เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่301นายท่านมารวมตัวกันเปิดเรียน
นายท่านเฉิงวางตะเกียบลง ถือโทรศัพท์ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
เขาเปิดปาก ตอนแรกคิดจะพูดอะไร แต่มองดูฉินหร่าน เขาก็เก็บคำพูดกลับไป ส่ายหัว “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พวกคุณไม่ต้องกังวล”
นายท่านเฉิงพูดจบ สีหน้าเป็นปกติ หยิบตะเกียบขึ้นมาทานข้าวต่อ
ปกติทานข้าวเสร็จ นายท่านเฉิงมักจะหาข้ออ้างอยู่ต่อ แต่วันนี้รีบเร่งที่จะกลับ
ตอนแรกเฉิงเวินหรูมีธุระจะพูดคุยกับเฉิงเจวี้ยน เห็นท่าทางแบบนั้นของนายท่าน จึงขมวดคิ้ว หยิบกระเป๋าเอกสารตามออกไป
“พ่อ เกิดอะไรขึ้น” เฉิงเวินหรูเดินมาถึงลิฟต์ กดปุ่มลงชั้นล่าง หันหัวไปถามนายท่านเฉิง
นายท่านเฉิงเงยหน้า มองหมายเลขชั้นสีแดงเหนือลิฟต์ “วันนี้ทางฝั่ง 129 เกิดการเปลี่ยนแปลง…ในช่วงหนึ่งปี เมืองหลวงยิ่งไม่ค่อยมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
การเข้ามาของอวิ๋นกวงกรุ๊ป การเปลี่ยนแปลงของ 129…
“การเปลี่ยนแปลงของ 129?” เฉิงเวินหรูเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ
หน่วย 129 ไม่เหมือนคนอื่น ลึกลับมากไป ทั้งข้อมูลยังน้อย เครือข่ายสารสนเทศเกือบทั่วทั้งโลก ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเขามีเส้นสายถือไว้ในกำมืออยู่กี่ตระกูล
ประตูลิฟต์เปิดออก นายท่านเฉิงเดินออกไปด้านนอก “ได้ยินมาว่าสมาชิกหลักสองคนมาที่เมืองหลวง โอวหยางเวยเห็นแล้ว”
“ไม่ใช่จระเข้ยักษ์เหรอ” เฉิงเวินหรูขมวดคิ้ว พูดพึมพำ “ทำไมให้คนอันตรายแบบนั้นมาที่เมืองหลวงได้”
“ฉันจะกลับไปดูสถานการณ์ก่อน” นายท่านเฉิงหยุดอยู่ที่รถ มือวางที่ประตูรถ ไม่ได้เข้าไปทันที “โอวหยางเวยคนนั้น ได้ยินว่าจะได้เป็นสมาชิกระดับกลางของ 129 ตระกูลฉิน…ยิ่งไม่มีโอกาสชนะ”
เฉิงเวินหรูรู้ข้อมูลบางอย่างของผู้อาวุโส 129 ไม่มากก็น้อย
ที่ 129 ควบคุมข้อมูลลับได้เยอะขนาดนั้นโดยไม่มีใครกล้าหาเรื่อง เหตุผลหนึ่งคืออิทธิพลของ 129 อีกเหตุผลหนึ่งคือสมาชิกอาวุโสเพียงไม่กี่คนของ 129 น่าเกรงขามยิ่งนัก
ทั้งสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงต่างเคยได้ยินเรื่องราวของจระเข้ยักษ์
หนึ่งในหัวหน้าอาวุธที่ชายแดน
ถ้าหากโอวหยางเวยบุกเข้าไปข้างในจริงๆ ไม่เพียงแค่ตระกูลฉินที่ไม่มีโอกาสชนะที่ตกต่ำมาตั้งแต่แรกแล้ว ยังรวมถึงตระกูลอื่นๆ อีกที่ต่างเกรงกลัวตระกูลโอวหยาง
**
เขตอวิ๋นจิ่น
ฉินหลิงดูวิดีโอที่ฉินหร่านส่งมาให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นนั่งไขว่ห้างบนโซฟาเล่นเกม และต่อ
