เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 167 เชิญแขกร่วมงาน
ครั้งล่าสุดที่cns(ระบบประสาทส่วนกลาง)มีปัญหา เฉินซูหลานก็ได้ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ให้เฉิงเจวี้ยนไว้
ระหว่างนี้เฉิงเจวี้ยนยังมาเยี่ยมเธอหลายครั้งโดยไม่ได้ถามอะไรเป็นพิเศษ แต่เฉินซูหลานเดาได้จากคราวที่แล้วตอนที่มือของฉินหร่านได้รับบาดเจ็บ เฉิงเจวี้ยนเอาแต่เฝ้าติดตามผลอยู่ตลอด
ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก็ถูกรับสาย
อีกด้านหนึ่ง คฤหาสน์ใจกลางเมืองอวิ๋นเฉิง
เฉิงเจวี้ยนรับสายขณะที่กำลังดูหุ่นจำลองสรีระมนุษย์ที่ชั้นล่าง หลังจากรับสายเฉินซูหลาน เขาก็ยกมือโยนมีดผ่าตัดที่อยู่ในมือลงไปที่โต๊ะข้างๆ
หลุบตามองโทรศัพท์และเอนตัวไปพิงด้านข้างโดยไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ลู่จ้าวอิ่งนั่งบนโซฟาโดยที่นิ้วกำลังเคาะเถ้าบุหรี่อยู่บนโต๊ะ มองไปทางเฉิงเจวี้ยน “คุณชายเจวี้ยน สายใคร?”
“คุณยายเฉิน เธอเชิญฉันไปงานไหว้ครู” เฉิงเจวี้ยนปิดโทรศัพท์และพูดเบาๆ
“คุณยายเฉิน?” ลู่จ้าวอิ่งคีบบุหรี่อยู่ในมือพลางเหลือบมองเฉิงเจวี้ยนด้วยความสงสัยเป็นพิเศษ
เขาไล่นับคนทั่วทั้งเมืองหลวงก็ยังไม่พบว่าใครมีคุณสมบัติพอที่สามารถทำให้เฉิงเจวี้ยนเรียกคุณยายได้
ถึงอย่างไรคุณชายเจวี้ยนก็ยังอายุไม่มาก แต่ลำดับอาวุโสก็ไม่ถือว่าน้อย
เฉิงเจวี้ยนยืนพิงโต๊ะอย่างเฉยเมย หลุบตาลงพลางครุ่นคิดว่าควรจะส่งของอะไรไปให้ดี ทำตัวตามชอบใจโดยไม่ตอบเขา
เมื่อเฉิงมู่ที่กำลังช่วยเจียงตงเยี่ยจัดการข้อมูลได้ยินก็เงยหน้าขึ้น “น่าจะเป็นคุณยายของคุณฉินใช่ไหมฮะ?”
คราวที่แล้วเฉิงมู่ไปโรงพยาบาลกับเฉิงเจวี้ยน เขาจึงจำเฉินซูหลานได้
“อ๋อ” ลู่จ้าวอิ่งพยักหน้า จากนั้นไม่นานก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆก็ร่าเริง “เดี๋ยวนะ งั้นก็เป็นงานไหว้ครูของฉินเสี่ยวหร่าน?”
“อื้อ” เวลานี้เฉิงเจวี้ยนก็ตอบกลับ เขาเปิดโทรศัพท์พร้อมกับส่งข้อความอย่างเชื่องช้า “เฉิงมู่ พรุ่งนี้ไปรับของที่สนามบิน”
เฉิงมู่วางธุระในมือแล้วพยักหน้า “ครับ”
ลู่จ้าวอิ่งยืนขึ้นด้วยท่าทางใหญ่โต เขาเกาผม “ทำไมเชิญนายไม่เชิญฉันล่ะ? ทำไมงานไหว้ครูของฉินหร่านฉันถึงไปไม่ได้ ? !”
