เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่419ภาพของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งรัฐM…
นายท่านเฉิงยังไม่ละสายตากลับ เขาส่งเสียง ‘อา’
เฉิงเจวี้ยนเดินเข้าไปใกล้ มองดูรูปภาพนี้ พูดขึ้นเบา “เป็นของจริง พ่อ คุณลองเข้าไปที่ห้องศึกษาส่วนตัวสิ” พูดจบ เขายกมือขึ้นดูเวลาในโทรศัพท์อย่างใจเย็น “พวกเรารีบต้องขอตัวก่อน”
นายท่านเฉิงราวกับยังไม่ได้สติกลับมา เขาส่งเสียง ‘อา’
เฉิงเจวี้ยนมองเขา แล้วพาฉินหร่านออกไปก่อน
เฉิงมู่จึงทักทายนายท่านเฉิงกับเฉิงเวินหรูอย่างสุภาพ แต่ทั้งสองคนต่างไม่สนใจเขา เฉิงเจวี้ยนกับคนอื่นๆ ออกไปแล้ว
ประมาณสองนาที นายท่านเฉิงได้สติกลับมาคนแรก
จากนั้นจึงมองไปที่เฉิงเวินหรูอย่างลังเล “น้องชายเธอบอกว่าเป็นของจริง แต่ฉันจำภาพนี้ได้…ตอนนั้นมีบันทึกไว้ในงานประมูลใช่หรือไม่ ดูเหมือนจะถูกบันทึกไว้ที่พิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ของรัฐ M รึเปล่า”
ผู้ดูแลก็ได้สติกลับมาเช่นกัน หยิบเครื่องมือโดยเฉพาะออกจากกระเป๋าด้านข้างมาดูภาพแม่น้ำภูเขาหมื่นลี้นี้ “ไม่คล้าย ตามบันทึกของล้ำค่า ภาพภูเขาแม่น้ำหมื่นลี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ของรัฐ M มาหลายปีแล้วจริงๆ”
เขาตรวจสอบอยู่สักพัก ทั้งยังนำโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป หลังจากยืนยันกับหลายคน
ค่อยสูดหายใจเข้าลึก “นี่เป็นของจริงจริงๆ”
พูดจบ
นอกจากผู้ดูแล
นายท่านเฉิงกับเฉิงเวินหรูก็หยุดลง
“เวินหรู” สักพักหนึ่ง นายท่านเฉิงประคองถ้วยชา มองอย่างตั้งใจ มือของเขาราวกับสั่นเล็กน้อย “รู้ไหมว่าเพื่อนคนนั้นของหร่านหร่านเป็นใคร” เอาภาพของรัฐ M มาให้อย่างนั้นเหรอ
เฉิงเวินหรูนั่งนิ่งอยู่ด้านข้าง สักพักก็พูดออกมา “ฉันเองก็อยากรู้”
เธอนึกถึงไข่มุกเม็ดใหญ่เม็ดนั้น
“ทำไมฉันเห็นว่านายน้อยสาม…” จู่ๆ คนดูแลก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เขามองนายท่านเฉิง
“ดูเหมือนเขาจะศึกษาพวกนี้มามาก เห็นแวบแรกก็มองออกทันที”
“ช่วงหนึ่งเขาเคยเรียนการบูรณะโบราณวัตถุ” เฉิงเวินหรูตอบกลับด้านข้าง “ปีนั้นตอนเขาอายุสิบสามปี ม้าดินเผาของพ่อฉันแตก เขานำหนังสือกับกองเครื่องมือมาศึกษาอยู่พักหนึ่ง ซ่อมแซมม้าดินเผา…”
เฉิงเวินหรูพูดถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะหยุดลง
สิบสามปี เพื่อม้าดินเผาชิ้นเดียวของคุณพ่อ เฉิงเจวี้ยนจึงต้องศึกษาการบูรณะวัตถุโบราณ…
แต่หลังจากอายุสิบสี่ปี เขาดูเหมือนว่า…ต่อมานายท่านเฉิงยังมีวัตถุโบราณที่ไม่ค่อยสมบูรณ์อีกสองชิ้น ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยเห็นมาก่อน การกระทำของเขายิ่งลุกลามไปมากขึ้น จึงไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงอีกต่อไป อย่าว่าแต่เมืองหลวง ไม่กลับมาแม้กระทั่งตระกูลเฉิง ทำธุระแบบทำอย่างทิ้งอย่าง…เพราะอย่างนั้นเฉิงเวินหรูจึงยังไม่ไว้ใจเขาถึงขนาดนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะฉินหร่านมาเมืองหลวง เฉิงเวินหรูก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะอยู่ที่เมืองหลวงได้นานขนาดนี้หรือไม่