ที่หูสวมใส่หูฟังแยกเสียงรบกวน
ที่โต๊ะอาหารห่างไปไม่ไกล ฉินฮั่นชิวกำลังพูดคุยกับฉินซู
ฉินซูยื่นแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งให้ฉินฮั่นชิว “ฉันหาโรงเรียนไว้แล้ว โรงเรียนประถมนานาชาติ หลังจากฉินหลิงเข้าเรียนประถม คุณมาเรียนรู้บางอย่างกับฉัน”
ฉินฮั่นชิวรับเอาถุงเอกสาร พยักหน้าเหนียมอาย จากนั้นพลิกออกมาดู ด้านในมีข้อความซับซ้อนวุ่นวาย เขาดูแล้วปวดหัว
ฉินซูเห็นเขาเป็นแบบนั้น ถอนหายใจออกมาจากข้างใน มือวางที่โต๊ะแล้วยืนขึ้น
“คุณกำลังทำอะไร” ฉินซูเดินวนไปมาในห้องโถง สายตาเพ่งมองไปที่ฉินหลิง
ชายวัยกลางคนข้างกายเขาตามติดฉินฮั่นชิวและพวกเขามาไม่กี่วันนี้ กลัวพวกเขาจะสร้างปัญหา ได้ยินแล้วจึงพูดตอบเสียงเบา “กำลังเล่นเกมดูเหมือนพี่สาวจะให้เขาเล่น”
“พี่สาวเขา?” ฉินซูได้ยินถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ชายวัยกลางคนได้ยินถึงความสิ้นหวังเป็นอย่างมากในใจของฉินซู ไม่กล้าที่จะพูดอะไร เพียงแค่ก้มหน้าลง ถอนหายใจในใจเฮือกหนึ่ง
ฉินซูใช้จ่ายเงินไปมหาศาล เพื่อนำนายท่านดั้งเดิมคนที่สองของตระกูลฉินกลับมา
ใครจะรู้…
หายไปตั้งแต่ยังเด็ก ไม่มีครอบครัวดูแลอบรม เหมือนกับไล่เป็ดขึ้นหิ้ง
ฉินซูอยู่ที่นี่สักพัก แล้วจึงกลับบ้านตระกูลฉิน
ชายวัยกลางคนส่งเขาออกไป
หลังจากเขากลับไป ฉินฮั่นชิวก็ไม่ผลักดันตัวเองให้ไปดูตัวเลขเหล่านั้น แต่เดินไปที่ข้างฉินหลิง นั่งลง พูดเสียงเบา “เสี่ยวหลิง พรุ่งนี้พี่สาวเธอเปิดเรียน พวกเราไปเยี่ยมเธอดีไหม”
นิ้วที่ปุ่มกดของฉินหลิงยกขึ้น ในที่สุดก็ผ่านด่านนี้
เขาใช้มือถอดหูฟังออก ได้ยินประโยคนี้ของฉินฮั่นชิว ดวงตาของเขาเป็นประกาย “ดี”
ไม่นานชายวัยกลางคนก็กลับมาแล้ว ได้ยินว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะไปเยี่ยมพี่สาวของฉินหลิง เขาก็ไม่ได้ห้าม เพียงกำชับอย่างจริงจัง “นายรอง อย่าบอกสถานการณ์ตอนนี้ของพวกคุณกับเธอ”
ฉินฮั่นชิวพูดเรื่องนี้กับฉินหร่านตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาไม่ได้อธิบายกับชายวัยกลางคน เพียงพยักหน้าอย่างซื่อๆ “ฉันรู้แล้ว”
“พรุ่งนี้ฉันไปส่งพวกคุณ” ชายวัยกลางคนเหลือบมองฉินฮั่นชิว รู้สึกว่าเขาไม่ควรพูดเรื่องไร้สาระ
ฉินหลิงก้มหน้าไปหยิบโทรศัพท์ ติดต่อหาฉินหร่าน
**
วันถัดมา
วันเปิดเรียนวันแรกของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง
ฉินหร่านไปเช้ามาก
เธอมาเช้ามาก คนของแผนกต้อนรับนักเรียนใหม่มีไม่มากนัก
เฉิงเจวี้ยนถือกระเป๋าสัมภาระของเธอยืนอยู่ข้างทาง รอเธอไปแผนกต้อนรับนักเรียนใหม่
