เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่435จดหมายตอบกลับวารสารของรุ่นน้องกลัวแฟนหนี
“รุ่นน้องจั่ว?” ในที่สุดรุ่นพี่เยี่ยก็ทนไม่ไหว
เขาลุกขึ้น มองไปทางจั่วชิวหรงด้วยหน้าตาเยือกเย็น
“รุ่นพี่จั่ว ฉันมีเค้าโครงข้อสรุปการวิจัยนี้อยู่บ้างแล้ว” ฉินหร่านมองแบบฟอร์มที่อยู่ในมือ เธอยังคงสงบเสงี่ยมและนิ่งมาก
จั่วชิวหรงสูดหายใจ “เธอเพิ่งเข้าห้องปฏิบัติการมาได้ไม่นาน ไม่ได้รับแรงกดดันอะไรมากมาย จะผิดพลาดอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ฉันกับรุ่นพี่เยี่ยต่อสู้กันมาหลายปี ไม่มีเวลามาเล่นกับเธอหรอก ในเมื่อนักวิจัยเลี่ยวให้เธอรับผิดชอบเรื่องนี้ เธอก็รีบไปเขียนข้อสรุปการวิจัยซะสิ”
การเขียนแรงผลักดันที่มีต่อการวิจัยเหล่านี้ นักวิจัยเลี่ยวก็เคยให้พวกเขาเขียนแล้วตอนที่ไปเครื่องปฏิกรณ์ชั้นใด้ดินครั้งล่าสุด เห็นๆ อยู่ว่ามันไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา คราวนี้ยังตั้งใจให้ฉินหร่านรับผิดชอบ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
นักวิจัยเลี่ยวเห็นเธอสำคัญมาก?
จั่วชิวหรงเม้มปาก ตั้งแต่ฉินหร่านเข้ามาห้องปฏิบัติการ นับวันเธอก็ยิ่งว้าวุ่นใจ รู้สึกถึงการคุกคามอยู่ลึกๆ
เธอโยนสมุดบันทึกลงบนโต๊ะเกิดเสียงดัง “ปัง” แล้วปิดคอมพิวเตอร์ตัวเอง จากนั้นเดินเข้าไปช่วยนักวิจัยเลี่ยว
บรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ
รุ่นพี่เยี่ยมองแผ่นหลังจั่วชิวหรงพลางขมวดคิ้ว เขาละสายตากลับมามองฉินหร่าน “รุ่นน้อง คราวก่อนฉันยังทำไม่ดีอยู่หลายจุด เรามาเขียนข้อสรุปวิจัยนี้ด้วยกันเถอะ”
“รุ่นพี่เยี่ย...” ฉินหร่านหันมา เธอตอบกลับแต่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงไปชั่วขณะ
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ยิ้ม “ที่จริงฉันก็ไม่ค่อยมั่นใจกับข้อสรุปวิจัยนี้หรอกค่ะ”
“ไม่เป็นไร งานวิจัยอื่นก็แบบนี้แหละ” รุ่นพี่เยี่ยยังคงใจดี เขายื่นมือยกโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น “ฉันส่งบันทึกข้อมูลไปในโทรศัพท์เธอแล้วนะ เธออย่าลืมดูล่ะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ถือโทรศัพท์เดินไปยังห้องปฏิบัติการชั้นในสุด
หลังจากรุ่นพี่เยี่ยไปแล้ว ฉินหร่านก็ยังไม่ได้รีบเข้าไปในทันที แต่หยิบคอมพิวเตอร์ตัวเองออกจากกระเป๋าเป้ เธอเปิดมันและวางไว้บนโต๊ะที่ว่างๆ ของตัวเอง รับบันทึกข้อมูลที่รุ่นพี่เยี่ยส่งให้
ทางด้านรุ่นพี่เยี่ยที่เพิ่งเดินไป รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าหายไปในทันที
เขาเดินมาหาจั่วชิวหรง ทำหน้าเข้มพร้อมกับลดเสียงพูด “ฉันบอกเธอแล้วไงว่ารุ่นน้องมีอาจารย์แล้ว”
“เธอบอกอะไรคุณก็เชื่องั้นเหรอ?” จั่วชิวหรงเอียงศีรษะ มุมปากแสยะยิ้ม “ฉันเชื่อว่าคุณรู้ว่าใครจะได้เป็นลูกศิษย์นักวิจัยเลี่ยว คนในสถาบันวิจัยที่อยากเป็นลูกศิษย์เขาเรียงกันเป็นแถว ฉินหร่านแค่พูดไปอย่างนั้นคุณก็ถือเป็นจริงเป็นจังแล้วงั้นสิ?”
