เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่329นั่นคือเจียงซานอี้ลูกพี่เหยียนซีเขาน่ะ
ฉินอวี่ชะงัก
เธอก้มหน้าดูบัตรนักเรียน รูดบัตรอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ชั้นสองยังไม่มีแสงสว่างขึ้นมา…
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ บัตรในมือฉินอวี่ก็ร่วงลงไปกับพื้น “พรึ่บ”
เธอก้มลงเก็บมันขึ้นมา พอออกจากลิฟต์ก็เดินขึ้นไปยังห้องเรียน101 หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วล็อกอินเข้าเว็บไซต์ทางการของสมาคมไวโอลิน
ภายในสมาคมไวโอลินสามารถล็อกอินเข้าเว็บไซต์ทางการได้โดยใช้อินเทอร์เน็ตของทางสมาคม
ฉินอวี่พิมพ์ชื่อตัวเองพร้อมกับใส่รหัสผ่านเข้าไป คลิกเข้าสู่ระบบ ข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าจออย่างรวดเร็ว——
(ไม่มีชื่อนี้ในบัญชีผู้ใช้!)
ไม่มีชื่อในบัญชีผู้ใช้?
ไม่มีอยู่ในบัญชีได้ยังไง ? !
ฉินอวี่แทบจะเป็นบ้า เธอคิดว่าหลังจากผ่านกระแสนี้ไป เธอก็จะกลับมาได้อีกครั้ง แต่ทำไมสมาคมไวโอลินถึงได้ลบชื่อเธอออกกะทันหันแบบนี้ ? !
หมดกันสมาคมไวโอลิน หมดกันไต้หราน…
ฉินอวี่นึกไม่ออกเลยว่าต่อไปเธอยังจะเหลืออะไรอีก นึกไม่ออกเลยว่าตระกูลเสิ่นกับตระกูลหลินจะปฏิบัติกับเธออย่างไร…
ขณะกำลังคิด
โทรศัพท์ฉินอวี่ก็ดังขึ้น
เป็นสายจากหนิงฉิง เธอพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “อวี่เอ๋อร์ น้าของลูกให้พวกเราไปทานข้าวที่บ้านตระกูลเสิ่นตอนเย็น”
ไปทานข้าวบ้านตระกูลเสิ่น?
ฉินอวี่ตกตะลึง…
ตระกูลเสิ่นยังยอมให้เธอไปทานข้าว?
เธอจับโทรศัพท์แน่น เม้มริมฝีปากพลางครุ่นคิด ไม่รู้ว่าจะแสดงท่าทีแบบไหน
ครึ่งชั่วโมงต่อมาเธอก็มาถึงที่บ้านตระกูลเสิ่น หนิงฉิงก็มาถึงแล้วและกำลังนั่งพูดคุยกับหลินหว่าน
“อวี่เอ๋อร์ มานั่งสิ” หลินหว่านวางชาในมือลง ยิ้มเบาๆ
ทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ฉินอวี่มานั่งข้างๆ หนิงฉิง คนรับใช้ตระกูลเสิ่นยังเสิร์ฟชาให้เธอ
หลินหว่านนั่งแกว่งถ้วยชาอยู่ตรงข้าม หลุบตาลงแล้วยิ้มให้หนิงฉิง “พี่สะใภ้ ความสัมพันธ์แม่ลูกไหนล่ะจะเกลียดชังกันเพียงชั่วข้ามคืน ขอแค่คุณเอ่ยปาก มีหรือหร่านหร่านจะไม่ยอมยกโทษให้”
เมื่อได้ยินหลินหว่านพูดแบบนี้ หัวใจฉินอวี่ก็ร่วงหล่น เธอเข้าใจได้ทันทีว่าที่หลินหว่านยังให้เธอมาที่บ้านตระกูลเสิ่น ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะฉินหร่าน
เลือดในกายฉินอวี่เย็นเฉียบตั้งแต่บนจรดล่าง
เล็บแทบจะฝังลงไปในฝ่ามือ ทันทีที่คิดว่าฉินหร่านเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เธอก็รู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก…
หนิงฉิงถือถ้วยชา หลุบตาลงโดยไม่รู้จะพูดอะไร ในใจราวกับมีลวดมัด ไหนล่ะเธอจะไม่รู้ว่าที่ตระกูลเสิ่นมีท่าทีแบบนี้กับเธอเป็นเพราะฉินหร่าน
ด้านนอกประตู นายท่านเสิ่นที่ออกไปเจรจาธุรกิจกำลังเดินเข้ามา
