เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 162 เจ๊หร่านลงมือ กู้ซีฉือถึงแล้ว
ฉินหร่านแทบจะจินตนาการถึงฉากนั้นได้
ผู้บัญชาการเฉียนไม่ทันได้คิดเกี่ยวกับสูตรที่หนิงเวยพูดถึงคือสูตรอะไร
เขาอยู่ในแวดวงนี้มานานหลายปียังไม่เคยเจอคนกำเริบเสิบสานแบบนี้มาก่อน
ขณะนี้ความโกรธแผ่ซ่านอยู่ในอกแทบจะทนไม่ไหว อากาศโดยรอบแทบลุกเป็นไฟ
“อืม ได้ยินแล้ว” ผู้บัญชาการเฉียนยิ้ม ทว่าไม่มีรอยยิ้มอยู่ใต้เปลือกตา เขาพูดเรียบๆ “กล้าดีนัก กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว”
หนิงเวยกลัวจนตัวสั่นกับคำพูดของทั้งสอง
“น้า มู่หนานไปไหนกันแน่?” ฉินหร่านคืนแฟ้มคดีให้ผู้บัญชาการเฉียนพลางถามอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยความโมโห
หนิงเวยเงียบ
เสียงใสแจ๋วดังมาจากข้างนอกประตู “อยู่บ้าน” เฉิงเจวี้ยนกำลังพิงกับขอบประตู น้ำเสียงฟังออกถึงความอึดอัดใจ “ตามที่คาดไว้น่าจะไปเจรจากับคนของทางฝั่งนั้น”
ไม่ต่างจากที่ฉินหร่านคิดไว้
เธอมีสีหน้ามืดมนเล็กน้อย มองไปทางหนิงเวย “น้า ทำใจให้สบาย” จากนั้นก็หันไปมองผู้บัญชาการเฉียน พูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะฟังไม่ออกถึงความรู้สึก “พวกเราไปกันเถอะ”
หนิงเวยคว้าผ้าปูที่นอน “หร่านหร่าน พวกเธอสองคนจะทำอะไร? อย่าใจร้อน!”
“ไม่ต้องห่วง หนูไม่ใจร้อนหรอก” ฉินหร่านไม่หันกลับมา
ใจร้อน?
ไม่ต้องถึงกับให้ทีม 129 เข้าร่วม มีแค่ผู้บัญชาการเฉียน คนพวกนี้ก็หนีไปไหนไม่รอดแม้แต่คนเดียว
เธอออกไปพร้อมกับผู้บัญชาการเฉียน
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ไปพร้อมกับทั้งสองเพราะโรงงานพลาสติกชั้นต่ำพรรค์นี้ แค่ผู้บัญชาการเฉียนไปก็เกินกำลังแล้ว
เขาเพียงเดินไปที่ข้างเตียงหนิงเวย ยื่นมือไปหยิบประวัติการรักษาที่อยู่ปลายเตียงหนิงเวย
เขาเอนตัวพิงหัวเตียงเล็กน้อย พลิกดูแบบลวกๆพลางขมวดคิ้ว มิน่าล่ะถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟซะขนาดนี้
หลังจากคิดได้ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสาย
จากนั้นก็มองไปทางหนิงเวยและกล่าวทักทายเธออย่างมีมารยาท “น้าหนิง”
เขามองเธอและหยุดไปสักพัก จากนั้นก็อธิบายต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผู้บัญชาการเฉียนที่มาเมื่อกี้เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ของแผนกสืบสวนอาชญากรรมอวิ๋นเฉิง ซึ่งใหญ่เป็นสามอันดับแรกในแวดวงการสืบสวนอาชญากรรมในประเทศ ไม่ต้องพูดถึงผู้จัดการโรงงานคุณคนนั้นหรอก ถึงจะมีเจ้าถิ่นใหญ่คนนั้นคอยหนุนหลังก็หนีไม่รอด”
หนิงเวยเคยเจอเฉิงเจวี้ยนตอนที่เฉินซูหลานป่วยเมื่อคราวที่แล้ว หนุ่มคนนี้ทั้งหน้าตาดีและสุภาพ
ขณะนี้เมื่อได้ฟังที่เฉิงเจวี้ยนพูด เธอก็ถึงกับอึ้ง
แน่นอนว่าเธอเคยได้ยินเรื่องกองสืบสวนอาชญากรรม
คำว่า “สามอันดับแรก” ที่เพิ่มเข้ามา ก่อนหน้านี้เธอฟังคอยไม่ชัด
ใหญ่?