เขาดับบุหรี่และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาฉินหร่าน
เจียงตงเยี่ยไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงใดๆ เขาจึงไม่ได้สนใจงานไหว้ครูของฉินหร่าน
เขาวางแล็ปท็อปในมือไว้บนโต๊ะ จากนั้นเอนตัวลงบนโซฟา หยิบไม้มาคาบพลางยิ้มเยาะ “สมาคมแฮกเกอร์ขยะอะไรนี่ ไม่เห็นได้เรื่องเลยสักนิด”
เขาให้คนตรวจสอบข่าวกู้ซีฉือ เพราะการที่กู้ซีฉืออยู่ในอวิ๋นเฉิงไม่สามารถซ่อนข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตได้ แต่ใครจะรู้ว่าสมาคมแฮกเกอร์กลับไม่มีคำตอบให้เขาสักประโยคเดียว
**
ฉินหร่านกลับมาถึงหอพักเรียบร้อยแล้ว
ตอนที่เธอกลับไป หลินซือหรานกำลังเล่นเกมอยู่
เธอเอียงหน้าเล็กน้อยเมื่อเจอฉินหร่าน “หร่านหร่าน น้าเธอเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่เป็นอะไร” ฉินหร่านเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเอาผ้าขนหนูและเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ
เมื่อเห็นว่าฉินหร่านบอกว่าไม่เป็นอะไร หลินซือหรานก็ถึงจะโล่งอก จากนั้นก็คุยอะไรบางอย่างกับพวกผู้ชายอีกไม่กี่คนที่อยู่ในเกม
หลินซือหรานกำลังเปิดเสียงตีสมรภูมิกับเฉียวเซิงและยังมีผู้ชายคนอื่นในห้องเรียนอีกไม่กี่คน
ฉินหร่านลากเก้าอี้มานั่ง ขณะเปิดคอมพิวเตอร์ก็ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมไปด้วย
โทรศัพท์บนโต๊ะสว่างขึ้น เธอเหลือบมองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่กู้ซีฉือที่ส่งมา แต่เป็นข่าวงานไหว้ครูของอาจารย์เว่ย
เขากับเฉินซูหลานเทียบปฏิทินโดยเลือกวันที่ 3 ธันวาคมซึ่งเป็นวันอังคารหน้า ยังเหลือเวลาอีกสองถึงสามวัน
ยังถามฉินหร่านอีกว่ามีเพื่อนที่อยากจะชวนไปไหม
ฉินหร่านไม่มีความเห็นกับเรื่องหัวโบราณแบบนี้ อาจารย์เว่ยเลือกเวลา เธอก็ตามใจเขา เธอจ้องประโยคสุดท้ายที่อาจารย์เว่ยส่งมาสักพัก…
ฉินหร่านเอียงหน้ามองไปทางหลินซือหรานที่กำลังเล่นเกม หรี่ตาพลางใช้ความคิดอยู่นาน
ฉินหร่านไม่ได้สนใจกับงานเลี้ยงไหว้ครูอะไรพวกนี้
แต่เฉินซูหลานน่าจะอยากเห็นเธอพาเพื่อนมาด้วย
หลินซือหรานมีไพ่เทพอยู่สามใบ ตอนตีสมรภูมิเธอออกไพ่ทีเดียวสามใบ ฝ่ายตรงข้ามถึงกับเปิดเสียงหวาดกลัว จบเกมอย่างรวดเร็ว
“หร่านหร่าน เธอมาเล่นด้วยกันไหม?” หลังจากเล่นจบไปแล้วหนึ่งเกม หลินซือหรานก็วางเมาส์ อีกมือหนึ่งยังเคาะแป้นพิมพ์พลางเอียงหน้ามองฉินหร่าน
ฉินหร่านเช็ดผมอยู่เงียบๆ วางเท้าบนเก้าอี้อย่างเถื่อน เธอส่ายหน้าแล้วถามว่า “วันอังคารว่างไหม?”
“วันอังคารเหรอ?” หลินซือหรานตอบด้วยความเสียดายนิดๆเมื่อได้ยินว่าฉินหร่านไม่เล่น
“ว่าจะชวนเธอกับเฉียวเซิงทานข้าว แล้วก็คนอื่นด้วย” เช็ดได้ไม่นานฉินหร่านก็โยนผ้าขนหนู
หลินซือหรานเท้าคางยิ้ม “อย่างงั้นก็ต้องว่างอยู่แล้ว!”