“ให้ฉันดูม้าดินเผานั่นได้ไหม” ผู้ดูแลมองทางนายท่านเฉิง
นายท่านเฉิงยิ้มพลางโบกมือ “แน่นอน”
**
ฝั่งนี้
ฉินหร่านกระชับเสื้อคลุมนั่งบนเก้าอี้ยาวตรงทางเดินรอเฉิงเจวี้ยนไปหยิบกุญแจ
วันนี้เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ขับรถมาเอง เฉิงมู่ต้องอยู่ต่อที่ตระกูลเฉิงสักพัก แต่รถของเฉิงเจวี้ยนมีเยอะ เขาต้องกลับไปที่ลานของเขาเพื่อเอากุญแจใหม่
ฉินหร่านเอียงตัวนั่ง ไขว่ห้างอย่างใจเย็น ก้มหน้าส่งข้อความหาจระเข้ยักษ์อย่างไม่รีบร้อน
ถามเขาว่าทำไมต้องส่งกล่องกลไกหายากขนาดนี้มาด้วย และไม่ได้บอกเธอล่วงหน้า เธอพละกำลังเยอะ จึงไม่ได้ชั่งใจ เธอทำกลไกการล็อกที่เกือบจะสูญหายไปพังแล้ว…
จระเข้ยักษ์: […]
จระเข้ยักษ์: [รู้ด้วยใจ]
จระเข้ยักษ์: [สหาย ไม่เป็นไร ฉันแค่กลัวคุณจะรำคาญ จึงไม่ได้บอกเป็นการพิเศษ ถ้าคุณไม่ชอบ ครั้งต่อไปฉันจะเปลี่ยนกล่อง]
ฉินหร่านจ้องสามพยางค์ ‘รู้ด้วยใจ’ อยู่พักหนึ่ง
จากนั้นจึงปิดหน้าการสนทนา
เปิดเกม เล่นเกมด่านที่ฉินหลิงยังไม่เคยผ่านอย่างดุเดือด เทคนิคหยาบกระด้างกว่าครั้งก่อน
“เจ๊หร่าน วันนี้อารมณ์พุ่งสูง” เฉิงเจวี้ยนถือพวงกุญแจรถมา ยืนอยู่ด้านหลังเธอ ก้มตัวลงดูสักพัก
ใบหน้าของฉินหร่านสบายๆ แต่มือที่เล่นเกมกลับไม่นุ่มนวล ไม่พูดจา
เฉิงเจวี้ยนนั่งพิงที่ด้านข้างของเธอ นิ้วเรียวยาวโอบเอวของเธอ คางแนบอยู่บนไหล่ของเธอ แขนอีกข้างเกี่ยวเข้าที่เอวของเธอด้านข้าง กระซิบเบาๆ “เธอต่อเลย ฉันดูเธอเล่น”
ฉินหร่านจิ้มโทรศัพท์ แล้วจึงส่งบันทึกหน้าจอให้ฉินหลิงอย่างไม่รีบร้อน
**
วันต่อมา
วันอาทิตย์
ตอนเที่ยงฉินหร่านกับหนานฮุ่ยเหยาและคนอื่นๆ นัดพูดคุยเรื่องการแข่งขัน
เธอเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่องพิมพ์ของห้องปฏิบัติการ พิมพ์เอกสารสองฉบับในถาดเอกสาร นำเอกสารทั้งสองฉบับรวบรวมยัดลงในกระเป๋าเป้สีดำ ฉินหร่านดูข้อมูลล่าสุดของแฟ้มข้อมูล ครุ่นคิด และคลิกเปิดพิมพ์ซ้ำ
เธอไม่ได้ใส่ฉบับนี้ลงกระเป๋าเป้ มือข้างหนึ่งของเธอถือกระเป๋าเป้มืออีกข้างถือเอกสารไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องรับรอง
ฉินหร่านมักจะเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย
รุ่นพี่เยี่ยมาหยิบแก้วที่ห้องรับรอง เห็นฉินหร่าน ยิ้มเล็กน้อยก่อนทักทาย “รุ่นน้อง”
ฉินหร่านถอดชุดป้องกัน สวมเสื้อคลุมของตัวเองช้าๆ แล้วจึงทักทายรุ่นพี่เยี่ย
รุ่นพี่เยี่ยถือแก้วเดินไปนอกประตู เพิ่งเดินออกประตูได้หนึ่งก้าว ที่ด้านหลัง เสียงใสของหญิงสาวร้องขึ้น “รุ่นพี่เยี่ย คุณรอก่อน”
“ว่าไง” รุ่นพี่เยี่ยชะงักก้าว เขาหันกลับมา มองฉินหร่านอีกฝั่งด้วยรอยยิ้มบาง
