เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 182 จะแนะนำเทพให้รู้จัก
ผู้บัญชาการห่าวพูดจบ ฝั่งเจียงตงเย่ไม่พูดไม่จาอยู่นาน
“คุณชายเจียงๆ” ผู้บัญชาการห่าวเดินออกไปข้างนอกอีก เกือบจะคิดว่าสัญญาณขาดไปเสียแล้ว
“อา” เจียงตงเย่ได้สติในที่สุด
เขาคุยกับผู้บัญชาการห่าวอีกไม่กี่ประโยค วางสายอย่างแข็งทื่อ
ตั้งแต่เจียงตงเย่ได้ยินผู้บัญชาการเฉียนมาหาฉินหร่านในตอนแรก จากนั้นก็ได้ยินผู้บัญชาการเฉียนพูดถึงงานไหวครู ก็รู้สึกแล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
ฉะนั้นโทรหาผู้บัญชาการห่าวโดยตรง เมื่อฟังผู้บัญชาการห่าวพูดจบ…เหมือนว่าฉินหร่านต่างหากที่เป็นคนสำคัญของทั้งเรื่อง…
สมองของเขาขาวโพลน มีเสียงวิ้งดังสนั่นหวั่นไหว
ยืนตัวแข็งอยู่กับที่
เฉิงมู่ออกมา กระแอมทีหนึ่ง “คุณชายเจียง เป็นอะไรหรือเปล่า”
เจียงตงเย่ “…”
เจียงตงเย่จะร้องไห้แล้ว
ฉินหร่านที่ลู่จ้าวอิ่งบรรยายน่าสงสารยิ่งนัก ทำงานพาร์ทไทม์หลายงาน ผู้บัญชาการเฉียนเป็นใคร บุคคลยอดฝีมือแห่งหน่วยอาชญากรรมในประเทศ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยคิดว่าทั้งคู่จะรู้จักกัน
หากรู้แต่แรกว่าจะเจอผู้บัญชาการเฉียนในงานเลี้ยงของฉินหร่าน ตอนนั้นเขาจะไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนอันจริงใจของลู่จ้าวอิ่งเด็ดขาด!
เจียงตงเย่ลูบหน้าอกของตัวเอง รู้สึกเหมือนลำไส้บิดตัว เลือดลมจุกแน่นตรงหน้าอก เสียใจสุดๆ!
ตอนแรกเจียงตงเย่ตั้งใจว่าจะกลับไปกับผู้บัญชาการห่าว เซ้าซี้จนกว่าเขาจะรับปาก
ตอนนี้กลับเข้าห้องพยาบาลไปพร้อมกับเฉิงมู่
เฉิงมู่เห็นชาในแก้วของฉินหร่านดื่มหมดแล้ว จึงถือกาน้ำที่ยังร้อนอยู่จะไปรินชาให้ฉินหร่าน
การกระทำเหล่านี้ดูเป็นธรรมชาติ
“ปล่อยมือ!” เจียงตงเย่ชิงตัดหน้าทันที เขาแย่งกาน้ำจากมือเฉิงมู่ ไปรินชาให้ฉินหร่านแทน
“คุณหนูฉิน หนาวไหม ร้อนหรือเปล่า อุณหภูมิพอดีไหม
อยากเติมน้ำอีกไหม”
มือของเฉิงมู่ยังอยู่ในท่าถือกาน้ำ นิ่งอยู่กับที่ “…”
มือของลู่จ้าวอิ่งวางอยู่บนคีย์บอร์ด เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเจียงตงเย่ก็ขำพรืด
ช่วงนี้ลู่จ้าวอิ่งแก้ชื่อในเกมเป็น ‘พาฉินเสี่ยวหร่านไปให้ถึงระดับจักรพรรดิ’
แน่นอนว่า เขาเคยเล่นเกมกับฉินหร่านแค่ครั้งเดียว ฉินหร่านยังคงใช้บัญชีของเฉิงเจวี้ยน จนทุกวันนี้ลู่จ้าวอิ่งก็ยังไม่รู้ว่าบัญชีของฉินหร่านคืออะไร
คืนนี้ฉินหร่านไม่ได้พกสมุดคัดลายมือและวรรณกรรมมา ไม่เอาเป้มาด้วยซ้ำ
หลังกินข้าวเสร็จ ลู่จ้าวอิ่งจะชวนฉินหร่านเล่นเกมด้วยกัน
ในห้องเรียนไม่มีฮีตเตอร์ ฉินหร่านคิดครู่หนึ่ง ก็รับปากลู่จ้าวอิ่งอย่างไม่ลังเล
ยังคงใช้บัญชีอันก่อนของเฉิงเจวี้ยน