ฉินหร่านกวาดสายตา แล้วเดินไปยังแผนกต้อนรับนักเรียนใหม่ที่ใกล้ที่สุด เธอสะดุดตาจนแทบจะไปดึงดูดสายตาของทุกคนเอาไว้
เหล่ารุ่นพี่ทั้งหลายรวมตัวเข้ามาทันที เพราะเธอไม่มีสัมภาระ จึงต่างอยากช่วยอาสาพาเธอไปดำเนินขั้นตอน
“ได้แล้ว ให้ฉันเอง” ผู้ชายอ่อนโยนมีเสน่ห์เล็กน้อยเป็นคนที่ได้พาฉินหร่านไป “รุ่นน้อง เธอไม่มีสัมภาระเหรอ”
พระอาทิตย์เหนือศีรษะใหญ่มาก ฉินหร่านกดหมวกบนศีรษะ “มี อยู่นั่น”
เธอใช้มือชี้ไปทางเฉิงเจวี้ยน
เฉิงเจวี้ยนล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง เพราะเธอไปนานเกินไป เขาจึงนั่งลงที่กระเป๋าเดินทางอย่างเกียจคร้าน
ในฤดูร้อน เขายังคงสวมเสื้อยืดสีดำ กระดูกไหปลาร้าขาวสะอาด ขาห้อยอย่างเกียจคร้าน ดึงดูดความสนใจนักเรียนเก่า
“ถ้างั้นฉันก็สบายแล้ว” ชายหนุ่มผงะแล้วยิ้ม พาฉินหร่านไปดำเนินขั้นตอน กรีดร้องในใจ สวยขนาดนี้ ว่าแล้วต้องไม่โสด “ฉันชื่อซย่าหมิน เอกกฎหมายปีสอง ถ้าเธอสนใจเข้าร่วมสมาพันธ์นักศึกษาของโรงเรียน อย่าลืมมาหาฉัน”
ทั้งสองคนจากไป แผนกต้อนรับนักเรียนใหม่และกลุ่มสมาพันธ์นักศึกษาอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน
“นักเรียนใหม่ไม่ได้มาผิดโรงเรียนหรอกเหรอ พวกเราไม่ใช่มหาวิทยาลัยการแสดงนะ…”
“ไม่รู้ว่าอยู่คณะอะไร”
“หน้าตาดีขนาดนี้ น่าจะอยู่คณะคณะศิลปกรรมศาสตร์รึเปล่า”
“ไม่ว่าจะอยู่คณะไหน แต่ไม่ใช่สี่คณะหลักแน่ๆ”
“ดูแล้วคงต้องเพิ่มรายชื่อดาวของโรงเรียนเข้าไปอีกหนึ่งสินะ ปีนี้เด็กใหม่ไม่เลวเลย”
“ใครว่าเพิ่มดาวของโรงเรียนไปอีกหนึ่งกันล่ะ เห็นได้ชัดว่าเธอวีรสตรีผู้สูงส่งต่างหาก!”
“…”
เพราะคนไม่เยอะ ฉินหร่านจึงไม่ต้องต่อแถวรอ ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ก็ดำเนินการขั้นตอนเสร็จแล้ว
ห้องพักที่เธอได้รับคืออาคารเรียนเก่าห้อง 301
เพราะมาแต่เช้า ที่ห้องพักจึงไม่มีใคร
ห้องพักมีสี่เตียง ที่เตียงทุกเตียงมีชื่อติดไว้ เตียงของฉินหร่านอยู่ข้างหน้าต่าง เธอและเฉิงเจวี้ยนนำข้าวของไปจัดเก็บเรียบร้อย จึงลงมาด้านล่าง ไม่ได้อยู่ที่ห้องพักต่อ
วันลงทะเบียนนักเรียนใหม่มีทั้งหมดสามวัน ลงทะเบียนเสร็จไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ที่ห้องพัก นักเรียนบางคนถือโอกาสไปเที่ยวกับพ่อแม่ในช่วงสามวันนี้
**
ในขณะเดียวกัน รถคันสีดำจอดอยู่ประตูทางเดินของย่านการค้าอันพลุกพล่าน
ชายวัยกลางคนนั่งอยู่ที่ตำแหน่งคนขับ เขาหยุดรถ มองไปทางฉินฮั่นชิวอย่างแปลกใจ “พี่สาวของเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวง?”