ฉินหร่านพยักหน้า มือที่ถือโทรศัพท์กดเบาๆ
กู้ซีฉือส่งผลการตรวจมาแล้ว แต่กลับไม่บอกอะไรสักคำ เธอเหลือบดูแต่ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
เหยียนซีเริ่มทิ้งระเบิดเธออีกแล้ว
ฉินหร่านไม่สนใจ
เฉียวเซิงก็ชวนแล้ว งั้นพวกเฟิงโหลวเฉิงล่ะ?
หยางเฟยก็ดูเหมือนจะอยู่ในอวิ๋นเฉิง?
ฉินหร่านเอนหลังพิงเก้าอี้ โยนโทรศัพท์ลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
**
หอพักของสวีเหยากวง
เด็กผู้ชายสองสามคนนั่งประจำโต๊ะตัวเองเพื่อสุมหัวกันต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม
เนื่องจากทั้งชั้นเรียนมีแค่เขาคนเดียวที่เป็นห้องเดี่ยว ห้องเดี่ยวนี้ทั้งใหญ่และอยู่เกือบท้ายสุดทางเดิน แม้แต่โต๊ะยังยาวถึงสองเมตรกว้างหนึ่งเมตร
เด็กผู้ชายในห้องยังชอบนัดกันมาเล่นไพ่นกกระจอกที่นี่ด้วย
แม้สวีเหยากวงจะเป็นคนเย็นชาอยู่บ้าง แต่ก็ใจกว้างกับเรื่องแบบนี้ บางครั้งยังเล่นไพ่นกกระจอกกับพวกเขาอีกด้วย
“เจ๊หร่านไม่ตีสมรภูมิกับพวกเรา” เฉียวเซิงเงยหน้าเมื่อได้รับการตอบกลับจากหลินซือหราน
เด็กผู้ชายสองคนถอนหายใจยาว
เหอเหวินก็ยิ่งหดหู่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขานึกถึงตอนที่ฉินหร่านอยากจะเล่นเกมกับเขาแต่โดนเขาปฏิเสธ เขาก็รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
สวีเหยากวงเก็บคอมพิวเตอร์ ก้มหน้าลงหยิบเอาแบบฝึกหัดออกมาทำ
“วันอังคารเจ๊หร่านชวนฉันกินข้าว” เฉียวเซิงมองไปทางสวีเหยากวงแล้วยิ้มพลางเอนตัวพิงเก้าอี้ “คุณชายสวี นายสนใจไปกินด้วยไหม?”
วันศุกร์ฉินหร่านขอลาหยุด สวีเหยากวงก็มักจะหันไปมองที่นั่งของเธอ
ชวนทานข้าว?
สวีเหยากวงส่ายหน้าโดยไม่สนใจและทำแบบฝึกหัดฟิสิกส์ต่อไป
ทำได้เพียงครึ่งทาง โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น
สวีเหยากวงหยิบขึ้นมาดูและเดินออกไปรับสาย
“ฉินอวี่เหรอ?” เหอเหวินและคนอื่นๆเหลือบมองพลางกระซิบ
คบหากันมาสองปีกว่า สวีเหยากวงจะมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับฉินอวี่ แต่ช่วงนี้ดูเหมือนจะจืดชืดลงไปมาก
เฉียวเซิงส่ายหัวส่งๆ “คุณชายสวีสนใจแค่สองสิ่งนั้น”
เหอเหวินก็หัวเราะ “ช่วงนี้ยังเห็นข่าวของฉินอวี่ในเน็ตด้วย แฟนคลับเธอในเวยป๋อเกือบจะสามแสนคนเข้าแล้ว พอฉันลองฟังมันก็ดีจริงๆ”
มีคนเผยแพร่วิดีโอของฉินอวี่บนโลกออนไลน์
เพราะเรื่องนี้จึงทำให้เธอกลายเป็นกระแสบนโลกออนไลน์และมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ช่วงนี้มีคนพูดถึงเธอเป็นจำนวนมาก