หร่านหร่านไปรู้จักกับคนแบบนี้ได้อย่างไร?
หนิงเวยยังไม่ทันได้สติ
ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องอย่างสุภาพ
เฉิงเจวี้ยนหันกลับไป ก้มตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็นำประวัติการรักษากลับไปแขวนไว้พลางเอ่ยอย่างใจเย็น “เข้ามา”
ทันใดนั้นกลุ่มแพทย์ก็กรูกันเข้ามาในห้อง
หนิงเวยยังอยู่ในอาการตกตะลึง เธอเห็นกลุ่มแพทย์เข้ามาในห้องผู้ป่วยเยอะกว่าผู้เชี่ยวชาญที่ทำการรักษาเมื่อวานนี้เสียอีก ทั้งยังมีท่าทีเข้มงวดและสุภาพ ทำการตรวจอย่างละเอียดด้วยความกระตือรือร้น
นำโดยหมอที่มีอายุ บนหน้าอกมีป้ายห้อยไว้ “ผู้อำนวยการโรงพยาบาล” เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่ง?
“เอารายงานสภาพร่างกายมาให้ผม” เฉิงเจวี้ยนยื่นมือ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรีบยื่นข้อมูลจำนวนหนึ่งให้เขาทันที
เฉิงเจวี้ยนรับมาเปิดอ่าน เขาเปิดดูด้วยความรวดเร็วพลางเหลือบมองหนิงเวยเป็นครั้งคราว
เขาอ่านรายงานจำนวนยี่สิบหน้าภายในเวลาไม่ถึงสามนาที
จากนั้นก็คืนข้อมูลให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
คนด้านข้างส่งชุดผ่าตัดสีขาวให้เขาในทันที
“เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการทำการรักษา สภาพร่างกายของคนไข้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว อีกยี่สิบนาทีพาไปที่ชั้นยี่สิบสอง…” เฉิงเจวี้ยนสวมเสื้อกาวน์ ขณะที่ติดกระดุมให้ตัวเองก็เดินออกไปข้างนอก เขาออกคำสั่งอย่างใจเย็นแต่เป็นไปด้วยความรวดเร็ว
ไม่ได้ทำตัวง่วงเหงาหาวนอนเหมือนก่อนหน้านี้
หนิงเวยยังอยู่ในอาการงุนงง มีคนเข็นไปที่ห้องผ่าตัดทั้งอย่างนี้ “คุณ…พวกคุณจะตัดขาแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ” พยาบาลที่สวมผ้าปิดจมูกพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณหนิงไม่ต้องกลัวนะคะ มีคุณหมอเฉิงอยู่ ถึงขาคุณจะโดนบิดขนาดไหน เขาก็ทำให้คุณกลับมายืนได้”
เมื่อคืนฉินหร่านบอกเธอก่อนแล้วว่าขาเธอที่ควรจะถูกตัดจะต้องไม่โดนตัด
วันนี้จู่ๆพยาบาลคนนี้ก็มาบอกว่าเธอจะกลับมายืนได้
ทั้งยังเรื่องผู้บัญชาการเฉียน หนิงเวยมึนงงอย่างมากหลังจากได้รับยาสลบ
**
อีกด้านหนึ่ง
บ้านของมู่หนานอยู่ในแฟลต
ชั้นหกยังไม่มีลิฟต์
เมื่อก่อนในแฟลตนี้มีคนเป็นจำนวนมาก
วันนี้แฟลตที่เป็นบ้านของมู่หนานกลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
รถตู้สีดำสองคันจอดอยู่ชั้นล่าง
ผู้บัญชาการเฉียนจอดรถทิ้งไว้และรับโทรศัพท์ “ถอนคนออกจากโรงงานพลาสติกเหอไห่หมดแล้ว?”
เขาลงจากรถและแจ้งพิกัดบ้านของมู่หนานให้กับลูกน้อง
ฉินหร่านลงจากอีกประตูหนึ่ง
เธอหลุบตาลง ในดวงตามองเห็นเป็นสีเลือดที่เย็นเฉียบ
ฉินหร่านเป็นคนสวย เมื่อเธอกลับมาที่บ้านตระกูลมู่อีกครั้ง เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ต่างก็รู้จักเธอ
เมื่อคุณยายแก่ผมขาวที่กำลังถือตะกร้าผักใบหนึ่งเพิ่งกลับมาจากตลาดสดเห็นฉินหร่านกำลังจะขึ้นไปข้างบนก็รีบเรียกเธอ “สาวน้อย ยังไงก็อย่าขึ้นไปข้างบนเลย เมื่อกี้มีคนกลุ่มหนึ่งขึ้นไปหาน้องชายเธอ คนกลุ่มนั้นยังมีรอยสักบนตัวด้วย ดูน่ากลัวมาก!”