ฉินหร่านสวมเสื้อคลุมเสร็จ ยื่นเอกสารที่เพิ่งพิมพ์ออกมาเองล่าสุดบนโต๊ะยื่นให้รุ่นพี่เยี่ย พูดอย่างสบายใจ “นี่คือข้อมูลยานอวกาศที่ฉันรวบรวมไว้เมื่อตอนเที่ยงของสัปดาห์ก่อน คุณลองดู อาจจะพอช่วยงานวิจัยของพวกคุณได้”
“เธอ…” รุ่นพี่เยี่ยหยิบเอาพลางมองข้อมูลฉบับนี้ ยืนอยู่ประตูทางเข้าอย่างประหลาดใจ
นึกขึ้นได้ว่า น่าจะหลังจากตอนเช้าที่นักวิจัยเลี่ยวคุยกับเธอ เธอจึงใส่ใจในเรื่องนี้
นักวิจัยเลี่ยวบอกว่าเธอช่วยในงานวิจัยของพวกเขาได้ แน่นอนว่าไม่ได้โกหก…
รุ่นพี่เยี่ยเองก็รู้ว่าตอนเที่ยงของทุกวันฉินหร่านไปที่ห้องสมุด
แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่า ตอนเที่ยงวันนั้นฉินหร่านรวบรวมข้อมูลมาแล้ว
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร” ฉินหร่านติดกระดุมเสร็จ มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าเป้ขึ้นมา มองรุ่นพี่เยี่ย ใบหน้าแสดงรอยยิ้มเกียจคร้าน “ตอนนั้นเวลาน้อย ฉันจึงจัดระเบียบได้ไม่มากนัก อย่าใส่ใจมาก ช่วยคุณได้ก็ดีแล้ว”
มาที่ห้องปฏิบัติการได้ไม่นาน รุ่นพี่เยี่ยยังคงจำการช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้งของฉินหร่านได้ขึ้นใจ
พูดจบ เธอถือกระเป๋าเป้ออกไป เดินไปสองกก้าว ห่อนพูดขึ้นเบาๆ ว่า “วางใจได้ ฉันมีอาจารย์แล้ว”
ด้านหลัง รุ่นพี่เยี่ยยืนอยู่ที่เดิม สักพัก จึงพลิกเปิดข้อมูลฉบับนี้
เขาคิดว่าที่ฉินหร่านรวบรวมตามใจก็คือรวบรวมตามใจจริงๆ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อพลิกเปิดมาด้านใน…ทั้งหมดล้วนแต่ตรงตามความคิดเห็นมาก
นักวิจัยเลี่ยวบอกว่าเธอสามารถนำความช่วยเหลือมาสู่ทีมของพวกเขาได้ เดิมทีรุ่นพี่เยี่ยก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตอนที่เห็นหนังสือการวางแผนฉบับนี้ จึงเข้าใจแล้วว่าที่นักวิจัยเลี่ยวพูดหมายถึงอะไร
เดิมทีคะแนนวิศวกรรมอัตโนมัติของฉินหร่านก็อยู่ในระดับเต็ม การแข่งขันระดับเมืองนี้คือเครื่องขับเคลื่อนยานอวกาศ สำหรับเธอแล้วไม่ใช่ความท้าทายที่มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะมันสมองเช่นเธอที่เดิมทีมีความไวต่อด้านนี้อยู่แล้ว จึงลงมือปฏิบัติอย่างเต็มที่ แม้จะเพียงแค่ตอนเช้าถึงเที่ยง เธอก็ร่างหนังสือการวางแผนเสร็จไปแล้วหนึ่งฉบับ
รุ่นพี่เยี่ยยืนอยู่ที่ประตูทางเข้ามาสักพักแล้ว อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายปี เขาก็เคยเป็นสักขีพยานให้กับการต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังมามาก
เขาที่มักมองออกอย่างชัดเจน ตอนที่เห็นหนังสือการวางแผนนี้ ยังอดที่จะละอายใจไม่ได้
“รุ่นพี่เยี่ย” รุ่นพี่เยี่ยยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องรับรองนานเกินไป ตอนที่จั่วชิวหรงเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปกินข้าว เขายังคงยืนอยู่ที่ที่เดิม