**
วันจันทร์
ตอนเที่ยง ฉินหร่านไปห้องพยาบาลประจำโรงเรียนหลังจากที่หายหน้าหายตาไปนาน
ลู่จ้าวอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังจัดยาให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นหวัด เมื่อเห็นฉินหร่านเข้ามา
เฉิงเจวี้ยนก็กำลังเปิดแฟ้มเอกสารราชการ มือหนึ่งถือปากกา อีกมือหนึ่งถือบุหรี่ พลางวาดอะไรบางอย่างลงในเอกสารเป็นครั้งคราว
ฉินหร่านลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามเขา
ฟุบบนโต๊ะอย่างเกียจคร้าน
เฉิงเจวี้ยนหลุบตามองเธอ จากนั้นก็คีบบุหรี่ยืนขึ้นและเดินไปเปิดหน้าต่าง รอจนกว่าควันบุหรี่จะหายไปก็ถึงจะปิดหน้าต่างและเดินมา
ถามเธอเกี่ยวกับอาการป่วยของหนิงเวยไม่กี่คำ เธอตอบทีละอย่าง
หนิงเวยฟื้นฟูสภาพจิตใจได้ดีมาก เมื่อวานเธออยากจะคืนห้องผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับบ้าน แต่โชคดีที่มู่หนานห้ามไว้
เฉิงเจวี้ยนแอบคิดไว้แล้ว เขากลับไปนั่งและหยิบเอกสารราชการขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้อ่าน แค่พิงพนักเก้าอี้แล้วถามฉินหร่าน “อาจารย์ที่เธอไปหาเป็นครูสอนอะไร?”
ลู่จ้าวอิ่งหยิบยายื่นให้เด็กผู้ชายคนนั้น เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ยกถีบโต๊ะแล้วเลื่อนเก้าอี้มาตรงกลาง
“จริงด้วย ฉินเสี่ยวหร่าน เธอกับอาจารย์นั่นเรียนอะไรกัน? เล่นเกม?”
เขาแตะคางพูดถึงความเป็นไปได้
“แค่ครูแก่ๆคนหนึ่ง” ฉินหร่านวางมือบนคางพร้อมกับพูดอย่างคลุมเครือ
“พรุ่งนี้พวกนายก็จะได้เจอแล้วนี่ รีบร้อนไปทำไม?” เจียงตงเยี่ยผลักประตูมาจากด้านนอก เขาดึงผ้าพันคอสีดำรอบคอของเขาลงและพูดเรียบๆ
เฉิงมู่และผู้บัญชาการห่าวก็ตามมาด้วย
“ทำไมกลับมากันตอนนี้ล่ะ?” ลู่จ้าวอิ่งเองก็ถาม เดิมทีเขาต้องการจะบอกว่าเขาสามารถหาอาจารย์ที่ดีกว่านี้ให้ฉินหร่านได้ แต่เขาไม่ได้พูดต่อหน้าคุณชายเจวี้ยน
เจียงตงเยี่ยยืมกำลังคนมาจากอาของเขา เขาจำต้องพลิกเมืองอวิ๋นเฉิงตามหาตัวกู้ซีฉือ
ทุกจุดสำคัญมีคนของเขาอยู่
“ฉันไม่กล้ารบกวนเวลาอาทำงาน” เจียงตงเยี่ยลากเก้าอี้มานั่งแล้วห้อยผ้าพันคอไว้ที่พนักเก้าอี้ “หลังเลิกงานฉันไปหาเขาแต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะไปลองเสื้อผ้า ได้ยินคนคุ้มกันบอกว่ามีงานจัดเลี้ยง”
เฉิงมู่วางอาหารลงบนโต๊ะ ลู่จ้าวอิ่งหยิบตะเกียบพลางเงยหน้าด้วยความแปลกใจ “งานจัดเลี้ยงอะไร อาเจียงถึงได้ให้ความสำคัญขนาดนี้?”
