดเจนนั้น มีโอกาสมากเท่าไหร่”
“เท่าที่ผมรู้นะ น้องชายของคุณทะเลาะกับน้องสาวของคุณก่อนที่เขาจะตกใช่ไหม พวกเขาโต้เถียงกันอย่างดุเดือด”
“ใช่”
“ตอนที่คนมีอารมณ์รุนแรงมากนั้น อะดรีนาลีนในร่างกายก็จะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้จะทำให้เลือดไหลไปที่สมองจนทำให้เกิดการคั่งของเลือดที่สมอง ในกรณีนี้หลังจากการทะเลาะแล้วคนเราก็จะจำรายละเอียดของการทะเลาะกันบางอย่างไม่ได้ นอกจากนี้น้องชายของคุณได้กลิ้งลงบันไดด้วย ร่างกายของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เป็นไปได้ว่าเขาจะจำรายละเอียดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นไม่ได้”
เจี่ยนหยุ่นเฉิงเงียบไปหลังจากที่ได้ยินแบบนี้พร้อมกับสีหน้าเรียบลึกล้ำ
เหตุผลที่ทำไมเจี่ยนหยุ่นเฉิงมาถามหงไป่จางในคำถามนี้ก็เพราะว่าเจี่ยนหยุ่นเฉิงรู้ว่าหลังจากที่เจี่ยนหยุ่นน่าวได้รับบาดเจ็บนั้นคนแรกที่ไปปรากฏตัวต่อหน้าเขาก็คือป้าโม่
ป้าโม่ยังได้ติดไปกับรถพยาบาลตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล เมื่อตอนที่ตระกูลเจี่ยนกำลังเร่งรีบไปหานั้น ก็เป็นป้าโม่ที่ทำการดูแลเจี่ยนหยุ่นน่าวที่เตียง
ถ้าป้าโม่มีปัญหา นั่นก็เป็นไปได้ว่าจะมีการแทรกแซงจากคนภายนอก
แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ความเป็นไปได้ เจี่ยนหยุ่นเฉิงก็ต้องการที่จะสืบสวนให้ชัดเจน และตระกูลเจี่ยนก็จะไม่ทนกับการให้คนภายนอกเข้ามาลอบกัดข้างหลังอย่างลับๆ
หงไป่จางมองดูเจี่ยนหยุ่นเฉิงอยู่ชั่วขณะและได้กล่าวเสริมขึ้นว่า “จิตใจและสมองของคนเราเป็นส่วนที่ซับซ้อนที่สุด และมีงานวิจัยทางด้านการแพทย์อย่างจำกัดในด้านนี้ หากเปรียบเทียบกับสมองมนุษย์ บางทีคอมพิวเตอร์อาจจะง่ายในการทำความเข้าใจมากกว่า ถ้าคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ คุณควรจะตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้น ซึ่งจะง่ายกว่าเป็นอย่างมากต่อการทำความเข้าใจแทนที่จะเป็นสมองมนุษย์”
หงไป่จางไม่รู้ว่าเจี่ยนหยุ่นเฉิงสงสัยหรือต้องการที่จะสืบสวนเรื่องอะไร
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกระวนกระวายมากมายขนาดนี้ถึงกับวิ่งมาหาเขายามดึก เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็ได้แต่ให้คำแนะนำที่คิดว่าน่าจะได้ผลดีที่สุด