ลู่จ้าวอิ่งใช้คอมพิวเตอร์พีซี ส่วนฉินหร่านก็ใช้โน้ตบุ๊กที่เธอใช้เป็นประจำ นั่งตรงข้ามเขา
เมื่อล็อกอินเข้าบัญชีของเฉิงเจวี้ยน ก็กดดูหน้าการ์ดตัวละคร
การ์ดสวรรค์ พสุธาและมนุษย์มีครบ
การ์ดเทพ…
0
ฉินหร่านหรี่ตา ลู่จ้าวอิ่งเร่งเร้าเธอ ให้เธอรีบกดรับคำเชิญร่วมทีม ฉินหร่านกดยอมรับอย่างไม่รีบเร่ง
ฉินหร่านควบคุมตัวละครอย่างเชื่องช้า แม้จะไม่เร็ว แต่การเคลื่อนไหวเท่สุดๆ ทุกสกิลที่ปล่อยใส่ลู่จ้าวอิ่งล้วนแม่นยำ
เจียงตงเย่ก็เล่นเกมเหมือนกัน แต่แม้เขาจะดูสตรีมมิ่งบ่อยๆ แต่วนเวียนอยู่ในขอบเขตของมือสมัครเล่นมาตลอด จึงลากเก้าอี้มานั่งข้างฉินหร่าน ทำหน้าที่ตะโกนว่าสุดยอดโดยเฉพาะ
“ในนี้มีข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน” เจียงตงเย่ชี้ไปที่มุมขวาบนของเกม
บนไอคอนจดหมายมีจุดสีแดง
ฉินหร่านละสายตา ตอบอืม แต่ไม่เปิดดู
จุดแดงอันนี้ ฉินหร่านเห็นตั้งแต่ล็อกอินเข้าบัญชีของเฉิงเจวี้ยนครั้งก่อนแล้ว
“จะว่าไป ตอนนี้ท่านเจวี้ยนเกือบจะได้ไปแข่งแล้ว” เจียงตงเย่เอนตัวพิงพนัก พูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “แต่เพื่อนร่วมทีมที่สุดยอดมากคนหนึ่งหายตัวไปกะทันหัน ไม่งั้น…วันนี้คงไม่มีหยางเฟยแล้ว”
เรื่องนี้มีแค่ผู้เล่นในรุ่นแรกเท่านั้นที่จำได้
ตอนนั้นคนที่เก่งที่สุดในโซนหนึ่งคือชาวจีนสองคน
ต่อมาหยางเฟยก็พาการ์ดเทพสามใบสร้างชื่อในเอเชีย คว้าแชมป์แรกในประเทศมาครอง
หยางเฟยสร้างตำนาน ทีม OST สร้างตำนาน
ฉินหร่านกลับหอพักตั้งแต่สามทุ่มครึ่งแล้ว
ลู่จ้าวอิ่งนับคะแนนของคืนนี้ ประเด็นเป็นเพราะการ์ดตัวละครที่จู่โจมด้วยไฟเป็นหลักอย่างไท่ซ่างเหล่าจวิน ไม่แพ้แม้แต่ตาเดียว แถมดาเมจของเขายังสุดยอดไปเลย
เขายกมือขึ้นลูบต่างหู คิดว่าสกิลของตัวเองเพิ่มขึ้นแล้ว จึงอดมองเฉิงเจวี้ยนไม่ได้ “ท่านเจวี้ยน นายจะเอาบัญชีของตัวเองกลับมาไหม ครั้งหน้าเราฟอร์มทีมสามคนกัน”
เฉิงเจวี้ยนกำลังเอี้ยวตัว ยื่นมือไปปิดวิดีโอชำแหละอย่างไม่รีบร้อน เมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็อดหรี่ตาไม่ได้ กำลังตั้งใจขบคิดความเป็นไปได้ข้อนี้
ลู่จ้าวอิ่งออกจากหน้าหลัก มีจุดแดงปรากฏขึ้นบนแถบเพื่อน
‘กุหลาบบานกี่ครั้งได้ส่งคำขอเป็นเพื่อนกับคุณ’
กุหลาบบานกี่ครั้ง? ลู่จ้าวอิ่งครุ่นคิด จากนั้นถามเฉิงมู่ “ใช่ไอดอลของนายหรือเปล่า”
เฉิงมู่เขยิบเข้ามาดูแล้วพยักหน้า แววตาเป็นประกาย “ใช่”
โอวหยางเวยใช้ชื่อนี้ทุกบัญชี เฉิงมู่จำได้แม่น
ลู่จ้าวอิ่งกดยอมรับลวกๆ
หลังเขากดยอมรับแล้ว คำเชิญของโอวหยางเวยก็ตามมาทันที
ตอนแรกลู่จ้าวอิ่งอยากกลับไปนอนแล้ว เมาส์ชี้ไปที่ปุ่ม ‘ปฏิเสธ’ แล้ว แต่เมื่อเหลือบมอง ก็เห็นโอวหยางเวยระดับ ‘ปรมาจารย์เก้าดาว’!