พอชายเสื้อถูกรั้งไว้ ฉินหร่านก็ก้มหน้ามองตาขุ่นมัวของคุณยายที่นัยน์ตาอดเป็นห่วงไม่ได้ เธอสูดหายใจ
“ขอบคุณค่ะคุณยาย หนูจะอยู่ดูข้างนอกสักหน่อยก็กลับแล้ว”
ผู้บัญชาการเฉียนวางสาย “พวกเขาออกเดินทางแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับเรา ที่โรงงานพลาสติกเหอไห่พบกล้องวงจรปิดแล้วแต่โดนทำลายไปหมดแล้ว อีกสิบนาทีกว่าจะถึง”
ฉินหร่านพยักหน้า “ส่งกล้องวงจรปิดเข้ามือถือฉัน”
ไม่ต้องพูดถึงว่ากล้องวงจรปิดถูกทำลาย ถึงจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เธอก็สามารถทำให้มันกลับมาสู่สภาพเดิมเพื่อให้คนพวกนั้นดูได้
ทั้งสองคุยกันขณะที่เดินขึ้นไปข้างบน
คุณยายยืนมองอยู่ข้างหลังพวกเขาได้สักพัก จากนั้นก็ส่ายหัว ถอนหายใจและจากไป
**
ชั้นหก
“นี่เงินสองหมื่นหยวนเป็นค่าชดเชยให้แม่แก” ชายวัยกลางคนใบหน้าอวบๆและมีรอยสักหยิบบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋าพลางหันหน้าเหลือบมองคนที่อยู่ข้างๆ
คนข้างๆเขาโยนเงินก้อนเล็กลงบนโต๊ะทันที
ภายในห้องอัดแน่นไปด้วยชายกำยำชุดดำจำนวนหนึ่งที่พอถลกแขนเสื้อขึ้นก็จะพบแต่รอยสักสีฟ้าอยู่บนตัว
มู่หนานไม่ได้มองไปที่เงินแต่มองไปทางลั่วไซหูด้วยสายตาล้ำลึก “พวกแกจงใจ?”
ชายวัยกลางคนหัวเราะเยาะและชำเลืองมองไปที่มู่หนาน ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากประตูใหญ่
ยังจะมีคนมาในเวลานี้อีกเหรอ?
ชายวัยกลางคนและลูกน้องของเขาหันไปทางประตูโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมู่หนานนึกถึงคนคนหนึ่ง หน้าก็เปลี่ยนสี เขาหันไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ฉินหร่านมาก็ได้หยิบกุญแจของหนิงเวยมาด้วย เธอเปิดประตูตรงเข้ามาในห้องพร้อมกับผู้บัญชาการเฉียน
หมวกเสื้อกันหนาวยังคงสวมไว้ที่หัว ไม่ได้ดึงลงมา วันนี้เธอตั้งใจเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีดำทั้งตัวไม่เว้นแม้แต่เสื้อนอกชุดนักเรียน
ดวงตางามหรี่ลงเล็กน้อย ชำเลืองมองทุกคนในห้องโดยไม่มีท่าทางประหลาดใจใดๆ มีแต่ความเย็นชาลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุด
เธอยื่นมือออกไปรั้งปีกหมวกของเธอลงเพื่อปกปิดเลือดในตาที่แทบจะปกปิดไม่มิด
เมื่อเห็นฉินหร่าน ชายวัยกลางคนก็ตาเป็นประกาย ผู้บัญชาการเฉียนเดินไปยืนอยู่ข้างหน้าเงียบๆเพื่อขัดขวางสายตาของชายวัยกลางคน
คนก็มาถึงในห้องหมดแล้ว ชายวัยกลางคนก็ไม่ได้รีบร้อน แต่ตอบคำถามของมู่หนานด้วยความใจดีว่า “จะจงใจหรือไม่ไม่สำคัญ คนหนุ่มสาวไม่ต้องเดือดดาลไปหรอก การเกิดอุบัติเหตุในโรงงานในแต่ละครั้งก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา”
มู่หนานเม้มริมฝีปาก ปลายนิ้วจมลงในฝ่ามือ
เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อเก็บใบหน้าชายวัยกลางคนสลักลึกเข้าไปในหัว
“แกไม่กลัวฉันแจ้งตำรวจเหรอ?” มู่หนานกดเสียง แหบเล็กน้อย แต่ฟังก็รู้ว่ากำลังใจเย็นที่สุด
ชายวัยกลางคนส่ายหน้าราวกับได้ยินเรื่องตลก จากนั้นก็พูดด้วยความเห็นใจ “แกคิดว่าฉันจะให้พวกแกได้กล้องวงจรปิดไปงั้นเหรอ? ไม่มีกล้องวงจรปิดแล้วใครจะรู้ว่าพวกแกกำลังปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อจะเอาเงินชดเชยจากพวกเรา? ที่จริงแล้วแม่แกก็เป็นคนพิการอยู่แล้ว พอถึงตอนนั้นก็ซื้อแอคหลุมปั่นกระแสบนอินเทอร์เน็ตว่าแม่แกสร้างสถานการณ์ทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย แกว่าใครจะซวยล่ะ?”