รุ่นพี่เยี่ยเก็บข้อมูลในมือลง เขาหมุนตัว และไม่ให้จั่วชิวหรงดูข้อมูลฉบับนี้ หันข้างให้ทางกับเธอ ไม่ได้ตอบ
ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ตอนที่รุ่นพี่เยี่ยกับจั่วชิวหรงทำการวิจัยโปรเจกต์ทีม ทั้งสองคนค่อนข้างมีช่องว่างระหว่างกัน
ขณะเดียวกันเมื่อเห็นท่าทีแบบนี้ของรุ่นพี่เยี่ย ในที่สุดจั่วชิวหรงก็อดไม่ไหว เธอมองด้านหลังรุ่นพี่เยี่ย ไม่ทันมองเห็นนักวิจัยเลี่ยว เธอลดเสียงลงแล้วเยาะเย้ย “รุ่นพี่เยี่ย ครั้งก่อนฉันพูดกับคุณแล้ว คุณไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจ? นักวิจัยเลี่ยวชี้แจงชัดเจนแล้วว่าจะดูแลฉินหร่าน ต้องการปูทางให้เธอ โดยเฉพาะ…ต้องการรับเธอเป็นศิษย์ พวกเราต้องไปลำบากแทนเธออีกเหรอ”
เมื่อนึกว่าฉินหร่านจะเข้าร่วม ต้องมีรายชื่อเธอในอันดับรายชื่อนั้น จั่วชิวหรงก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้
“เพิ่งมาห้องปฏิบัติการได้ไม่กี่วัน ก็อยากเท่าเทียมกันกับพวกเรางั้นเหรอ ไม่ใช่ว่าใครในห้องปฏิบัติการก็ต้องยืนหยัดขึ้นมาทีละขั้นเหรอ” จั่วชิวหรงเม้มปาก “คุณ…”
ท่าทีของใบหน้ารุ่นพี่เยี่ยไม่ได้เปลี่ยนไป เขาสะบัดมือจั่วชิวหรง กำแผนการในมือแน่นขึ้น
เขาเปิดประตูออกไป
และไม่ได้บอกจั่วชิวหรงว่าฉินหร่านมีอาจารย์แล้ว ทั้งไม่ได้นำเอกสารแผนการให้เธอดู
จั่วชิวหรง…
น่าจะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไป
**
ในโรงอาหาร
หนานฮุ่ยเหยาและพรรคพวกทั้งสามคนมาถึงก่อนแล้ว สั่งอาหารกันเรียบร้อย
“หร่านหร่าน คุณมาพอดี ฉันศึกษาหนังสือวิศวกรรมอัตโนมัติมาแล้วกองหนึ่ง…” หนานฮุ่ยเหยาตบกระเป๋าเรียนของตัวเอง
ฉินหร่านนั่งบนเก้าอี้เหล็ก เธอมองเอกสารนั้น จากนั้นจึงวางกระเป๋าเป้ที่โต๊ะ รูดซิปนำข้อมูลที่พิมพ์ออกมาสองฉบับออกมาจากด้านใน
“พวกเธอลองดูนี่ก่อน” ฉินหร่านยื่นข้อมูลให้ฉู่หัง
ฉู่หังเปิดดู ด้านในคือโปรเจกต์แผนการของ ‘เครื่องจักรอุตสาหกรรม’ เขายิ้ม “พอดีเลย วันอาทิตย์ฉันซื้อหนังสือด้านนี้มาไม่น้อย”
ฉินหร่านพิงพนักเก้าอี้ เสียบหลอดเข้าไปในโค้ก มือเท้าคาง ดื่มหนึ่งอึกก่อนตอบ “เครื่องจักรอุตสาหกรรมเป็นแผนสำรองที่ฉันเตรียมไว้ให้พวกเธอ เพราะฉันไม่แน่ใจว่าเมื่อพวกเธอฟังที่ฉันพูดจบ จะยังอยากทำการวิจัยโปรเจกต์นี้ของฉันต่อหรือไม่…”
หนานฮุ่ยเหยากับสิงไคกลั้นยิ้มทันที หน้าขึ้นสี
ฉู่หังเม้มปาก เขาพูดอย่างจริงจัง “ว่ามา”
“เพราะมันอาจไปถึงการแผ่รังสี” ฉินหร่านเม้มปาก
“เท่านี้เหรอ” หนานฮุ่ยเหยากับสิงไคถอนหายใจโล่งอก “ทำฉันตกใจหมด ฉันคิดว่าเธออยากทำเรื่องอะไรแบบการฆาตกรรมวางเพลิง นี่มันยังไง”
ทั้งสามคนโบกมือ หนานฮุ่ยเหยาจึงมองฉินหร่าน ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง “ถ้างั้นพวกเราต้องศึกษาโปรเจกต์อะไรที่มีการแผ่รังสีเหรอ”
ทัศนคติของทั้งสามคนนี้อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายของฉินหร่าน “…”
ฉินหร่านมองหนานฮุ่ยเหยา ดันเอกสารอีกฉบับไปให้เงียบๆ