เขาสะดุ้งโหยง “คุณพระ!”
ลู่จ้าวอิ่งรีบกดยอมรับทันที!
มือสมัครเล่นอย่างเจียงตงเย่ไม่ค่อยสนใจโอวหยางเวยมากนัก จึงไปถกปัญหาเรื่องฉินหร่านกับเฉิงมู่ แต่เฉิงมู่กำลังดูลู่จ้าวอิ่งกับโอวหยางเวยฟอร์มทีม คุยกับเจียงตงเย่อย่างไม่มีสมาธิจดจ่อ
…
เช้าวันต่อมา
ทางเหยียนซีออฟฟิเชียลก็ปล่อยคลิปวิดีโอเบื้องหลังมิวสิกของวิดีโอตัวใหม่
พร้อมกับเมนชั่นถึงนักแสดงหลักกับตัวประกอบคนหนึ่ง เหล่าแฟนคลับทั้งหญิงชายนับไม่ถ้วนของเหยียนซีก็พบความผิดปกติทันที
รีบขุดคุ้ยหลี่ซวงหนิงทันที หลังหลี่ซวงหนิงเดบิวต์ก็รักษาภาพลักษณ์ได้ดีมาโดยตลอด แต่เพียงแค่ยุ่งเกี่ยวกับวงการบันเทิง เคยปั่นกระแส ก็มักจะมีข่าวเสียหายหลงเหลืออยู่ดี
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์ในโรงแรมอวิ๋นติ่ง กระแสบนโลกออนไลน์พุ่งทะยาน
ในหนึ่งปีเหยียนซีจะปล่อยเพลงแค่ไม่กี่เพลง ช่วงนี้โฆษณาว่ามีเพลงใหม่ ระดับความนิยมอย่างเขาต้องครองประเด็นร้อนส่วนใหญ่อยู่แล้วเป็นธรรมดา
ข่าวที่เกี่ยวกับเขาล้วนเป็นประเด็นซุบซิบของชาวเน็ต
หลินฉีไปบริษัทตอนเช้า เว็บไซต์บนมือถือก็แนะนำข่าว ‘ทำไมหลี่ซวงหนิงถึงโดนราชาเพลงอัจฉริยะแบล็คลิสต์ ความจริงเป็นแบบนี้…’ ให้อัตโนมัติ
ปกติหลินฉีจะติดตามเฉพาะข่าวประเภทการเงินและเศรษฐกิจ
ข่าวบันเทิงแบบนี้ปกติเขาไม่อ่านเลย แต่ช่วงนี้ชื่อของหลี่ซวงหนิงโผล่มาค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเมื่อวานที่หลี่ชิวโทรศัพท์เข้ามาเป็นการเฉพาะ
หลินฉีเป็นนักธุรกิจ ประสาทสัมผัสไวอยู่แล้ว เขากดเปิดหัวข้อแนะนำของเว็บไซต์ จมอยู่ในภวังค์ความคิด
ทุกอย่างบังเอิญเกินไป ตัวประกอบมิวสิกวิดีโอของเหยียนซีเปลี่ยนตอนไหนไม่เปลี่ยน จู่ๆ พอเกิดเหตุการณ์ในโรงแรมขึ้น ก็เปลี่ยนตัวกะทันหัน และสายที่โทรเข้ามาเมื่อวานนั่นด้วย…
ขณะที่หลินฉีกำลังครุ่นคิด ผู้ช่วยก็เคาะประตูด้านนอก “ประธานหลินครับ ด้านนอกมีคุณหลี่ท่านหนึ่งอยากพบท่าน”