“ใครจะไปรู้ ตอนเย็นฉันค่อยไปหาเขาอีกรอบ” เจียงตงเยี่ยกินข้าวได้อย่างเรียบร้อย ตอบแบบไม่สนใจ “หากู้ซีฉือไม่เจอ ฉันก็ไม่กลับเมืองหลวง”
ฉินหร่านเงยหน้ามองเจียงตงเยี่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เจียงตงเยี่ยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาเธอ ขณะหยิบตะเกียบก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “ได้ยินมาว่ามีคนมีชื่อเสียงอยู่ในกองสืบสวนอาชญากรรม ฉันจะไปหาเขาให้ช่วยปิดข่าวศุลกากร ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแบบนี้กู้ซีฉือยังจะสามารถบินหนีไปได้”
**
ทางด้านอาจารย์เว่ยก็ได้กำหนดบุคคลที่ต้องการเชิญแล้ว
เดิมทีเขายังคิดว่าทางด้านเฉินซูหลานจะเชิญเพียงไม่กี่คน ไม่คิดเลยว่าท้ายที่สุดแล้วเฉินซูหลานจะเชิญมาถึงแปดคน
“ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเพื่อนนักเรียนของฉินหร่าน” อาไห่เปิดดูลำดับขั้นตอน “ผมจะเพิ่มอาหารที่เด็กวัยรุ่นชอบกินอีกสักสองสามอย่าง”
อาไห่เคยไปเมืองหนิงไห่กับอาจารย์เว่ยมาก่อน เป็นธรรมดาที่เขาย่อมรู้ถึงพรสวรรค์ของฉินหร่าน
และทราบดีว่าอาจารย์ว่ยสนใจในตัวฉินหร่านขนาดไหน
วันนี้ในอวิ๋นเฉิงยังถือว่าเล็กๆน้อยๆ คุณชายเจียงถือว่ามีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในนี้
แม้อาไห่จะไม่พึงพอใจ แต่ในเวลานี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้ รอไปถึงเมืองหลวงถึงจะเป็นการทำสงครามพิชิตภารกิจที่ยิ่งใหญ่ พอถึงตอนนั้นเขาคิดถึงเรื่องการเชิญแขกที่มาร่วมงานเลี้ยงให้อาจารย์เว่ยเรียบร้อยแล้ว
อาจารย์เว่ยต้องการรับลูกศิษย์ด้วยตัวเอง แค่ข่าวนี้เพียงข่าวเดียวก็สั่นสะเทือนไปค่อนวงการ
คราวนี้บวกกับคนของอาจารย์เว่ยที่มาจากสมาคมไวโอลินก็เต็มสองโต๊ะพอดี
งานเลี้ยงนี้อาจารย์เว่ยจองไว้ที่โรงแรมเอินอวี้
วันอังคาร
หลังเลิกเรียนในช่วงบ่าย ฉินหร่านนั่งรออยู่ที่โต๊ะอย่างเอื่อยเฉื่อย เสียบหูฟังไว้ที่หู รอจนคนในห้องไปกันหมดแล้ว เธอถึงจะถอดหูฟังวางไว้ข้างๆอย่างลวกๆ
หลินซือหรานเองก็เก็บของเสร็จพอดี
“หร่านหร่าน งั้นพวกเราไปกันเลยไหม?” เธอเอียงหน้ามองไปทางฉินหร่าน
ฉินหร่านค้ำโต๊ะยืนขึ้นและเดินนำหน้าไปก่อน
พานหมิงเย่ว์และเว่ยจื่อหังรอให้ทั้งสามคนลงมาที่หน้าบันได
วันปกติเว่ยจื่อหังมักจะสวมชุดสบายๆ ส่วนมากเป็นชุดกีฬาและกางเกงลำลอง แต่วันนี้เขาสวมเสื้อกันลมสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในซึ่งดูค่อนข้างเป็นทางการ
พานหมิงเย่ว์ก็ไม่ได้สวมชุดนักเรียน เสื้อถักพร้อมด้วยกระโปรงโดยมีเสื้อโค้ตคลุมอยู่ด้านนอก ที่มือยังสวมถุงมือขนปุกปุย
ทีแรกหลินซือหรานและเฉียวเซิงยังคิดอยู่เลยว่าเป็นมื้ออาหารที่ทานกันสบายๆ
จนกระทั่งรถแท็กซี่ทั้งสองคันมาหยุดที่หน้าโรงแรมเอินอวี้ ทั้งสองมองด้วยความตกตะลึง
มื้อใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?!
