เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่ 86 นักสืบหญิงอันดับหนึ่ง
เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 86 นักสืบหญิงอันดับหนึ่ง
พอดูจนหมดแล้ว หลินฉีก็เข้าใจเรื่องนี้คร่าวๆ แล้ว
“ลุงหลิน คุณลุงดูไปก่อนนะคะ หนูขอตัวกลับโรงเรียนก่อนค่ะ” ฉินหร่านเห็นหลินฉีพลิกดูพอสมควรแล้ว จึงพูดกับเขาแล้วหันหลังเดินออกจากประตูไป
อาจเป็นเพราะบรรยากาศตอนนี้ หลินฉีไม่ได้อ่อนโยนเหมือนที่ผ่านมาแล้ว
ฉินอวี่ไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมาทันที
หลินฉีให้คนขับรถส่งฉินหร่านกลับโรงเรียน แต่ถูกฉินหร่านปฏิเสธ เขาเลยส่งเธอจนถึงนอกประตู
พอกลับมาอีกครั้ง สีหน้าก็เรียบเฉย นัยน์ตาเย็นเยือก
“ฉินหร่านให้ผมมาเมื่อกี้ พวกเธอสองคนลองดูให้หมด” หลินฉียื่นกระดาษพวกนั้นให้หนิงฉิง
พอหนิงฉิงดู ใจก็บีบรัดขึ้นมาทันที
ฉินอวี่กระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม หัวใจเต้นระรัว เดินเข้าหยิบกระดาษมาจากมือหนิงฉิง กวาดตามองจากบนลงล่าง
บันทึกบทสนทนาของเธอกับอู๋เหยียน บันทึกบทสนทนาของเธอกับเจ้าของแอคเคาต์คนนั้น และใบบันทึกการโอนเงินของอู๋เหยียน ทุกอย่างทุกบันทึกไว้อย่างชัดเจน
สีเลือดบนใบหน้าของฉินอวี่หายไปในพริบตา ลำคอเกร็งจนเห็นเส้นเลือด
ฉินหร่านที่เธอรู้จักเป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยมปลายแสนธรรมดาคนหนึ่ง ถึงขั้นว่าไม่ได้คิดปลอมตัวในตอนที่เธอโน้มน้าวเจ้าของแอคเคาท์ที่อู๋เหยียนจ้าง
ใครจะรู้ว่าบันทึกบทสนทนาเหล่านี้หรือแม้กระทั่งใบบันทึกการโอนเงินของธนาคารจะมาอยู่ในมือของหนิงฉิงได้
สิ่งที่เธอคาดการณ์ไว้ว่าเลวร้ายที่สุดก็คืออู๋เหยียนออกมาพูดทุกอย่าง ซึ่งเธอสามารถโต้แย้งได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรฉินอวี่ก็คิดไม่ถึงเลยว่า ฉินหร่านที่ลงมืออย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง นอกจากจะได้บันทึกบทสนทนามาไม่พอ แม้แต่ใบบันทึกการโอนเงินของธนาคารก็สืบเจองั้นเหรอ
เธอไปเอาความสามารถขนาดนี้มาจากไหน
“คุณพ่อ คุณแม่ ไม่ใช่แบบนี้นะคะ” ฉินอวี่กอดแขนหลินฉีแน่น น้ำตารื้นขอบตาอย่างรวดเร็ว “อู๋เหยียนเป็นเพื่อนของหนู หนูไม่รู้ว่าที่เธอมาขอแอคเคาท์ดูแลเวยป๋อกับหนูเพราะทำเรื่องพวกนี้ อีกอยากเธอจะไปจากอีจงแล้ว ยืมเงินกับหนู หนูจะไม่ให้ได้ด้วยเหรอ…”
เมื่อสัมผัสได้ว่าหลินฉียังคงตึงเครียด ความหวาดกลัวในใจของฉินอวี่ก็ทะลักออกในพริบตา
หลินฉีก้มหน้า มองเธอแวบหนึ่ง “อู๋เหยียนเป็นเพื่อนแก แกให้เธอหยิบเงินสองแสนโดยไม่ถามสักคำ เธอรู้ได้ยังไงว่าแกรู้จักกับเจ้าของแอคเคาท์คนนั้น”