“ให้เธอเข้ามา” หลินฉีนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน
ไม่นาน หลี่ชิวกับหลี่ซวงหนิงก็เข้ามา
สีหน้าที่แข็งกร้าวอยู่เสมอดูไม่ค่อยสู้ดี ใต้ตาดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ปากก็มีแผลพุพอง
หลี่ซวงหนิงแต่งหน้าหนาเตอะ แต่ต่อให้หนาแค่ไหนก็บดบังความเหนื่อยล้าของเธอไม่มิด เธอดูหม่นหมองกว่าที่ผ่านมาเยอะทีเดียว
“ประธานหลิน เราอยากถามเบอร์โทรศัพท์ของคุณหนูฉินกับคุณ เรามีเรื่องอยากคุยกับเธอ” หลี่ชิวพูดกับหลินฉีอย่างสุภาพ ฟังออกว่าร้อนใจ
เมื่อคืนเธอโทรหาฉินฮั่นชิวแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมบอกข้อมูลอะไรของฉินหร่านเลยแม้แต่นิด ถึงต้องถ่อมาหาสกุลหลิน
หลินฉีกังวลใจยิ่งกว่า ในมือเขาถือบุหรี่
หลังทั้งคู่ได้เบอร์โทรศัพท์ไปแล้ว หลินฉีก็เอนตัวพิงพนัก เงียบงันอยู่นาน
ใต้ตึก
หลี่ซวงหนิงขึ้นรถ สวมแว่นกันแดดอีกครั้ง ใบหน้าเฉยชาอย่างยิ่ง
“ทำไมเมื่อกี้ไม่เตือนหลินฉี” หลี่ซวงหนิงมองหลี่ชิว
เธอหมายถึงเรื่องของฉินหร่าน
หลี่ชิวกำลังโทรหาฉินหร่าน เมื่อได้ยินก็เม้มปาก “เรื่องเมื่อวานถึงเราจะมุทะลุ แต่ฝั่งสกุลหลินก็ใช่ว่าจะไม่มีความผิด ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ลำบากกันให้หมดนี่แหละ หลังขอโทษคุณหนูฉินแล้ว เราสงบเสงี่ยม หายไปสักครึ่งปีก่อนดีกว่า รอให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลี่ชิวเลื่อนดูเวยป๋อ ตอนนี้ตัวประกอบในมิวสิกวิดีโอของเหยียนซีขึ้นฮอตเสิร์ชอันดับสาม ราวกับมีดเล่มหนึ่งค่อยๆ กรีดลงกลางใจ
วงการบันเทิงเป็นแบบนี้แหละ หากไม่ระวังก็จะเผลอล่วงเกินคนอื่นเข้า หลี่ซวงหนิงเดบิวต์สองปี นับว่าระแวดระวังมากพอแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะไต่เต้าจนมีวันนี้ เพราะประโยคเดียวของฉินหร่าน ทุกอย่างกลับสูญเปล่า!