“วันนี้เป็นงานไหว้ครูของเธอ เธอไม่ได้บอกพวกนายเหรอ?” เว่ยจื่อหังเขย่ากล่องของขวัญที่เขาเตรียมไว้แล้วยิ้มอย่างสง่างาม
พานหมิงเย่ว์ไม่ได้ถือกล่องของขวัญ แต่กระเป๋าเป้ใบเล็กที่สะพายหลังนั้นดูพะรุงพะรัง
เฉียวเซิงเกาหัว เขาเตรียมจะส่งซองแดงให้ฉินหร่าน
หลินซือหราน “…ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีแค่หญ้าต้นเดียว”
แบบนี้จะดูไม่มีมารยาทหรือเปล่านะ?
หลินซือหรานมองฉินหร่านด้วยความคับแค้นใจ
**
ฉินหร่านไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ เธอเปิดโทรศัพท์ดูข้อความที่อาไห่ส่งให้เธอ
ชั้นบนสุดโรงแรมเอินอวี้
ชั้นบนสุดคล้ายกับคลับเฮาส์พาราไดซ์
บริเวณทางเข้าโรงแรมมีพนักงานคอยต้อนรับอยู่สองคน ถามพวกเขาว่าใช่แขกที่มางานเลี้ยงของคุณเฉินหรือไม่ จากนั้นก็พาพวกเขาขึ้นไปยังชั้นบนสุดอย่างสุภาพ
ห้องชั้นบนสุดมีพื้นที่ใหญ่มาก
ประธานสมาคมไวโอลินและบุคคลสำคัญอีกไม่กี่คนมาถึงกันแล้ว อาไห่กำลังต้อนรับพวกเขา เมื่อเห็นฉินหร่านและคนอื่นๆมาแล้วก็รีบเข้าไปหา
“ทั้งหมดนี้เป็นเพื่อนนักเรียนของคุณฉินสินะครับ มานั่งทางนี้ครับ” อาไห่พาพวกเขาไปนั่งอีกโต๊ะ “คุณฉินยังมีเพื่อนนักเรียนคนอื่นอีกไหมครับ?”
“ยังเหลืออีกไม่กี่คน” ฉินหร่านก้มหน้าดูโทรศัพท์ ลู่จ้าวอิ่งบอกว่าพวกเขากำลังจะมาถึง “ใกล้จะถึงแล้วค่ะ”
อาไห่พยักหน้ายิ้ม “อาจารย์เว่ยไปรับคุณยายของคุณ เดี๋ยวก็คงกลับมา”
เฉียวเซิงตบไหล่เว่ยจื่อหังด้วยความระมัดระวัง “เจ๊หร่านไหว้ครูอะไรน่ะ?”
เขารู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ
**
ข้างล่างตึก
เฉิงมู่เอารถไปจอดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ลู่จ้าวอิ่งเดินลงมาจากฝั่งข้างคนขับ เขาอ่านข้อความที่ฉินหร่านส่งมาในโทรศัพท์ ค่อนข้างแปลกใจ “ชั้นบนสุด ดูเหมือนอาจารย์คนนี้จะรวยกว่าเธอนะ”
เฉิงเจวี้ยนลงจากประตูรถด้านหลังและรวบเสื้อโค้ตเข้าด้วยกันอย่างเงียบๆ
เฉิงมู่พยักหน้าตาม “แน่นอน ดูสูงส่งกว่าที่คิด”
ทั้งสามเดินเข้าไปในโรงแรม
หลังจากพนักงานที่หน้าประตูสอบถามก็พาทั้งสามคนไปที่ชั้นบนสุดอย่างสุภาพ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก——
เสียงเคาะประตูดังสามครั้ง มีคนเปิดประตูมาจากด้านใน