เมื่อเห็นหนิงฉิง นายท่านเสิ่นก็ทักทายอย่างสนิทสนม “พวกคุณกำลังคุยเรื่องฉินหร่านกันอยู่เหรอ? คุณนายหลินก็พูดถึงเธออยู่เหมือนกันว่าคุณได้ลูกสาวดี สอบได้ตั้งอันดับหนึ่งระดับประเทศ เข้าห้องปฏิบัติการได้แน่นอน ไม่แน่ว่าสุดท้ายอาจจะได้เข้าที่นั่น…”
ห้องปฏิบัติการ? หนิงฉิงได้ยินศัพท์ใหม่ แต่เธอไม่ได้แสดงท่าทางโง่เขลาแต่อย่างใด เพียงเงยหน้าเล็กน้อย
อยู่ตระกูลหลินมานานหลายปี เธอเรียนรู้วิธีที่จะซ่อนความรู้สึกนึกคิดได้โดยไม่ให้คนอื่นมองออก
“ปัง”
ที่ประตูใหญ่ เสิ่นอวี่เหวินเตะประตู ในมือยังถือโทรศัพท์ “พรุ่งนี้ต้องคว้ามันมาให้ได้! ถ้าคราวนี้คว้าตั๋วมาไม่ได้อีกล่ะก็ พวกเราต้องรอไปอีกหนึ่งปี ”
ฉินอวี่นั่งที่โซฟาด้วยแววตาลึกล้ำ เดิมทีก็ไม่อยากจะฟังเรื่องเกี่ยวกับฉินหร่านอยู่แล้ว พอได้ยินเสิ่นอวี่เหวินพูดแบบนี้ เธอก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้…
ตอนที่เธอไปเมืองหลวงปีที่แล้ว เหมือนเสิ่นอวี่เหวินจะเคยบอกว่าองค์ประกอบเพลงไวโอลินเพลงนั้นเหมือนเพลงของเหยียนซีมาก
**
ในเวลาเดียวกัน
ฉินฮั่นชิว ฉินหลิงและคนอื่นๆ ก็มาถึงคลับเฮาส์พาราไดซ์
ที่นี่ถือว่าเป็นคลับเฮาส์ที่ลับที่สุดในเมืองหลวงและยังไม่มีปาปารัซซี่ ตอนนี้ฉินซิวเฉินมีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ ซาแซงแฟน[1]ก็เยอะ ทั้งเมืองหลวงมีเพียงคลับเฮาส์พาราไดซ์ที่เดียวที่สามารถขัดขวางปาปารัซซี่เหล่านั้นได้
อันที่จริงคลับเฮาส์พาราไดซ์ก็มีชื่อเสียงอยู่เรื่องหนึ่ง เคยมีปาปารัซซี่เข้าไปถ่ายรูปดาราเกรดCมาได้หลายรูป จากนั้นก็ขายให้สำนักหนังสือพิมพ์หลายฉบับและเผยแพร่บนโลกออนไลน์
ไม่ถึงหนึ่งวัน รูปภาพทั้งหมดของทางสำนักหนังสือพิมพ์และโลกออนไลน์ก็หายไป ในเวลาเดียวกัน คลับเฮาส์พาราไดซ์ก็ตรวจสอบไอดีของปาปารัซซี่มาได้ ปาปารัซซี่จึงถูกแบนไปทั่วเมืองรวมไปถึงสำนักหนังสือพิมพ์ที่รับซื้อรูปถ่ายของคลับเฮาส์พาราไดซ์ก็ถูกแบน
นับตั้งแต่นั้นมา ทุกคนก็ได้รู้ว่าคลับเฮาส์พาราไดซ์อยู่ภายใต้การบริหารของอวิ๋นกวงกรุ๊ป คนในแวดวงจึงไม่มีใครกล้ายุ่งกับคลับเฮาส์พาราไดซ์อีกเลย
ฉินฮั่นชิวไม่เคยมายังสถานที่แห่งนี้ จึงไม่ค่อยคุ้นเคยมากนัก ทำตัวไม่ถูก
ฉินหลิงยังดูสงบเสงี่ยมกว่าเขามาก
ฉินซิวเฉินมาพบฉินฮั่นชิวกับฉินหลิงเป็นครั้งแรก เขายังนำของขวัญที่ซื้อมาจากต่างประเทศมอบให้ฉินหลิงอีกด้วย เผอิญว่าเป็นเครื่องเล่นเกม
แม้จะอายุ35แล้ว แต่กาลเวลากลับไม่ได้ทิ้งริ้วรอยไว้บนหน้าฉินซิวเฉินเลย
เครื่องหน้าเขาสวยงามกำลังพอดี ดวงตาลูกพีชกลิ้งกลอกอย่างสบายอารมณ์ ขนตายาวบดบังสายตาเวลาที่หลุบตาลงเล็กน้อย โครงร่างสูงชะลูดได้สัดส่วน ทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับงานแกะสลักอันแสนประณีต
เมื่อเจอญาติตัวเองแล้ว ฉินฮั่นชิวก็ดื่มเหล้าไปมาก เขาชูแก้วไปทางฉินซิวเฉิน “นึกถึงตอนแรกก็เคยมีคนจะพาฉันไปเป็นนายแบบเหมือนกัน แต่ฉันไม่ไป…”
พูดมาจนถึงตอนท้ายก็ดื่มไปมากแล้ว
วันนี้ฉินซิวเฉินก็มีความสุขมากเช่นกัน เขามองฉินหลิงด้วยสายตาที่อ่อนโยน “เสี่ยวหลิง ชอบของขวัญที่อาให้ไหม?”