บริเวณนี้เป็นย่านของมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง ที่รวบรวมทุกมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงเอาไว้ สอบเข้าที่นี่ได้ ไม่ง่ายเลย
ฉินฮั่นชิวมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอย่างไม่ปิดบัง “ใช่แล้ว ปีนี้เพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ”
ชายวัยกลางคนประหลาดใจมาก
ตอนที่เขาพบฉินฮั่นชิว ถึงรู้ว่าทำไมข้อมูลของเขาถึงได้หายากนัก เพราะฉินฮั่นชิวอยู่ในเมืองหนิงไห่ ซึ่งเป็นแนวหน้าของเขตบรรเทาความยากจน แต่จริงๆ แล้วเป็นฐานทดลองสำหรับหลายครอบครัวใหญ่
พูดถึงคนยากจน แต่เป็นการให้คนส่วนน้อยไปเพื่อพัฒนาที่นั่น
ด้วยเหตุผลนี้ ข้อมูลเฉพาะของเมืองหนิงไห่จึงถูกควบคุม สามารถนำมาใช้ได้ยาก จนกระทั่งตอนนี้ชายวัยกลางคนก็ยังไม่ทราบแน่ชัดเรื่องของฉินฮั่นชิวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เขาเคยตามติดฉินฮั่นชิว จึงรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำงานก่อสร้าง ระดับการศึกษาไม่สูง แต่เป็นถึงนายน้อยคนที่สองของตระกูลฉิน จึงไม่สามารถใช้ทั้งชีวิตอยู่ที่เมืองหนิงไห่ได้
โชคดีที่ฉินหลิงยังเล็ก ตอนนี้อบรมสั่งสอนก็ยังทัน
ส่วนลูกสาวอีกคนของอีกฝ่ายเขาเคยได้ยินมาแล้ว โดยส่วนตัวไม่ได้คาดหวังอะไรมาก สถานการณ์ของตระกูลฉินเลวร้าย การเรียกตัวฉินฮั่นชิวและฉินหลิงกลับมานั้นเสี่ยงมาก เพียงแต่ทั้งสองคนต่างไปจากที่พวกเขาคิด ดังนั้นจึงไม่ได้คาดหวังอะไรกับลูกสาวคนที่สองมากมาย แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอสอบติดมหาวิทยาลัยเมืองหลวง
ชายวัยกลางคนประหลาดใจมาก แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรนัก เพียงแค่กำชับอีกครั้ง ให้ฉินฮั่นชิวอย่าพูดอะไรมากมาย
หลังพูดจบ ก็รู้สึกว่าตัวเองจงใจมากไป จึงถามออกไปอย่างสบายๆ ว่าฉินหร่านเรียนอะไร
ฉินฮั่นชิวไม่ค่อยแน่ใจว่าฉินหร่านเรียนอะไร เขาจึงตอบอย่างตื่นเต้น “เธอเรียนไวโอลินได้เก่งมาก”
ฉินหร่านเคยส่งวิดีโออันหนึ่งให้ฉินหลิง
พูดถึงตรงนี้ ฉินฮั่นชิวหยิบโทรศัพท์ให้ชายวัยกลางคนดู “คุณดูสิ…”
ชายวัยกลางคนเป็นเพียงชาวบ้านทั่วไป ฟังไปสักพักก็หมดความอดทน จึงตอบกลับสองคำแบบขอไปที
ตอนนี้ฉินหร่านเพิ่งออกมาจากห้องพัก ฉินฮั่นชิวและฉินหลิงยังม่ได้เข้ามาในมหาวิทยาลัยเมืองหลวง เพียงรอสองนาทีอยู่ที่สี่แยกหนึ่ง
ตอนแรกฉินอวี่เตรียมที่จะไปรัฐ M แต่โควตาตอนนี้เป็นของวังจือเฟิง ดังนั้นวันเปิดเรียน เธอจึงต้องมาลงทะเบียนที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงด้วยกันกับหนิงฉิง
รถของตระกูลเสิ่นไปที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวง
ที่สี่แยก ฉินอวี่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ทันใดนั้นก็เห็นฉินฮั่นชิวยืนอยู่ที่สี่แยก เธอกำมือแน่น อย่างไม่อยากเชื่อ “แม่เจ้า ทำไมพวกเขามาอยู่ที่เมืองหลวงได้”