พอเธอพูดเสร็จก็ไม่ได้สนใจรุ่นพี่เยี่ยต่อ แค่ถืออุปกรณ์ทดลองแล้วจากไป
ไม่ไกลจากตรงนี้ ในที่สุดนักวิจัยเลี่ยวก็หลุดจากภวังค์ความคิด เขาหันมามองรุ่นพี่เยี่ย ท่าทางยังสุขุมเช่นเคย “นายไปเอาวารสารข่าวของวันนี้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์มาหน่อย”
“ครับ” รุ่นพี่เยี่ยวางงานที่อยู่ในมือ ออกไปที่ชั้นหนึ่ง
ส่วนประชาสัมพันธ์ชั้นหนึ่งอยู่ตรงประตูป้อมยามด้านนอก มีหน้าต่างยาวหนึ่งเมตร กว้างสามสิบเซนติเมตร
“วารสารของนักวิจัยเลี่ยวอยู่นี่ครับ” ยามเฝ้าประตูยื่นวารสารให้รุ่นพี่เยี่ย
รุ่นพี่เยี่ยรับมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ ขณะกำลังจะหันไปก็เห็นจดหมายฉบับหนึ่งอยู่แถวฝั่งซ้ายมือ
รุ่นพี่เยี่ยคุ้นเคยกับซองจดหมายนี้ดี เป็นซองจดหมายที่ใช้สำหรับตอบกลับบทความวารสารSCIโดยเฉพาะ ด้านบนมีลายน้ำพิมพ์ไว้
พอเขาเหลือบดูอีกครั้งก็เห็นชื่อบนซองจดหมายเข้าพอดี นั่นคือตัวอักษรสองตัวที่รุ่นพี่เยี่ยคุ้นเคย——
ฉินหร่าน
รุ่นพี่เยี่ยหยิบขึ้นมาดูก็แน่ใจแล้วว่าเป็นที่อยู่ของห้องปฏิบัติการพวกเขา
ยามที่อยู่ข้างนอกเห็นรุ่นพี่เยี่ยถือซองจดหมายขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่จะถาม “คุณรู้จักคนนี้ด้วยเหรอ?”
“เอ๊ะ” รุ่นพี่เยี่ยรู้สึกตัวจึงหันไปมองยาม “รู้จักครับ รุ่นน้องผมเอง”
“งั้นก็ดีเลย คุณเอาไปให้เธอด้วยนะ คนที่เอาจดหมายมาส่งเมื่อวานบอกผมว่านี่เป็นจดหมายด่วน วันนี้ถ้าไม่มีคนมาเอา ผมคงต้องเอาลงไปส่งให้ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สาม…” ยามหน้าประตูหันกลับไปดูทีวีต่อพลางพึมพำ
รุ่นพี่เยี่ยถือซองจดหมายสีขาวที่มีตราประทับไว้ในมือ ก้มหน้าดูก่อนจะเดินกลับไป
ห้านาทีต่อมาก็กลับมาถึงห้องปฏิบัติการ
รุ่นพี่เยี่ยนำวารสารวางไว้บนโต๊ะที่นักวิจัยเลี่ยวใช้เป็นประจำ มองไปรอบๆ ก็ยังไม่เห็นฉินหร่าน “รุ่นน้องล่ะครับ?”