เขาได้ยินพ่อบ้านฉินบอกว่าฉินหลิงชอบเล่นเกม จึงเอาเครื่องเล่นเกมกลับมาด้วย
พ่อบ้านฉินยืนมองอยู่อีกด้านด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าคนที่เข้าถึงยากมาโดยตลอดอย่างฉินซิวเฉินจะชอบฉินหลิงขนาดนี้
ฉินหลิงก้มหน้ามองเครื่องเล่นเกมที่เหมือนกันทุกประการ “…ชอบ”
ฉินซิวเฉินยิ้มพลางลูบหัวเขา จากนั้นก็พาฉินหลิงกับฉินฮั่นชิวไปส่งที่เขตที่พักอวิ๋นจิ่น
หลังจากมองส่งทั้งสองจากด้านหลังแล้ว ฉินซิวเฉินก็ไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วเดินขึ้นรถ “เมื่อกี้เสี่ยวหลิงบอกว่าเขายังมีพี่สาว ทำไมไม่รับมาด้วยกัน?”
ฟังจากคำพูดก็ดูออกว่าเขาชอบพี่สาวคนนั้นมาก
“นายท่านคนที่สี่เป็นเสือที่พร้อมออกล่า ผมจึงไม่กล้าพานายน้อยสองกลับบ้านประจำตระกูลเลยครับ” พ่อบ้านฉินส่ายหน้า “ผมกลัวว่าจะมีปัญหา ตอนแรกที่ตามหานายน้อยสองเจอ นายน้อยสองก็ยังไม่แม้แต่จะเรียนมหาวิทยาลัยเลย”
ฉินซิวเฉินขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน เขาเพิ่งถ่ายหนังจบ หว่างคิ้วของเขาจึงดูเหนื่อยล้าขึ้นเล็กน้อย “ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง ก็ล้วนเป็นคนของตระกูลฉิน นั่นก็เป็นหลานสาวสายตรงของฉันเหมือนกัน หาพี่รองเจอมาตั้งนาน แม้แต่ลูกสาวเขารูปร่างหน้าตาเป็นยังไงก็ยังไม่รู้…”
เขารับผ้าปิดตาที่ผู้ช่วยเอามาให้ พูดด้วยความเหนื่อยล้า “พ่อบ้านฉิน เอาข้อมูลลูกสาวพี่รองมาให้ผม ผมจะไปหาเธอ”
พ่อบ้านฉิน “…ความจริงตอนที่อาเหวินบอกว่าพี่สาวคุณชายน้อยเรียนอยู่ในเมืองหลวง ผมก็เคยตรวจสอบมาบ้างแล้ว”
ฉินซิวเฉินเงยหน้าถาม
พ่อบ้านฉินก้มหน้าด้วยความละอาย “จากนั้นตรวจสอบอะไรก็ไม่พบ”
ฉินซิวเฉินมึนงง
แม้ตอนนี้ตระกูลฉินจะตกต่ำ แต่ก็ไม่ใช่ตระกูลที่คนทั่วไปจะเทียบได้ ตรวจสอบพี่สาวฉินหลิง…ไม่เจออะไรสักอย่างเนี่ยนะ?
“คงไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นหรอกนะ?” ฉินซิวเฉินนั่งตัวตรงพลางมองไปทางพ่อบ้านฉิน “พี่สี่ไม่มีการเคลื่อนไหวเหรอ?”