หลี่ซวงหนิงปิดคอมเมนต์ในเวยป๋อแล้ว แต่ก็อดดูตัวประกอบของมิวสิกวิดีโอที่เดิมทีมันเป็นของเธอไม่ได้ ตอนแรกเธอคิดว่าจะใช้ตัวละครตัวนี้สร้างความนิยมให้ตัวเอง แต่ใครจะคิดว่าจะตกลงมายังจุดเริ่มต้น
เธอหลับตาลง อดคิดไม่ได้ว่า ผู้หญิงคนเมื่อวานเป็นใครกันแน่
…
เลิกเรียนตอนบ่าย
ณ โรงพยาบาล
ฉินหร่านไปเยี่ยมหนิงเวยก่อน
เฉิงเจวี้ยนไปดูสภาพบาดแผลของหนิงเวยพร้อมเธอ แพทย์หลายคนที่ทำหน้าที่บันทึกอาการของหนิงเวยลงมาจากตึก มาคุยปัญหาหลังจากนี้กับเฉิงเจวี้ยน
เฉิงเจวี้ยนรับแฟ้มประวัติมาจากแพทย์คนหนึ่ง มองหนิงเวยแวบหนึ่ง ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเดินออกไปที่โถงทางเดิน
แพทย์กับพยาบาลทั้งห้องตามเขาออกไปที่โถงทางเดิน
ห้องเงียบลงในพริบตา
โน้ตบุ๊กของมู่หนานวางอยู่อีกทาง บนหน้าจอมีโปรแกรมแปลภาษาอังกฤษ กับพจนานุกรมภาษาอังกฤษเป็นกอง
พอเห็นฉินหร่านมา เขาก็วางงานแปลภาษาในมือลงชั่วคราว
“หรานหร่าน” หนิงเวยให้มู่หนานปรับเตียงให้เอนขึ้น จากนั้นก็ควานหากระดาษซีดเหลืองแผ่นนั้นออกจากใต้หมอน
ยื่นให้ฉินหร่าน
ฉินหร่านไม่นั่ง เพียงแค่เอนตัวพิงตู้ข้างเตียง ไม่รับ แค่เลิกคิ้ว “หนูไม่รับ”
หนิงเวยไม่พูดอะไร แต่พยายามยัดกระดาษแผ่นนั้นใส่มือฉินหร่าน “เก็บไว้เถอะ ค่ารักษาของน้าในครั้งนี้น่าจะไม่ถูกสินะ ไม่รู้ว่าพอหรือเปล่า”
เธอเบนสายตามองนอกหน้าต่าง เสียงค่อนข้างเบา
ฉินหร่านยกมือขึ้นจรดริมฝีปาก คิดๆ แล้วก็พูดว่า “ไม่เท่าไร สามพันหยวน”
สามพันหยวน ตอนนี้แค่ผ่าตัดเล็กๆ บวกค่าตรวจต่างๆ กับค่าห้องพักยังสูงกว่านี้เลย
หนิงเวยยิ้ม เธอลูบมือฉินหร่าน พูดเสียงเบาว่า “แกไม่รับ น้าก็ไม่สบายใจ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฉินหร่านก็ยกมือกดตรงหว่างคิ้ว จากนั้นพับกระดาษแผ่นนั้นลวกๆ ยัดใส่กระเป๋า
วันนี้เป็นวันศุกร์
และเป็นวันหยุดที่จะมีสองอาทิตย์ต่อครั้ง
ตอนบ่ายโรงเรียนจะเลิกก่อนเวลาสองคาบเรียน
มู่หยิงนั่งรถมาที่โรงพยาบาล เพราะอาการของหนิงเวย งานเลี้ยงที่หนิงฉิงพูดไว้จึงพักไว้ก่อน
เธอลงลิฟต์ที่ชั้นแปด ก็เห็นหน้าห้องของหนิงเวยมีแพทย์กลุ่มหนึ่งยืนออกันอยู่
และเฉิงเจวี้ยนที่ถูกแพทย์ทั้งกลุ่มรายล้อมอยู่ อีกฝ่ายสวมเสื้อโค้ตสีดำ รับกับใบหน้าอันหล่อเหลา
ผู้อำนวยการหลายคนที่เห็นได้ยากในเวลาปกติก็ล้อมเขาอยู่
ฉินหร่านเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วย
มู่หยิงสะดุ้งโหยง รีบหลบไปอีกทางหนึ่งเป็นพัลวัน
หลังจากเกิดเรื่องครั้งก่อน เธอก็กลัวฉินหร่านมาตลอด พวกหนิงฉิงไม่อยู่ในเขตหนิงไห่ ไม่รู้ชื่อเสียงของฉินหร่าน แต่มู่หยิงรู้ดีแก่ใจ
เมื่อมาอวิ๋นเฉิงนิสัยของฉินหร่านดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมาก แต่มู่หยิงกลับไม่มีวันลืมการกระทำในเขตหนิงไห่ของฉินหร่าน เธอมักจะรู้สึกว่าอีกด้านที่ซ่อนลึกอยู่ในตัวฉินหร่านจะปรากฏออกมาทุกเมื่อ
มู่หยิงมองฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนเข้าไปในลิฟต์แล้ว ถึงกล้าออกมาจากมุม
เม้มปากเล็กน้อย นึกเสียใจกับอารมณ์ชั่ววูบครั้งก่อนเป็นอย่างมาก
เธอเดินไปทางห้องพักผู้ป่วยของหนิงเวยด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น
มู่หยิงเห็นพยาบาลคนหนึ่งออกมาพอดี เธอจึงอดขวางพยาบาลคนนั้นไว้ไม่ได้ เพื่อถามว่าเฉิงเจวี้ยนเป็นใคร
ทำไมแพทย์หลายคนของโรงพยาบาลถึงรุมล้อมเขา กิริยาท่าทางก็ดูเคารพนอบน้อม
พยาบาลเป็นพยาบาลที่ดูแลหนิงเวย จำได้ว่าเธอเป็นลูกสาวของหนิงเวย จึงยิ้มให้มู่หยิง “เขาคือคุณเฉิง ถือว่าเป็นหมอคนหนึ่งเหมือนกัน เป็นเพื่อนของเจ้าของโรงพยาบาลเรา”
ไม่พูดอะไรมากกว่านี้แล้ว
เพื่อนของเจ้าของโรงพยาบาล?