มือทั้งสองข้างของมู่หนานสั่นเทาเมื่อได้ยินถึงตรงนี้
“อย่าโมโหแบบนี้สิ” ชายวัยกลางคนยิ้มพลางเขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ “พวกแกจะแจ้งตำรวจก็แล้วแต่พวกแกเลย แน่นอนว่ามันไม่สำเร็จ..”
สายตาหันไปหยุดที่ร่างของฉินหร่าน หรี่ตาลงเล็กน้อย “นี่น้องสาวแกเหรอ?”
เขาไม่สนพวกกุ้งฝอยอย่างมู่หนานหรือหนิงเวยเลยสักนิด การที่ทำให้หนิงเวยเสียไปแล้วหนึ่งขาไม่เพียงแต่เป็นการตักเตือน แต่สาเหตุมาจากการดูถูก
เมื่อเห็นสายตาของชายวัยกลางคนหันไปทางฉินหร่าน หัวใจมู่หนานก็บีบแน่น “เดี๋ยวก่อน ฉันจะเอาของให้แก แกรีบไปซะ!”
จากนั้นก็กลับไปในห้องและหยิบเอากระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งยื่นให้ลั่วไซหู
“จริงๆแล้วแกฉลาดกว่าแม่แกเสียอีก” ลั่วไซหูรับกระดาษมาจากมือมู่หนานด้วยตาเป็นประกาย “ถ้าแม่แกรู้จักวางตัวแบบนี้จะได้รับความทุกข์ทรมานเหรอ?”
เขาสูบบุหรี่อีกมวนแล้วนำกระดาษแผ่นนั้นออกมาคลี่บนโต๊ะ อ่านอย่างละเอียด
ยิ่งอ่าน สายตาละโมบโลภมากก็ยิ่งเป็นหนักขึ้น
จากนั้นเขาก็พับกระดาษอย่างเรียบร้อยและใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
มู่หนานชี้ออกไปทางประตูพลางพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ตอนนี้พวกแกไปได้หรือยัง?”
“ไป?” ชายวัยกลางคนพยักหน้า “แน่นอนว่าไปก็ได้”
เขาลุกขึ้นเดินไปข้างๆฉินหร่าน
แววตาแฝงไปด้วยความหยาบช้า “แต่น้องสาวแกจะต้องไปกับฉันด้วย”
มู่หนานเดินไปข้างหน้า มีเอ็นปูดบนใบหน้าของเขา “แกกล้า!”
“จับผู้ชายสองคนนี้ไว้” ชายวัยกลางคนเบื่อจะสนใจมู่หนานจึงสั่งการลูกน้อง
ลูกน้องรีบเข้าไปรวบมือทั้งสองข้างของมู่หนานและจับตัวผู้บัญชาการเฉียนไว้อย่างง่ายดาย
ในขณะนี้——
โทรศัพท์ในกระเป๋าฉินหร่านก็ดังขึ้น
เธอก้มหน้าดูก็พบว่าเป็นกู้ซีฉือ
“ถึงแล้วเหรอ?” เธอพูดเรียบๆราวกับไม่รู้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
กู้ซีฉือที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ได้ขึ้นรถแท็กซี่เรียบร้อยแล้ว เขาสวมแว่นกันแดดทรงกว้าง “โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งใช่ไหม? ห้องไหน?”
ฉินหร่านจึงบอกชื่อห้องผู้ป่วยของหนิงเวย “มีคนอยู่ นายระวังตัวด้วย!”