มือของฉินอวี่แข็งนิดหน่อย จากนั้นก็สวนทันใดว่า “พวกเธอรู้กันหมดว่าหนูสนิทกับเจ้าของแอคเคาท์คนนั้น คุณพ่อก็รู้ว่า หนูฝึกไวโอลินทุกวันจนได้นอนแค่ห้าหกชั่วโมง มีเวลาไปตามเรื่องพวกนั้นที่ไหนกัน”
หลินฉีมองเธอแวบหนึ่ง
จากนั้นยื่นมือไปดึงมือเธอออก หันหลังขึ้นห้องหนังสือที่อยู่ชั้นบน
นวดหว่างคิ้ว ท่าทางดูเหนื่อยล้า “อวี่เอ่อร์ ขอพ่อคิดดูหน่อย”
ฉินอวี่อยู่ที่ชั้นล่าง ไม่กล้าตามเขาขึ้นไป แค่ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา นัยน์ตาแปรเปลี่ยนไป
หนิงฉิงก็ไม่สนใจเธอ เพียงแค่ถือกระดาษที่ถูกโยนทิ้งบนโต๊ะ นั่งอย่างเหม่อลอย
…
หลายวันต่อมา
รถจี๊ปที่มาจากเมืองหลวงคันหนึ่งเข้ามาจอดอยู่ข้างประตูห้องพยาบาลของโรงเรียน
คนที่ลงจากที่นั่งข้างคนขับมีรูปร่างสูงใหญ่ อายุราวๆ สามสิบปี ใบหน้าที่ดูคมคายโดดเด่นอย่างยิ่ง นัยน์ตาเป็นประกายดุจดวงดาวในคืนฤดูหนาว ริมฝีปากบาง บนคางมีตอหนวดที่เพิ่งผุดออกมา มีลักษณะของชายฉกรรจ์อย่างเห็นได้ชัด
เขามองประตูห้องพยาบาลอยู่ไม่กี่ที
จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไปอย่างมีจุดประสงค์ชัดเจนอย่างยิ่ง
อันที่จริงมือขวาของฉินหร่านสมานกันได้พอประมาณแล้ว ยังมีแผลเป็นที่กำลังค่อยๆ จางลง เฉิงเจวี้ยนกำลังหยิบยาให้เธออยู่
เป็นยาครีมสีเขียวอ่อน ฉินหร่านไม่เคยเห็นเหมือนกัน
เมื่อป้ายลงบนบาดแผลมันเย็นนิดหน่อย
“ท่านเจวี้ยน เรื่อง…” ชายอายุราวสามสิบปีเข้ามา ในมือถือเอกสารปึกหนึ่ง เขายังพูดไม่จบ ก็เห็นผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามเฉิงเจวี้ยน จึงหยุดลง
เห็นได้ชัดว่า เรื่องนี้ไม่เหมาะจะให้คนทั่วไปรู้
ฉินหร่านเก็บยา แน่นอนว่าต้องหลบไป
เฉิงเจวี้ยนเอนตัวพิงข้างหลัง พูดอย่างสบายๆ ว่า “รอเดี๋ยว จะกินข้าวแล้ว นั่งลงเถอะ นั่นคือผู้บัญชาการห่าว ผู้บัญชาการหน่วยอาชญากรรมของเมืองหลวง”
จากนั้นก็มองไปทางผู้ชายคนนั้น เอ่ยปากอย่างเชื่องช้าว่า “คุณมีธุระอะไรก็ว่ามาเถอะ”
ผู้บัญชาการห่าวยึกยักแล้วมองฉินหร่านอยู่หลายครั้ง อีกฝ่ายก้มหน้าก้มตา ท่อนนิ้วเรียวขาวเคาะริมฝีปาก ใบหน้างามวิจิตร ให้ความรู้สึกเยือกเย็น
ใบหน้าแบบนี้พบเจอได้น้อย
หลังเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก็พูดกับเฉิงเจวี้ยนไม่กี่ประโยค สุดท้ายก็เลี่ยงฉินหร่านอยู่ดี เขาไม่พูดอะไรมาก
ไม่นาน เฉิงมู่ ลู่จ้าวอิ่งกับชีเฉิงจวิน สามคนก็กลับมาจากข้างนอกพร้อมกัน
พอเห็นผู้บัญชาการห่าวก็ดีใจกันมาก
“ผู้บัญชาการห่าว!” ลู่จ้าวอิ่งเข้าไปกอดไหล่ผู้บัญชาการห่าวอย่างสนิทสนม