มู่หยิงก้มหน้าเล็กน้อย เธอจำเฉิงเจวี้ยนได้อยู่แล้ว แต่จำได้ว่าอีกฝ่ายขับรถฟ็อลคส์วาเกิน ไปเป็นเพื่อนของเจ้าของโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไร
…
ลิฟต์มาหยุดที่ชั้นที่เฉิงซูหลานพักอยู่
พวกฉินหร่านเตรียมจะไปเซี่ยงไฮ้คืนนี้ เที่ยวบินรอบหนึ่งทุ่ม ฉินหร่านจึงคิดว่าหลังเยี่ยมหนิงเวยกับเฉินซูหลานเสร็จก็จะตรงไปสนามบินเลย
ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่รออยู่ที่หน้าลิฟต์ชั้นบน
ทั้งคู่รู้จักเฉินซูหลาน แต่ไม่รู้จักหนิงเวย จึงไม่ได้ลงไปเยี่ยม
เมื่อคืนลู่จ้าวอิ่งเล่นเกมจนดึก จึงหาวแล้วหาวอีก
เมื่อเห็นทั้งคู่ออกมาจากลิฟต์ เขาก็รีบเข้าไปหาฉินหร่าน “ฉินเสี่ยวหร่าน คืนนี้เล่นอารีนากันต่อเถอะ ฉันจะแนะนำเทพแรงค์สูงให้รู้จัก”
ช่วงนี้ทีม OST มีแข่งกับประเทศ H ในเซี่ยงไฮ้ คนส่วนใหญ่จึงพากันไปเล่นโหมดอารีนากันอย่างเลือดเดือดพล่าน
“กี่ดาว” ฉินหร่านล้วงกระเป๋ามือเดียว ถามส่งๆ ไป
เธอหมายถึงดาวของระดับจักรพรรดิ
ลู่จ้าวอิ่งรีบตอบทันควันว่า “เก้าดาว! ขาดอีกสองร้อยคะแนนจะได้เลื่อนขั้น!”
“จักรพรรดิเก้าดาวสายลุยเดี่ยวเหรอ ใช้ได้” ฉินหร่านพยักหน้า สมควรเรียกว่าเทพจริงๆ
ลู่จ้าวอิ่งตกใจกับคำว่าจักรพรรดิเก้าดาวของเธอ “…ฉันหมายถึงปรมาจารย์เก้าดาว ขาดอีกแค่สองร้อยคะแนนจะเลื่อนขั้น ชนะติดต่อกันสี่ครั้งรวดก็จะเลื่อนเป็นจักรพรรดิหนึ่งดาว”
ฝีเท้าของฉินหร่านชะงักไป เธอมองลู่จ้าวอิ่ง พูดอย่างเชื่องช้าว่า “ปรมาจารย์…เก้าดาว ดาวสูงแล้วเหรอ”
เฉิงมู่ที่อยู่อีกมุมหนึ่งพูดขึ้นว่า “คุณหนูฉิน คืออย่างนี้ คะแนนโซโลได้มายากมาก ถ้าระดับสากล จักรพรรดิสี่ดาวก็ถือว่าเป็นคะแนนโซโลของทีมมืออาชีพแล้ว ถ้าจักรพรรดิเก้าดาวละก็…ทีมมืออาชีพก็มีไม่กี่คนหรอกมั้ง