“เธอออกไปทานข้าว” นักวิจัยเลี่ยวเดินมาหยิบวารสารเล่มบนสุด
“อ้อ งั้นผมน่าจะสวนกับเธอพอดี” รุ่นพี่เยี่ยชูซองจดหมายที่อยู่ในมือข้างหนึ่งขึ้น ค่อยๆ พูดออกมาว่า “เมื่อกี้ผมเพิ่งช่วยรุ่นน้องรับซองจดหมายที่ส่วนประชาสัมพันธ์มาฉบับนึง บทความของเธอได้รับการคัดเลือกจากวารสารSCIแล้ว”
มีสองวิธีในการตอบกลับบทความSCI นั่นก็คืออีเมลและจดหมายตอบกลับ
จดหมายตอบกลับจะดูทางการกว่าหน่อย
ต้นฉบับที่ถูกปฏิเสธจะได้รับการตอบกลับผ่านทางอีเมลโดยตรง
ดังนั้นการได้รับจดหมายจากSCIก็หมายความว่าบทความได้รับการคัดเลือกหรือมีข่าวดีอื่นอะไรทำนองนั้น
“ไม่รู้ว่าบทความของรุ่นน้องได้ตีพิมพ์ประเภทไหน” รุ่นพี่เยี่ยวางจดหมายด้วยความสงสัย
เนื่องจากฉินหร่านไม่อยู่ แม้ว่ารุ่นพี่เยี่ยจะสงสัยมาก แต่ก็แกะจดหมายส่วนตัวไม่ได้ เขาจึงทนต่อความอยากรู้อยากเห็นรอฉินหร่านกลับมา
เสียงของรุ่นพี่เยี่ยไม่ได้ดังหรือเบามากเป็นพิเศษ จั่วชิวหรงที่อยู่ไม่ไกลได้ยินอย่างชัดเจน มือเธอกดสวิตช์ลำแสงอนุภาคอยู่นานไม่ปล่อย
เมื่อกี้เธอเพิ่งจะบอกฉินหร่านให้ใช้เวลาไปกับบทความให้มากหน่อย แต่หลังจากนั้นไม่นานฉินหร่านก็ได้จดหมายตอบกลับจากวารสารSCI…
จั่วชิวหรงก้มหน้า เม้มปากแล้วปล่อยมือ บทความSCIก็มีการแบ่งประเภท บางคนดัดจริตเขียนบทความขึ้นมาเองโดยไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่เคยถูกนำไปอ้างอิง หรือปัจจัยกระทบเป็นศูนย์ก็มีไม่น้อย
**
ในเวลาเดียวกัน
ประตูลิฟต์ชั้นหนึ่งเปิดออก ฉินหร่านออกจากลิฟต์แล้วเดินตรงไปยังทางเดินด้านซ้ายมือ
ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์มีห้องรับรองซึ่งเปิดไม่บ่อยนัก
ตั้งแต่ฉินหร่านไม่ไปกินข้าวที่โรงอาหาร ตอนเที่ยงและตอนเย็นของทุกวันห้องนี้ก็จะเปิดให้เธอ เวลาส่วนใหญ่เฉิงเจวี้ยนค่อนข้างยุ่ง เฉิงมู่จึงเป็นคนที่มาส่งอาหาร
เธอผลักประตูเดินเข้าไปก็เห็นเฉิงเจวี้ยนยืนรับโทรศัพท์อยู่ริมหน้าต่าง
ม่านสีฟ้าลากลงมาครึ่งหนึ่ง ใกล้จะถึงเดือนมกราคม แสงอาทิตย์จากด้านนอกจึงไม่ค่อยแรงมาก แทบจะไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิในท่ามกลางลมหนาวที่ปะปนเข้ามา เขาถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงสว่างโดยสมบูรณ์
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เขาก็หันไปเล็กน้อย เห็นหน้าไม่ค่อยชัดเพราะย้อนแสง มีเพียงแสงและเงาที่พาดลงมาเท่านั้น เขาคุยกับปลายสายสบายๆ “ไปถึงบ่ายสอง”
พอพูดจบก็วางสาย
เดินมาที่โต๊ะ ลากม้านั่งแล้วนั่งลง ดึงจานออกจากกล่องอาหารกลางวันด้วยความเอาใจใส่
“วันนี้คุณไม่ได้ไปพิพิธภัณฑ์เหรอ?” ฉินหร่านหยิบตะเกียบ พูดอย่างเฉยชา
เฉิงเจวี้ยนเอนหลังพิงเก้าอี้ ปรายตามองเธอ “ทีแรกก็จะไป”
ฉินหร่านคีบซี่โครงเป็นอันดับแรก “ทีแรก? ตาเฒ่าที่พิพิธภัณฑ์นั่นไม่เร่งคุณเหรอ?”