เฉิงมู่กับชีเฉิงจวินนอบน้อมอย่างยิ่ง “ผู้บัญชาการห่าว”
เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้เคารพผู้บัญชาการยิ่งนัก
ผู้บัญชาการห่าวส่งสายตาสงสัยไปให้เฉิงมู่ เป้าหมายคือฉินหร่าน
เฉิงมู่ส่ายหน้าอย่างซึมกะทือ
เขาจัดอาหารเสร็จ ส่วนใหญ่เป็นลู่จ้าวอิ่งที่คอยหาเรื่องคุยระหว่างที่กินข้าว
“ผู้บัญชาการห่าว เทพธิดาของผมไม่มาเหรอ” เฉิงมู่มองผู้บัญชาการห่าวด้วยสีหน้าคาดหวัง
ผู้บัญชาการห่าวส่ายหน้า “เธอมีธุระ ออกจากเมืองหลวงไม่ได้”
“อ่อ” เฉิงมู่เสียดายมาก “ถ้าเทพธิดาของผมมาได้ละก็ คดีนี้คงจะไขง่ายขึ้นมากเลยละ”
ผู้บัญชาการห่าวพยักหน้า เพราะฉินหร่านอยู่ เขาจึงพูดจาคลุมเครือ “อืม คดีนี้ไขยาก คล้ายกับคดี 712 เมื่อสามปีก่อน ถ้าหาคนที่ดูแลคดีในตอนนั้นเจอ ฉันมีความมั่นใจ 90 เปอร์เซ็นต์ว่าจัดการพวกเขาให้สิ้นซากได้”
ผู้บัญชาการห่าวดูเหมือนจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอยู่บ้าง
ลู่จ้าวอิ่งเท้าคางอย่างฉงนสนเท่ห์ ผู้บัญชาการเป็นอันดับหนึ่งในหน่วยสืบสวน น้อยครั้งที่จะเห็นเขาแสดงความพอใจกับใครสักคน น่าแปลกทีเดียว “ผู้บัญชาการห่าว คุณก็มีช่วงที่พอใจใครสักคนขนาดนี้เหมือนกันเหรอ”
“712 คนนั้น…” ผู้บัญชาการห่าวกินเสร็จ วางตะเกียบลง อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นฉินหร่านที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง เขาก็รีบกลืนคำพูดที่เกือบหลุดออกมาลงไปทันที “ไม่มีอะไร”
ฉินหร่านก้มหน้าตลอดเวลา ตอนที่ผู้บัญชาการห่าวพูด ตะเกียบในมือเธอก็แตะถ้วยไปทีหนึ่ง
“เป็นอะไรไป” เฉิงเจวี้ยนก้มหน้าลง
“ไม่มีอะไร” ฉินหร่านส่ายหน้า
หลังกินข้าวเสร็จ ผู้บัญชาการห่าวก็เรียกเฉิงมู่ออกไปเป็นการส่วนตัว
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” ผู้บัญชาการห่าวจุดบุหรี่ให้ตัวเองมวนหนึ่ง หรี่ตาลงน้อยๆ
“นักเรียนในเหิงชวนอีจง” สีหน้าของเฉิงมู่เรียบเฉย
ผู้บัญชาห่าวพ่นควันวงแหวนออกมา หรี่ตาลง “นักเรียน?”
“คุณก็สงสัยมากใช่ไหมล่ะ” ตอนนี้เฉิงมู่ไม่สะทกสะท้านกับอะไรเลยแม้แต่นิด “เธอไม่ได้เป็นแค่นักเรียนอย่างเดียว ผลการเรียนยังแย่อีกด้วย แน่นอนว่า หน้าตาก็สวยจริงๆ…”
“เทียบกับเทพธิดาของนายได้ไหม” เฉิงเจวี้ยนทะนงตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้กับใครมาก่อน ผู้บัญชาการห่าวสงสัยนิดหน่อยว่าผู้หญิงคนนี้มีอะไรแตกต่างหรือเปล่า
“เธอจะเทียบกับเทพธิดาของผมได้ยังไง เทพธิดาของผมเป็นถึงนักสืบหญิงอันดับหนึ่งของหน่วยสืบสวนเชียวนะ!”