คนที่เธอพูดถึงแน่นอนว่าเป็นผู้บัญชาการห่าว เฉิงมู่ และยังมีลู่จ้าวอิ่ง
กู้ซีฉือเกี่ยวแว่นตาพลางยิ้มเบาๆ “ไม่ต้องห่วง”
หลังจากวางสายฉินหร่านก็เงยหน้าขึ้น คนทั้งห้องกำลังมองเธออยู่
แม้แต่ชายวัยกลางก็ประหลาดใจมาก เสียงคุยโทรศัพท์ของฉินหร่านดูเรียบเฉยเกินไป น้ำเสียงไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดราวกับว่ากำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศวันนี้ก็ไม่ปาน
เธอไม่รู้จริงๆเหรอว่าตอนนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย หรือโง่กันแน่?
ชายวัยกลางคนผงะ จากนั้นก็กลับมาตั้งสติ เขาเดินเข้ามาหนึ่งก้าว
ฉินหร่านกลับเดินข้ามเขาเลยไปที่โต๊ะก่อน
เธอปัดเงินที่อยู่บนโต๊ะลงพื้น จากนั้นลากเก้าอี้มานั่ง เธอก้มหน้าลงพลางกางโทรศัพท์ให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กเพื่อเรียกภาพกล้องวงจรปิดที่เพิ่งส่งมาให้เธอ
เริ่มทำการกู้คืน
“เธอทำอะไรน่ะ?” ชายวัยกลางคนยังไม่รู้ตัว
คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นมืออาชีพ ฝีไม้ลายมือก็เก้ๆกังๆ ฉินหร่านกู้คืนด้วยความรวดเร็ว พอได้ยินดังนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็พิงกับพนักเก้าอี้และพูดด้วยเสียงเรียบๆ “อยากรู้ก็มาดูเอาเอง”
ชายวัยกลางคนมองเธอผู้มีใบหน้าเย็นชาขั้นสุดที่แผ่รังสีอันตรายร้ายแรง
เขาเดินเข้าไปและก้มหน้าดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ
ในนั้นมีภาพกล้องวงจรปิดจากที่เกิดเหตุที่ถูกทำลายไปแล้วโผล่ขึ้นมา
ภาพที่ปรากฏคือเขาและพนักงานอีกสองสามคนกำลังทำงานบนเครื่องจักรที่หนิงเวยทำงานอยู่ และยังมีวิดีโออื่นๆอีกมากมายที่ถูกเขาทำลาย
ชายวัยกลางคนหน้าถอดสี เขาเอื้อมมือไปคว้าไมโครคอมพิวเตอร์ของฉินหร่าน
แต่ฉินหร่านเร็วกว่าเขาจึงเก็บไว้ได้ทัน
เธอก้มหน้าเก็บไมโครคอมพิวเตอร์กลับไปโดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อน
จากนั้นก็เอื้อมมือดึงหมวกเสื้อกันหนาวที่อยู่บนหัวลง ถอดยางรัดผมสีดำออกจากข้อมือแล้วมัดผมหลวมๆ
ขยับข้อมือเพียงนิดเดียว เอียงศีรษะและเหลือบมองผู้บัญชาการเฉียน พูดอย่างสุขุมว่า “หลักฐานพอแล้ว ตอนนี้ฉันลงมือได้หรือยัง?”
**
ในเวลาเดียวกัน
ผู้บัญชาการห่าวและป้าโจวออกตามหาผู้บัญชาการเฉียนไปทุกที่แต่กลับไม่พบร่องรอย
เมื่อสอบถามได้ว่าตอนนี้เฉิงมู่กำลังอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งและดูเหมือนว่าน้าของฉินหร่านเกิดอุบัติเหตุ
ทั้งสองได้หมายเลขห้องผู้ป่วยจากผู้อำนวยการโรงพยาบาล
เขากับลู่จ้าวอิ่งขับรถมาถึงโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งโดยต้องการทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้กองสืบสวนอาชญากรรมทั้งหมดวุ่นวายกันขนาดนี้
รถสีน้ำเงินเข้มจอดที่หน้าประตูโรงพยาบาล
รถแท็กซี่คันหนึ่งก็จอดในเวลาเดียวกัน
คนที่ลงจากรถเป็นชายสวมชุดลำลองสีขาวคนหนึ่ง สวมแว่นกันแดดสีดำทรงกว้าง แต่เขาไม่สามารถซ่อนใบหน้าที่สง่างามของเขาได้
ลู่จ้าวอิ่งสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกง ขณะที่รอผู้บัญชาการห่าวจอดรถก็เหลือบมองไปเรื่อย จากนั้นสายตาก็หยุดชะงัก