“เร่งก็เร่งสิ” เฉิงเจวี้ยนเอียงศีรษะเล็กน้อย มองเธอพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ฉันกลัวแฟนหนี”
เวลา 12.30 น. ฉินหร่านกินข้าวเสร็จ เฉิงเจวี้ยนก็เก็บกล่องอาหารทีละกล่อง จากนั้นก็หยิบกระติกน้ำร้อนจากด้านล่างกล่องอาหารให้เธอ
ฉินหร่านก้มหน้า รับมาส่งๆ
เฉิงเจวี้ยนหยิบเสื้อนอก ทั้งสองเดินออกจากประตู
ฉินหร่านเป็นคนกินข้าวช้า ตอนที่เดินออกมาจากทางเดินก็บังเอิญเจอพวกนักวิจัยเลี่ยวสามคนที่เพิ่งกินข้าวเสร็จจากชั้นบนลงมาพอดี
“รุ่นน้อง?” รุ่นพี่เยี่ยเห็นฉินหร่านก่อน จากนั้นก็มองมาที่เฉิงเจวี้ยนที่อยู่ข้างๆ เธอ
ออร่าเฉิงเจวี้ยนมีพลัง ตัวสูงชะลูด รูปร่างหน้าตาเพอร์เฟค คำที่เรียกกันว่า “คุณชายเจวี้ยน” ในวงการก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
เฉิงเจวี้ยนถือกล่องอาหารอยู่ในมือ เขายังจำได้ว่าฉินหร่านอารมณ์ไม่ดีตอนที่เข้าห้องปฏิบัติการในช่วงแรกๆ แต่ด้วยมารยาทอันดีงามจึงทำให้เขาพูดอะไรออกมาไม่ได้ ได้แต่ผงกหัวให้ทั้งสามคนอย่างสุขุมและก้มหน้าบอกฉินหร่านก่อนจะออกประตูใหญ่ไป
ที่ประตูมีระบบรักษาความปลอดภัย
เขาถือการ์ด เมื่อคนที่หน้าประตูเงยหน้าเจอเขาก็ช่วยเขากดสวิตช์จากด้านในทันที
ทั้งสามคนประหลาดใจมากน้อยต่างกันออกไป
“รุ่นน้อง” รุ่นพี่เยี่ยละสายตากลับมา เขาไม่ได้ซักไซ้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่พอจะเดาได้ว่าคนที่สามารถเอากล่องอาหารมาที่นี่ได้นั้นไม่ธรรมดาแน่นอน “มีจดหมายของเธอน่ะ”
“จดหมายอะไร?” ฉินหร่านเดินตามพวกเขาสามคนมาที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สาม
“ก็จดหมายตอบกลับของSCIไง ฉันช่วยเอากลับมาจากป้อมยาม เธอส่งต้นฉบับไปตั้งแต่เมื่อไหร่?” รุ่นพี่เยี่ยกดลิฟต์ชั้นใต้ดินชั้นที่สาม “ได้รับจดหมายตอบกลับเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
เขาจำได้ว่ายังเห็นเธอเขียนเมื่อสองอาทิตย์ก่อนอยู่เลย
ฉินหร่านก็ประหลาดใจเช่นกัน เธอค่อยๆ รวบเสื้อโค้ตตัวเอง “ไม่รู้สิ คงโชคดีมั้งที่ไม่ได้โดนทับต้นฉบับ”
“เธอส่งอะไรไป?” รุ่นพี่เยี่ยหันไปคุยกับฉินหร่าน
พอมาถึงห้องปฏิบัติการ ทั้งหมดก็สวมชุดป้องกันกันหมดแล้ว รุ่นพี่เยี่ยยังคุยเรื่องบทความกับฉินหร่าน เสียงของเขาฟังดูตื่นเต้นเล็กน้อย
จั่วชิวหรงติดกระดุมเสร็จก็มองมาทางรุ่นพี่เยี่ย “รุ่นพี่เยี่ย คุณไม่เอาจดหมายให้รุ่นน้องเหรอ?”
รุ่นพี่เยี่ยฟังน้ำเสียงจั่วชิวหรงไม่ออก เขานึกขึ้นมาได้ “จริงสิ ฉันยังไม่รู้เลยว่าบทความของรุ่นน้องได้ประเภทอะไร”
เขาเดินไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ของตัวเอง เปิดลิ้นชักแล้วหยิบจดหมายยื่นให้ฉินหร่าน “ดูเร็วเข้า”