นายท่านคนที่สี่ตระกูลฉินเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต ร่วมมือกับตระกูลโอวหยางเพื่อฮุบกิจการตระกูลฉิน ฉินซิวเฉินยังพบเบาะแสบางอย่างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การหายตัวไปของฉินฮั่นชิวในตอนนั้นก็เป็นปมซ่อนเงื่อนที่มีความเกี่ยวข้องกับแม่ของนายท่านคนที่สี่ตระกูลฉิน
พ่อบ้านฉินชะงัก ตระหนักได้ถึงความตึงเครียดของเรื่องนี้ “ผมจะให้คนไปตรวจสอบดูอีกที”
**
วันรุ่งขึ้น
ฉินหร่านตื่นเช้ากว่าปกติ พอถึงหกโมงเช้าเธอก็ตื่นแล้ว
ขณะนี้เธอกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารและเพิ่งจะทานข้าวเสร็จได้ไม่นาน เมื่อคืนเธออ่านหนังสือจนดึก ไม่ได้หลับเต็มอิ่ม จึงหาวเพราะง่วงนิดหน่อย
“คุณเอาวางไว้ตรงนั้น เดี๋ยวฉันจะไปมหา’ลัย” เธอเงยหน้ามองเฉิงเจวี้ยนที่กำลังถือกระเป๋าเป้ของเธอ
เฉิงเจวี้ยนหิ้วกระเป๋าเป้ไว้ในมือพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า “ไปทางเดียวกัน”
“ฉันจะไปมหา’ลัย” ฉินหร่านดื่มนมเสร็จก็เดินตามไป
“ฉันก็จะไปห้องปฏิบัติการทางการแพทย์อยู่พอดี” เฉิงเจวี้ยนหยิบกุญแจในขณะที่พิงขอบประตูรอฉินหร่านเปลี่ยนรองเท้า
ฉินหร่านเปลี่ยนเสร็จก็เดินตามเขาเข้าไปในลิฟต์
เฉิงมู่อุ้มกระถางดอกไม้เดินตามหลังทั้งสองจากที่ไกลๆ ตอนนี้ฉินหร่านพักอยู่ในมหาวิทยาลัย เฉิงมู่จึงจะเอากระถางดอกไม้นี้ไปส่งให้ที่มหาวิทยาลัย
ช่วงเวลาเช้าตรู่ คนบนถนนยังไม่ค่อยมาก เฉิงเจวี้ยนขับรถไปจอดที่หน้าประตูโรงเรียน เขาเดินไปข้างหน้า ฉินหร่านก็ลากเท้าตามหลังเขาโดยห่างประมาณสองสามก้าว
ในรั้วโรงเรียนมีถนนเส้นใหญ่ เมื่อเดินไปได้สองก้าวก็จะเห็นสนามเด็กเล่น ช่วงเวลานี้ยังมีคนกำลังวิ่งออกกำลังกายยามเช้ากันอยู่
“ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย เธอจะไปห้องปฏิบัติการทางการแพทย์หน่อยไหม?” เฉิงเจวี้ยนก้มดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือฝั่งซ้าย
ขณะนี้ยังไม่ถึงเจ็ดโมง
เขาเองก็รู้ด้วยว่าวันนี้ฉินหร่านไม่มีเรียนคาบแรก
และพอมาถึงโรงเรียนก็คงไปจองที่ที่ห้องสมุด
เขาบอกว่าที่ถิงหลานก็อ่านหนังสือได้ แต่เธอบอกว่าไม่มีสมาธิ
ฉินหร่านไม่สนใจ โบกมือ “มีแต่ฟอร์มาลีน ไม่ไป”
ตรงปากทาง เธอดึงกระเป๋าเป้มาจากมือเฉิงเจวี้ยน สะบัดหลังไปอย่างส่งๆ โบกมือส่งไปด้านหลังโดยไม่หันกลับมามอง “ไปนะ”
เฉิงมู่อุ้มกระถางดอกไม้รีบไปหาเฉิงเจวี้ยน “แปลกแฮะ คุณฉินรู้ได้ยังไงว่าห้องปฏิบัติการทางการแพทย์มีแต่ฟอร์มาลีน….”
**
ห้องหนังสือเปิดประตูเวลาเจ็ดโมงตรง ฉินหร่านถือบัตรนักเรียนไปจองที่แล้วเดินไปหาหนังสือมาอ่านสักสองสามเล่ม
หลังจากกลับมานั่งที่ของตัวเองได้ไม่นานก็เห็นข้อความวีแชทบนโทรศัพท์——
ฉินหลิงเหมือนอยากแบ่งปันความรัก : พี่ฮะ พี่อยากได้คุณอาสักคนไหม?
[1] ซาแซงแฟน คือกลุ่มแฟนคลับที่มีพฤติกรรมต่อเรื่องราวของไอดอลหรือศิลปินมากเกินขอบเขตความพอดี จนหลายครั้งกลายเป็นสร้างความลำบากใจ ไม่สบายใจให้แก่ศิลปิน พฤติกรรมเหล่านั้นได้แก่ คอยตามไปทุกแห่ง รุกล้ำความเป็นส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น